เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1141 ปรับความเข้าใจ / ตอนที่ 1142 ถึงตำหนักราชนิเวศน์
- Home
- เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ
- ตอนที่ 1141 ปรับความเข้าใจ / ตอนที่ 1142 ถึงตำหนักราชนิเวศน์
ตอนที่ 1141 ปรับความเข้าใจ
ในค่ำคืนนี้ ฉินเย่หานไม่ได้ให้คนเรียกซูหลีเข้ามาในห้องของตน
ซูหลีกลับนอนหลับอย่างปลอดภัยตลอดทั้งคืน
วันที่สองเมื่อตื่นขึ้นมา ก็ต้องออกเดินทางต่อ
วันนี้ซูหลียังนั่งรถม้าคันเดียวกับฉินเย่หานเช่นเดิม
ทันทีที่นางขึ้นรถม้า ก็พบกับใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ของฉินเย่หาน ซูหลีจึงเบะปาก เก๊กหน้าเคร่งขรึมทั้งวัน ไม่รู้ว่ามีคนติดค้างเงินเขาหรือไม่!
ทว่าเมื่อใคร่ครวญแล้ว ตนเองต้องอยู่ข้างกายเขาอีกทั้งวัน เพื่อให้นางใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขอยู่บ้าง ซูหลีจึงเริ่มเปิดปากพูดขึ้นเสียงเบา
“เมื่อคืนฝ่าบาททรงบรรทมสบายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนี้เอ่ยถามออกไป แม้แต่ตัวนางเองก็รู้สึกกระดากกระเดื่อง
ทว่านอกจากคำพูดแห้งผากประโยคนี้แล้ว นางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“ไม่สบาย”
ทว่าซูหลีคิดไม่ถึงว่า ฉินเย่หานจะส่งเสียงตอบนาง นี่ก็ช่างเถอะ อีกทั้งยังตอบออกมาเช่นนี้
นางตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้จึงสติกลับมา พูดออกมาอย่างอัดอั้น
“โรงเตี๊ยมไม่ค่อยพรักพร้อมเท่าไรนัก ลำบากฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่อยู่ด้วย” ฉินเย่หานมองนางตาไม่กะพริบ ในแววตาทอประกายลุ่มลึกบางอย่าง
ซูหลีถูกเขาทำให้สะอึกไป ความหมายของเขาก็คือ เขาไม่ได้รังเกียจที่โรงเตี๊ยมของคนอื่นที่ไม่พรักพร้อม แต่เป็นเพราะว่านางไม่อยู่ด้วย ถึงทำให้เขานอนหลับไม่สบายหรือ?
นางตะลึงค้างไป เมื่อไหร่กันที่ตนเปลี่ยนเป็นคนสำคัญไปแล้ว?
ในชั่วขณะนี้ซูหลีตะลึงงัน ไม่รู้ว่าพูดอะไรถึงจะดี ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนว่า “กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททรงไม่อยากจะเห็นกระหม่อมแล้ว”
ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ เมื่อวานตลอดทางเขาไม่พูดกับนางแม้แต่ประโยคเดียว เพียงแค่ชักสีหน้าใส่นางเท่านั้น
“เราไม่เคยพูดคำพูดเช่นนี้มาก่อน” ฉินเย่หานปรายตามองนางปราดหนึ่ง และเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น
แม้จะยังมีสีหน้าเย็นชา ทว่าซูหลีกลับมองเห็นความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในท่าทีแปลกประหลาดของเขา นางชะงักไปวูบหนึ่ง พลันเข้าไปนั่งใกล้ชิดกับฮ่องเต้แล้วเอ่ยว่า
“ฝ่าบาททรงไม่กริ้วกระหม่อมแล้วหรือ”
ฉินเย่หานชำเลืองตามองนาง นางยิ้มอย่างเซ่อซ่าให้กับฉินเย่หาน ภายใต้รอยยิ้มนั้นมีความประจบประแจงอย่างบอกไม่ถูก
รอยยิ้มนี้ของนางเห็นได้ชัดว่าเสแสร้ง ทว่ากลับทำให้อารมณ์บนใบหน้าของฉินเย่หานผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
“ฝ่าบาท ท่านทรงมิทราบ เมื่อคืนนี้ข้านั้นหลับไม่สบายเป็นอย่างมาก เตียงของโรงเตี๊ยมนั้นแข็งกระด้างเกินไป ที่สำคัญ…” ซูหลีพูดถึงตรงนี้ ก็หยุดค้างไปครู่หนึ่ง นางหยุดนิ่งไม่ไหวติงวูบหนึ่ง ขณะที่อยู่ในสายตาที่ลึกซึ้งของฉินเย่หาน ซูหลีจึงได้แต่กำปั้นทุบดินพูดต่อ
“เย่ ท่านไม่อยู่ข้างกายข้า ข้านั้นหลับไม่สบายเลยแม้แต่น้อย!”
พรึ่บ!
ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศในชั่วขณะก็คล้ายดั่งบุปผาผลิบานในวสันตฤดู[1]
บรรยากาศภายในรถม้าดีขึ้นมาถนัดตา
ซูหลีบิดแขนของตนไปมา นางรังเกียจตัวเองเสียจริง นับวันยิ่งไม่มีขอบเขต ดูสิ เดี๋ยวนี้แม้คำพูดแบบนี้ก็สามารถพูดออกมาได้แล้ว
ฉินเย่หานนั้นรู้ดีว่า คำพูดของนางเจตนาออดอ้อนตน นางมารน้อยคนนี้มีแผนการเยอะแยะมาก
ทว่าแม้จะรู้เช่นนี้ อารมณ์ก็ดีขึ้นอย่างอดไม่อยู่
เขากวาดตามองปราดหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ครั้งหน้าห้ามทำอีก!”
นี่ก็คือการเปิดใจเรื่องของเมื่อวานนี้!
ใบหน้าของซูหลีจึงผ่อนคลายลงทันที ความผ่อนคลายนี้ทำให้นางเปลี่ยนเป็นทำตัวตามสบาย
มีเสียงพูดลอยเข้ามาอย่างเบาบาง…
“เย่ ท่านรู้หรือไม่ เวลาที่ท่านไม่พูดไม่จาน่ากลัวถึงเพียงใด เมื่อวานข้าแทบจะคุกเข่าให้ท่านแล้ว!” หลังจากได้รับสายตาเยียบเย็นของฉินเย่หาน ซูหลีไม่เพียงแต่ไม่เกรงกลัว แต่กลับเข้าไปหาเขาด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
บรรยากาศภายในรถม้าดีขึ้นในชั่วพริบตา ทั้งยังสามารถได้ยินเสียงหัวเราะของซูหลีอยู่บ่อยครั้ง
หวงเผยซานที่อยู่ด้านนอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
——
[1] บุปผาผลิบานในวสันตฤดู เป็นสำนวน หมายถึงสภาพบรรยากาศที่ดีงาม
ตอนที่ 1142 ถึงตำหนักราชนิเวศน์
เป็นอย่างที่คิดไว้ โลกของพวกนายท่าน เขาไม่มีทางจะเข้าใจโดยแท้!
ครู่หนึ่งเป็นลม ครู่หนึ่งเป็นฝน สตรีหนอ ชื่อของท่านเรียกว่าฉลาดพูด!
หวงเผยซานกระตุกมุมปาก ทว่าเห็นได้ชัดว่าแม้แต่สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นตามมา
ตลอดการเดินทางต่อจากนี้ ล้วนเป็นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะตลอดเวลา
ซูหลีคงไม่ได้นอนในห้องคนเดียวอีก นางกับฉินเย่หานทั้งสองคนประหนึ่งออกมาเที่ยวชมภูเขาและท้องน้ำมิปาน บรรยากาศในเวลานี้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
เพียงแต่มีบางครั้งที่จี้เหิงหรานปรากฏตัวขึ้น นางยังคงมีสีหน้าเย็นชา ทั้งยังจะหาเรื่องทะเลาะกับอีกฝ่ายอีกด้วย
ที่จริงจี้เหิงหรานมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของสกุลหลี่หรือไม่ ซูหลีก็ยังยืนยันไม่ได้อย่างแท้จริง ทว่าที่นางเห็นจี้เหิงหรานขัดหูขัดตานี้ก็ไม่ใช่เรื่องของวันสองวันนี้
เวลานี้ก็แค่เป็นการเพิ่มพูนเหตุผลให้ต่างกระทำอย่างโจ่งแจ้งก็เท่านั้น
ความรำคาญที่ซูหลีมีต่อเขานั้นแสดงออกมาอย่างสุดโต่ง
ทว่าที่คาดไม่ถึงก็คือ ฉินเย่หานกลับไม่วุ่นวายกับนางมากนัก เพียงแค่มีบางคราที่นางกระทำเกินเหตุ แม้ภายนอกจะมองไม่ออก ทว่าเบื้องหลังกลับนำนางไปเคี่ยวกรำอย่างไม่ออมแรง
ซูหลีมีทุกข์ในใจทว่าพูดออกมาไม่ได้ แม้นางจะไหวตัวเก่งขึ้นไม่น้อย ทว่าไม่กล้าที่จะพยศกับฉินเย่หานอย่างง่ายดายอีก
ตลอดการเดินทางที่เคลื่อนตัวไปๆ หยุดๆ หลังจากใช้เวลาไปหลายวัน ในที่สุดก็ถึงจุดมุ่งหมายในครั้งนี้ของพวกเขาแล้ว
นั่นก็คือตำหนักน้ำพุร้อนที่ถูกสร้างอย่างโอ่อ่า ที่อยู่ติดกับภูเขาและลำธาร
ตำหนักแห่งนี้สร้างขึ้นตอนที่พระปัยกาของฮ่องเต้ยังคงมีชีวิตอยู่ ในเวลาใช้กำลังคนและทรัพยากรไปอย่างมหาศาล สถาปัตยกรรมแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างหรูหรา บ่อน้ำร้อนที่อยู่ภายในนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะว่ามีบ่อน้ำร้อนอยู่ ทำให้อากาศของที่นี่ร้อนกว่าที่อื่นอยู่มาก
ภายในเหมันตฤดูที่หนาวเหน็บเช่นนี้ กลับยังมีพืชไม้จำนวนไม่น้อยมีชีวิตอยู่ในอากาศที่หนาวเหน็บจนพื้นดินจับตัวเป็นน้ำแข็ง ดูมีชีวิตชีวาแตกต่างกันอย่างชัดเจน กลับเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้นหลายส่วน
หลังจากซูหลีเห็นตำหนักแห่งนี้แล้ว ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมฉินเย่หานถึงบอกหลบหนาวที่นี่
ตำหนักแห่งนี้ เป็นสถานที่สวยงามโดยแท้!
ทว่าคนที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ กลับทำให้นางรู้สึกอารมณ์ไม่ใคร่ดี
หลังจากที่พวกซูหลีมาถึงที่นี่ เป็นเวลานี้ยามราตรีแล้ว นี่เป็นวันแรกที่ถึงตำหนัก ฉินเย่หานมีเรื่องที่ต้องสะสางจำนวนมาก จึงไม่อาจดูแลซูหลีได้
เพียงจัดเตรียมตำหนักที่ดูไม่เลวให้กับซูหลี จากนั้นถึงรีบออกไป
ตลอดเส้นทางที่เดินทางมา แม้จะกล่าวได้ว่าบรรยากาศดีเยี่ยม ทว่าก็ไม่ได้สบายสักเท่าไร ซูหลีอยู่ภายในตำหนัก จึงอาบน้ำอย่างลวกๆ จากนั้นจึงนอนหลับไป
ทันทีที่หัวถึงหมอนก็หลับไปถึงยามอู่[1]ของอีกวัน ดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้นสูงสู่อยู่กลางท้องฟ้าแล้ว ในเวลานี้ถึงได้ตื่นขึ้นมาอย่างเอ้อระเหยอารมณ์ดี
“คุณหนูเจ้าคะ!” ทันทีที่ซูหลีตื่นขึ้น ก็พบกับไป๋ฉินที่กำลังร้อนใจ
นางชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “มีอะไรหรือ”
เมื่อคืนกว่าจะถึงตำหนักราชนิเวศน์ก็ดึกแล้ว นางยังไม่สามารถดูตำหนักแห่งนี้อย่างละเอียด วันนี้อยากที่จะเดินเตร็ดเตร่สักรอบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันจะเอ่ยปาก ก็เห็นไป๋ฉินเดินเข้ามาด้วยใบหน้าร้อนใจ
ทันใดนั้นหัวใจของซูหลีเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีเป็นอย่างมากขึ้น
“เมื่อครู่มีคนของไทเฮามาหาเจ้าคะ ทางนั้นกล่าวว่าต้องการเรียกคุณหนูให้ไปหา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ครั้นคนผู้นั้นเดินมาถึงด้านนอกตำหนักได้ยินว่าคุณหนูยังหลับอยู่ นางข้าหลวงที่ถูกส่งมานั้นได้ยินดังนั้นจึงหมุนกายออกไป โดยไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น!”
และที่บังเอิญก็คือ ขณะที่นางข้าหลวงคนนั้นมาถึง ไป๋ฉินถืออาหารกลางวันกลับมาพอดี เย่ว์ลั่วก็ไม่อยู่ทางนี้ มีเพียงเหล่าเด็กรับใช้ที่ทำงานยังไม่รอบคอบเท่านั้นที่อยู่ที่นี่
ทันทีที่ไป๋ฉินกลับมาก็ได้ยินเรื่องนี้จากเด็กรับใช้ ถึงได้รีบเข้ามาหาซูหลีอย่างร้อนใจเช่นนี้
“ไทเฮา?” ซูหลีลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
——
[1] ยามอู่ เป็นคำบอกเวลาในสมัยโบราณของจีน เป็นช่วงเวลา 11.00 น. – 13.00 น.