เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 11 ได้รับโดยบังเอิญ
ท่านย่าของหวังซีบอกนางอยู่เสมอว่า พึ่งพาภูเขาภูเขามีวันล้ม พึ่งพาสายน้ำสายน้ำเลื่อนไหล ชีวิตคนเรานี้ โดยเฉพาะผู้หญิง อยากได้อะไร ต้องไปไขว่คว้าต่อสู้มาด้วยตัวเอง
นางจึงชอบคนที่ช่วยเหลือตัวเอง
อย่างฉังเคอนี้ ก็ถือเป็นการช่วยเหลือตัวเองประเภทหนึ่งกระมัง
หวังซีคิดว่าตนควรจะช่วยนางสักครั้งหนึ่ง
นางหันไปขยิบตาให้ฉังเคอ กล่าวว่า “เจ้าให้ข้าเสนอความคิดให้เจ้า? แต่ข้านั้นยามอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสนอกจากออดอ้อน ก็ไม่มีความสามารถอื่นแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการให้ข้าเสนอความคิดให้เจ้า”
“ออดอ้อนหรือ” ฉังเคอมองหวังซีอย่างประหลาดใจ
หวังซีพยักหน้า กล่าวอย่างจริงจังว่า “เด็กร้องไห้เป็นมีลูกกวาดกิน คำกล่าวนี้ช่างมีเหตุผลยิ่งนัก บ้านข้าก็มีพี่น้องชายหญิงมากมาย ข้าชอบออดอ้อนท่านปู่กับท่านย่าเป็นอย่างมาก หากมิใช่เรื่องใหญ่อะไร ท่านปู่ของข้ามักจะตอบตกลงทุกอย่าง แต่ถ้าเป็นท่านย่าของข้า ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่ นางก็จะเข้าข้างข้าง คิดหาวิธีช่วยเหลือข้าจนได้”
ฉังเคอคล้ายตกอยู่ในภวังค์
หวังซีถือโอกาสนี้กล่าวขอตัวลา
ตกบ่าย นางได้รับข่าวว่าฉังเคอไปร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายอย่างเจ็บปวดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าใจอ่อน เรียกโหวฮูหยินมาหารือเรื่องเรือนหอของคุณชายสามฉังอีกครั้ง
หงโฉวเอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าจะมอบสวนร่มหลิวให้คุณชายสามฉังหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีทาง!” หวังซีสงบนิ่ง กล่าวว่า “ลานบ้านของสวนร่มหลิวทั้งใหญ่ทั้งผุพัง ใช้เงินสำหรับซ่อมแซมมากเกินไป ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ายินยอม โหวฮูหยินก็ไม่มีทางยอม”
คุณชายสี่ฉังและคุณชายห้าฉังล้วนหมั้นหมายเรียบร้อยแล้ว รอให้สะใภ้สามแต่งเข้ามา ก็ต้องหารือเรื่องงานแต่งของคุณชายสี่ฉังแล้ว
โหวฮูหยินไม่มีทางยอมให้คุณชายสามฉังได้ส่วนแบ่งมากกว่าบุตรชายของตัวเอง
หงโฉวโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง เอ่ยถามว่า “พวกเราต้องย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิวจริงๆ หรือเจ้าคะ”
หวังซีพยักหน้า โยนผ้าแพรปักลูกกลมในมือออกไป
เซียงเย่รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว งับผ้าแพรปักลูกกลมเอาไว้แล้ววิ่งกลับมาอย่างเริงร่า เบิกดวงตากระจ่างใสทั้งคู่พาดตัวอยู่บนขาของหวังซี คืนผ้าแพรปักลูกกลมที่คาบอยู่ในปากให้นาง
หวังซีหัวเราะร่าพลางลูบหัวเซียงเย่ รับผ้าแพรปักลูกกลมมาแล้วก็โยนออกไปอีกครั้งหนึ่ง
เซียงเย่รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง…
นี่เป็นหนึ่งในการเล่นที่มันชื่นชอบเป็นที่สุด
หวังซีเล่นกับมันไปด้วย เอ่ยกับหงโฉวอย่างไม่จริงจังนักไปด้วยว่า “แน่นอนว่าอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน มิใช่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกผิดต่อท่านแม่ของข้ามาตลอดหรอกหรือ ข้าอยู่ที่นี่ นางได้ดูแลอาหารการกินความเป็นอยู่ต่างๆ ให้ข้า จะได้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่ข้าแสดงความกตัญญูแทนท่านแม่ของข้าแล้ว”
ส่วนเรื่องงานแต่งงานของนางนั้น นางรู้สึกว่ามารดาของนางฝากความหวังไว้ที่ฮูหยินผู้เฒ่ามากเกินไป
แค่เรื่องเล็กน้อยของสวนซิ่งหนึ่งเรื่อง นางลากเวลายาวไปหลายวันก็ยังจัดการไม่แล้วเสร็จ เรื่องใหญ่อย่างงานแต่งงาน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่น่าจะมีวิสัยทัศน์มากมายเท่าใดนัก
กระนั้นก็ตาม หวังซีก็พอจะเข้าใจมารดาของตัวเอง
มีชังก็มีรัก
ครั้นถูกความรักบดบังดวงตาทั้งคู่แล้ว ก็มีเหตุให้ยอมอภัยให้ได้
เรื่องงานแต่งงานของนางนั้นจะให้ดีที่สุดคืออย่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือเข้ามายุ่งดีกว่า
นางกล่าวกับหงโฉวยิ้มๆ ว่า “ข้าได้สั่งการลงไปหมดแล้ว อย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้เช้าก็น่าจะได้ข่าวคราวจากหวังสี่แล้ว ให้กลับคำพูดตอนนี้ มิเท่ากับว่าสิ้นเปลืองแรงคนและสิ่งของหรอกหรือ”
ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไม่อาจให้สิ้นเปลืองตามใจชอบได้
เพราะฉะนั้นเวลาตัดสินใจต้องกระทำอย่างระมัดระวัง ครั้นตัดสินใจแล้วก็ต้องดำเนินการต่อไปโดยไม่กลัวความยากลำบาก
หวังซีอุ้มเซียงเย่ขึ้นมา เกาคางของมันเบาๆ
เซียงเย่ร้อง เมี้ยว อย่างสบายอกสบายใจ
หวังซียิ้มร่า เอ่ยกับหงโฉวต่อว่า “บ้านข้างๆ เจ้ายังต้องจับตาดูต่อไป ดูว่าเขาปรากฏตัวที่นั่นแค่ตอนเช้าของทุกวันเท่านั้นจริงหรือไม่”
นางจะได้จัดการตารางเวลาใหม่
แต่ถ้าเขาออกมาเดินเล่นที่นั่นตอนเย็นด้วย ก็ดีไม่น้อยเหมือนกัน
หวังซีครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ
หงโฉวขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ”
หวังซีจึงไล่นางไปจับตาดูคน ส่งแมวให้อาหนาน แล้วไปคัดพระธรรมที่ห้องหนังสือกับไป๋ซู่
ใกล้จะถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านย่าของนางนับถือพระพุทธองค์ด้วยความจริงใจ นางไม่อาจมาจิงเฉิงแล้วก็ลืมท่านย่าที่บ้าน ควรจะคัดพระธรรมให้นางด้วยถึงจะถูก ไม่ทันวันที่แปดเดือนสี่ ก็เร่งให้ทันวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดได้นี่นา!
หวังซีเก็บตัวอยู่ในบ้านหลายวัน เรื่องของสวนซิ่งก็ยังจัดการไม่แล้วเสร็จ
โหวฮูหยินเสนอทางออกให้หลายข้อ บ้างก็ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พึงใจ บ้างก็นายหญิงรองไม่พอใจ
หวังซีอดแปลกใจไม่ได้ มอบหมายให้ชิงโฉวไปสืบ “คิดไม่ถึงว่านายหญิงรองจะกล้าคัดค้านคำพูดของโหวฮูหยิน เจ้าไปสอบถามดูหน่อยว่ามีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องนี้หรือไม่”
ชิงโฉวกลับมารายงานอย่างรวดเร็ว บอกว่าในจวนหย่งเฉิงโหวนี้นายหญิงรองน่าจะมีเงินมากที่สุด
ไม่ต้องพูดถึงหวังซี แม้แต่ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วยังปากอ้าตาค้างเช่นกัน
ชิงโฉวกล่าว “บ้านเดิมของโหวฮูหยินนั้นบิดาเป็นเพียงจวี่เหรินผู้หนึ่ง แม้นกล่าวว่าเมื่อก่อนก็พอจะมีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง แต่นายท่านที่บ้านเดิมป่วยติดเตียงเป็นเวลานาน ใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปจนเกือบหมด ตอนโหวฮูหยินออกเรือน ว่ากันว่ามีสินเจ้าสาวสามสิบหกคนหาม แต่จริงๆ แล้วมิใช่ของมีค่ามากมายอะไร เป็นหลายปีมานี้ที่พี่น้องชายผ่านจิ้นซื่อ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดของจินหวาอันเจริญรุ่งเรืองหลายปี บ้านเดิมถึงได้ค่อยๆ รุ่งโรจน์ขึ้นมาอีกครั้ง…
…ไม่เหมือนนายหญิงรอง ถึงแม้นางจะเป็นบุตรสาวคนรอง แต่อยู่ที่บ้านได้รับความรักความเอาใจใส่เป็นอย่างมาก นายท่านที่บ้านเดิมเคยเป็นแม่ทัพอยู่ที่ฝูเจี้ยนสิบกว่าปี ตอนนายหญิงรองออกเรือน ถึงจะพูดว่ามีสินเจ้าสาวเพียงสามสิบหกคนหามเหมือนกัน แต่สินเจ้าสาวโดยมากเป็นที่ดินและร้านค้า ปีหนึ่งๆ นางมีรายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว…
…ตอนท่านโหวผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่ไม่เก่งเรื่องบริหารจัดการ รับอนุภรรยามาหลายคน ให้กำเนิดบุตรชายหญิงหนึ่งกองใหญ่ กู้หนี้ยืมสินจากข้างนอกมาไม่น้อย กระทั่งท่านโหวมารับช่วงต่อ ก็ต้องจัดพิธีฝังศพให้ท่านโหวผู้เฒ่าอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งต้องจัดการเรื่องพี่น้องที่ถือกำเนิดจากอนุภรรยาเหล่านั้น และต้องคบค้าสมาคมกับบรรดาคนในราชสำนักด้วย คลังกองกลางไม่มีเงินให้หยิบออกมาใช้ได้มากมายขนาดนั้น เป็นเหตุให้มีปัญหาต้องจัดการเพิ่มขึ้นมากมาย…
…จึงให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยออกหน้า ขอยืมเงินจากนายหญิงรองในนามของจวนโหวหลายต่อหลายครั้ง”
กล่าวถึงตรงนี้ ชิงโฉวอดลดเสียงลงไม่ได้ กล่าวกับหวังซีว่า “ท่านน่าจะทราบเกี่ยวกับงานแต่งงานของคุณชายสามฉังแล้ว เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแม่สื่อผูกด้ายแดงให้ แต่เดิมสนใจคุณชายสี่ฉัง เป็นนายหญิงรองไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่า ตอนดูตัวจึงเปลี่ยนเป็นคุณชายสามฉังแทน”
โอ้ว!
หวังซีและคนอื่นๆ ต่างเจ้ามองข้าครั้งหนึ่ง ข้ามองเจ้าครั้งหนึ่ง สีหน้าดูค่อนข้างตื่นเต้น
ไป๋ซู่กล่าว “คุณชายสามฉังรูปงามกว่าคุณชายสี่ฉังอยู่บ้างจริงๆ นอกจากนี้คุณชายสามฉังเป็นบุตรชายคนโตของบ้านรอง ยังทำงานอยู่ที่กองพลม้าทะยาน กระทำอะไรก็ระมัดระวังรอบคอบกว่าคุณชายสี่ฉัง ไม่แปลกใจที่ตระกูลหันจะเลือกคุณชายสามฉัง”
ทุกวันนี้คุณชายสี่ฉังยังอาศัยเบี้ยรายเดือนสิบตำลึงจากคลังกองกลางประทังชีวิตทุกเดือนอยู่เลย!
ไป๋จื่อกล่าว “มิน่าเล่าเมื่อหลายวันก่อนโหวฮูหยินถึงพูดว่าต้องการหางานให้คุณชายสี่ฉังสักตำแหน่งหนึ่ง ตอนนี้ยังมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ในใจของโหวฮูหยินคงจะขุ่นแค้นอยู่บ้างกระมัง”
ไป๋ซู่กล่าว “ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดคุณชายสี่ฉังถึงไม่มีเรื่องชกต่อยกับคุณชายสามฉัง ข้าดูจากท่าทางของคุณชายสี่ฉังนั่น เชิดจนดวงตาแทบจะขึ้นไปตั้งอยู่กลางศีรษะแล้ว ถึงกับระงับความโกรธนี้เอาไว้ได้ เห็นได้ชัดว่าก็เป็นเพียงคนกระดาษพองลมผู้หนึ่งเท่านั้น”
หวังซีทำเพียงฟังเท่านั้น สิ่งที่นางสนใจมากกว่าคือเมื่อไรตัวเองจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิว โดยเฉพาะเช้าตรู่วันถัดมา หงโฉวพาดตัวอยู่บนกำแพงของสวนร่มหลิวรอจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น ป่าไผ่ข้างๆ ก็ยังไม่มีคนรำกระบี่ผู้นั้นปรากฏตัวออกมาให้เห็น
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” นางผิดหวังเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “เหตุใดวันนี้ก็ไม่มาอีกแล้ว”
หงโฉวเองก็ซึมเซา กล่าวว่า “ข้า…ข้าเองก็ไม่ทราบ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย”
นางกับชิงโฉวมิได้ปรนนิบัติรับใช้หวังซีมาตั้งแต่เด็ก
มาอยู่ข้างกายหวังซีได้ไม่ถึงสองปี ก็มักถูกท่านย่าและมารดาของหวังซีตีบ่อยๆ
นางทำภารกิจพลาดติดต่อกันสองครั้งแล้ว
ดวงหน้าของชิงโฉวซีดเผือดเล็กน้อย
ก่อนเดินทางมานางกับหงโฉวได้หารือกันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรั้งอยู่ข้างกายหวังซี และรั้งอยู่ที่สกุลหวังให้ได้
หากพวกนางถูกส่งตัวกลับไป ไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าเผ่า แม้แต่บิดามารดาของพวกนาง ก็ไม่มีทางยกโทษให้พวกนาง
ไป๋กั่วรู้สึกว่าหงโฉวและชิงโฉวไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ ยิ้มกล่าวกับหวังซีเสียงอบอุ่นว่า “ท่านบอกว่าต้องการสืบว่าคนรำกระบี่เป็นใครมิใช่หรือ ไม่แน่ว่าวันนี้คนผู้นั้นอาจจะมีธุระอะไรก็เลยมาไม่ได้เท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้พวกเราก็ไม่เคยเจอคนรำกระบี่ผู้นั้นมิใช่หรือ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจเลยเจ้าค่ะ เมื่อวานคุณหนูสี่ให้คนมาแจ้งว่าวันนี้อยากมาเยี่ยมท่าน ข้าจะให้คนไปแจ้งหวังสี่เดี๋ยวนี้ ไม่แน่ว่าตอนบ่ายพวกเราอาจจะได้รู้ว่าเหตุใดคนผู้นั้นถึงไม่ปรากฏตัวที่ป่าไผ่”
หวังซีถอนหายใจ
ฉังเคอมาถึงตามเวลานัดหมาย
นางนำผลงานเย็บปักของตัวเองมามอบให้หวังซีสองสามชิ้น ยังกล่าวขออภัยอย่างสุดซึ้งว่า “ข้ารู้ว่าการเย็บปักแบบสู่ซิ่ว[1]ของพวกเจ้ามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เจ้าเองก็ไม่ขาดแคลนของเหล่านี้ นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า เจ้าช่วยข้าเอาไว้ครั้งใหญ่”
หวังซีปรับอารมณ์มาพูดคุยกับฉังเคอ เอ่ยถามว่า “เรื่องของเจ้าได้ข้อสรุปแล้วหรือ”
“ยัง!” ฉังเคอยิ้มกล่าว “แต่อย่างไรก็ตาม ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากแล้วว่า ถ้าหากไม่ได้การจริงๆ ให้ข้าไปพักอยู่ที่เรือนหยกวสันต์ชั่วคราวก่อน”
นี่ก็นับเป็นทางออกที่ไม่เลวนัก
ผู้คนนั้นยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งชิดใกล้ ฉังเคออยู่กับฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าก็น่าจะดูแลนางมากขึ้น
หวังซีกล่าวแสดงความยินดีด้วยความจริงใจว่า “ยินดีด้วย”
ฉังเคอหัวเราะอย่างกระดากอาย กล่าวว่า “เป็นเจ้าที่ช่วยเสนอความคิดดีๆ ให้ข้า เมื่อก่อนข้าเองก็คิดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าทำ หวังว่าครานี้จะได้รับความโปรดปรานจากท่านย่าบ้าง”
ช่วยหาคู่ครองดีๆ ให้นางสักคน
หวังซีพยักหน้า
อาจเป็นเพราะได้ผ่านบางอย่างร่วมกันมา ฉังเคอรู้สึกใกล้ชิดกับหวังซีมากกว่าแต่ก่อน เวลาพูดจาก็ไม่เหินห่างเหมือนก่อนหน้านี้ ยังยิ้มหวานให้หวังซีพลางกล่าวด้วยอาการเขินอายอยู่หลายส่วนว่า “เป็นข้าเองที่หวาดกลัวมากเกินไป เนื่องจากถัดจากสวนร่มหลิวไปก็เป็นศาลากวางร้องของจวนจ่างกงจู่ ตอนคุณชายรองเป็นเด็กยังอยู่ในวัยปีนกำแพงนั้นเคยปีนผิดเข้ามาในบ้านของพวกข้าด้วย ข้าจึงรู้สึกว่าสวนร่มหลิวไม่ปลอดภัย คล้ายกับว่าอาจมีคนปีนเข้ามาได้ทุกเมื่อ ความจริงแล้วถึงแม้คุณชายรองนิสัยไม่ดี ทว่าก็ไม่เคยรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า…”
“เดี๋ยวก่อน” หวังซีพลันหูตั้งตรงขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าว่าอะไรนะ ถัดจากสวนร่มหลิวไปเป็นศาลากวางร้องของจวนจ่างกงจู่ เจ้ารู้ได้อย่างไร แล้วคุณชายรองคือใคร”
ฉังเคอเบิกดวงตากว้าง จากนั้นไม่นานนางก็เอามือป้องปากหัวเราะออกมา อธิบายเสียงนุ่มว่า “เจ้าเพิ่งมาถึงบ้านของพวกข้า ไม่แปลกที่ไม่รู้ ข้างบ้านพวกเราเป็นจวนของจ่างกงจู่มิใช่หรือ ศาลากวางร้องเป็นลานบ้านของเฉินลั่วบุตรชายแท้ๆ ของจ่างกงจู่ เขาเป็นบุตรชายลำดับที่สองของตระกูลเฉิน พวกข้าต่างเรียกเขาว่าคุณชายรอง…
…คุณชายรองได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างเหลือล้น เวลาครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในวัง อีกครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในจวนจ่างกงจู่ เวลาเขากลับมาที่จวน มักจะมีองค์ชายตามกลับมาเล่นกับเขาด้วย เขายังพาองค์ชายไปมีเรื่องกับสามัญชนในเมืองหลวงด้วย เจิ้นกั๋วกงลงโทษเขา เขาจึงปีนกำแพงหนี มีครั้งหนึ่ง องค์ชายรองและองค์ชายสามปีนกำแพงร่วงตกลงมาที่ลานบ้านของพวกข้าพร้อมกับเขา เจิ้นกั๋วกงจึงไล่ตามมา…
…พวกเขาเป็นดั่งเทพเซียนทะเลาะกัน บ้านของพวกข้ารับมือไม่ไหว จึงปิดลานบ้านนี้ไปเสีย”
…………………………………………………………….
[1] การเย็บปักแบบสู่ซิ่ว การเย็บปักสไตล์ชื่อชวน เป็นหนึ่งในสไตล์การเย็บปักแบบดั้งเดิมทั้งสี่ของจีน โดยอีกสามแบบที่เหลือคือ ซูซิ่ว (สไตล์ซูโจว) เซียงซิ่ว (สไตล์หูหนาน) และเย่ว์ซิ่ว (สไตล์ก่วงตง)