เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 112 ให้กำลังใจ
หวังซีประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “เจ้าไปพบใต้เท้าอวี๋มาแล้ว?”
“อื้อ!” เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า “ใต้เท้าอวี๋เป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง บอกว่าเจียงชวนป๋อช่วยจวนชิงผิงโหวเอาไว้ ใต้เท้าอวี๋ยังบอกเป็นนัยให้ข้าช่วยไปสืบดูว่าฮ่องเต้ต้องการทำอะไรกันแน่ หากเงินในคลังไม่พอ ก็ให้กรมคลังคิดหาวิธีแก้ไขได้ แต่โยกย้ายเงินออกจากค่าใช้จ่ายของกองทัพเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หากมีข่าวแพร่ออกไป ก็มีผลเสียต่อชื่อเสียงของฮ่องเต้เช่นกัน”
ความจริงแล้วอวี๋จงอี้พูดหยาบคายกว่านี้มาก เพียงแต่เฉินลั่วคิดว่าไม่จำเป็นต้องเล่าให้หวังซีฟังอย่างละเอียด ให้นางต้องระคายหู
หวังซีรู้สึกว่าไม่เสียแรงที่อวี๋จงอี้เป็นมหาบัณฑิตอยู่ในสำนักราชเลขาธิการ เพียงไม่กี่ประโยคก็พูดได้ตรงจุดสำคัญแล้ว
นางถามเฉินลั่ว “แล้วเจ้าคิดจะช่วยสืบให้ใต้เท้าอวี๋หรือไม่”
เฉินลั่วได้ยินแล้วรินชาให้หวังซีใหม่ ถึงได้ตอบว่า “ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าฮ่องเต้คิดอย่างไรกันแน่ อยากแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว? แต่ก็กลัวว่าองค์ชายเจ็ดอายุน้อยจะเสียเปรียบ จึงต้องการเตรียมการเรื่องในอนาคตเอาไว้ให้เรียบร้อยก่อน?”
ไม่ว่าพระสนมคนใดได้รับเลือกให้ถวายการรับใช้ สุดท้ายก็ล้วนแล้วแต่เป็นนางสนมของราชวงศ์ทั้งสิ้น ตอนมีชีวิตอยู่ต้องรักษาเกียรติ ไม่อาจโปรดอนุละเลยภรรยาอย่างโจ่งแจ้ง แต่เมื่อใกล้เสียชีวิต การถางทางไว้ให้โอรสที่ถือกำเนิดจากสนมอันเป็นที่รัก ก็มีให้พบเห็นอยู่บ่อยๆ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น การไปยุ่งกับเงินของกองทัพ ก็ไม่ต่างจากการที่เจ้าวางแผนเอาเงินของกองกลางออกไป ก็ทำเกินไปสักหน่อย
ทว่าสิ่งที่หวังซีสนใจกลับอยู่ที่เรื่อง ‘แต่งตั้งรัชทายาท’ นางถาม “เจ้าค้นพบอะไรบางอย่างมาใช่หรือไม่”
เฉินลั่วไม่คิดปิดบังเรื่องนี้จากนาง กล่าวเสียงเคร่งว่า “ข้าเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเหตุใดฮ่องเต้ต้องทำเช่นนี้ ข้าจึงลองเปลี่ยนตำแหน่งกับเขาแล้วไตร่ตรองดู คิดว่าหากข้าเป็นฮ่องเต้ เหตุใดข้าต้องทำเช่นนี้ด้วย คิดไปคิดมา ก็มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น แต่เมื่อคิดเช่นนี้ ก็เหมือนไม่ถูกต้องเช่นกัน องค์ชายรองมิใช่คนจิตใจคับแคบ นอกจากนี้การดูแลอนุชาที่ยังเด็ก เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของเชษฐาอย่างเขาอยู่แล้ว องค์ชายเจ็ดก็มิได้ต้องการแย่งชิงอำนาจกับเขา ก็แค่ใช้เงินเลี้ยงดูอนุชาผู้นี้มากสักหน่อยเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงองค์ชายรอง ต่อให้เปลี่ยนเป็นองค์ชายพระองค์อื่นขึ้นครองราชย์ ก็ทำได้เช่นกัน เช่นนั้นฮ่องเต้กำลังกังวลอะไรอยู่กันแน่”
หวังซีเองก็คิดไม่ตก นางทำได้แค่ให้กำลังใจเฉินลั่ว “เช่นนั้นก็ค่อยๆ ดูกันไป เมื่อแผนที่คลายออกกริชก็ถูกเปิดเผยออกมาเอง บางครั้งพวกเราใจร้อนเกินไป จึงรอไม่ถึงเวลานั้น”
เฉินลั่วพยักหน้าอย่างไร้ทางเลือก กล่าวว่า “ช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเกินไป ข้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย”
หวังซีพอจะเข้าใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ปกติเจ้ามีงานอดิเรกอะไรบ้าง มิสู้วางเรื่องน่ากวนใจเหล่านี้ลงก่อน พักผ่อนดีๆ สักสองสามวัน อาจทำให้อารมณ์ดีขึ้นก็เป็นได้”
เฉินลั่วพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองมีความชอบอะไรบ้าง
สมัยเด็กอยากให้บิดาโปรดปรานตัวเองบ้าง บิดาบอกอะไรก็ทำสิ่งนั้น ต่อให้ในใจรังเกียจแค่ไหนก็นั่งอ่านหนังสือคัดอักษรนิ่งๆ เป็นเวลาหลายชั่วยามได้ ต่อมาเมื่อโตขึ้น รู้ว่าต่อให้ตนเชื่อฟังแค่ไหน บิดาก็ไม่ใส่ใจอยู่ดี ตรงกันข้ามท่านลุงที่เป็นฮ่องเต้ ชมไม่หยุดว่าเขามีพรสวรรค์เรื่องขี่ม้ายิงธนู เพื่อเอาใจท่านลุงแล้ว เขาจึงเริ่มฝึกวิชาการต่อสู้อย่างหนัก
ส่วนเรื่องที่ว่าจริงๆ แล้วเขาชอบอ่านหนังสือหรือชอบฝึกยุทธ์กันแน่นั้น ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ดูเหมือนไม่อาจแยกให้ชัดเจนได้
เฉินลั่วนั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าดูสับสนเล็กน้อย
หวังซีมองแล้ว หัวเราะ คิก อยู่ในใจครั้งหนึ่ง
คงมิได้เป็นอย่างที่นางคิดไว้หรอกกระมัง
ความชอบทั้งหมดของเฉินลั่วล้วนเป็นอะไรที่นำมาใช้ได้จริงทั้งสิ้น นอกเหนือจากนี้ เขาก็ไม่มีกิจกรรมยามว่างอื่นแล้ว…
นางพลันรู้สึกหัวใจถูกบีบอัดจนเป็นก้อน
เฉินลั่วที่อยู่ตรงหน้ายังคงมีสีหน้าองอาจเยี่ยงวีรบุรุษ แต่ชีวิตของเขากลับไม่ได้ข้องเกี่ยวกับความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว
หวังซีอดไม่ได้ช่วยเขาออกจากสถานการณ์อันน่าอับอาย กล่าวว่า “เจ้าชอบอาหารเลิศรสหรือไม่ หากมีเวลาว่างก็ไปหาของอร่อยๆ กิน หรือไม่ช่วงว่างเว้นจากการงานในยามปกติก็อาจจะเล่นพิณ เป่าขลุ่ย ปลูกดอกไม้ หรือตัดต้นหญ้าอยู่ในบ้านก็ได้”
เฉินลั่วไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้นัก แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงเจตนาดีและความกระตือรือร้นที่อยากให้เขามีความสุขมากขึ้นของหวังซี
เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “แม้นข้าจะไม่ชอบกิจกรรมที่เจ้ากล่าวมาเลยก็ตาม ทว่าก็มิได้รู้สึกว่าชีวิตลำบากอะไร”
หวังซีนึกถึงท่านปู่ของนาง หลังจากที่ส่งต่อกิจการในบ้านให้บิดาของนางดูแลแล้ว ก็ชอบตกปลาเป็นชีวิตจิตใจ นางกล่าว “ไม่อย่างนั้นเจ้าลองไปตกปลาดูดีหรือไม่ ข้ารู้สึกว่ามันน่าสนใจยิ่ง ฉวยยามว่างครึ่งวันอยู่ท่ามกลางขุนเขาลูกแล้วลูกเล่าก็ไม่เลวนักเหมือนกัน เจ้ายังได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีขีดจำกัดอีกด้วย”
เฉินลั่วฟังแล้วในหัวปรากฏภาพของหวังซีตัวน้อย ลำแขนขาวเนียนดุจรากบัว มือเล็กบางที่มีลายนิ้วมือก้นหอยสิบอัน ลากตะกร้าไผ่ที่สูงพอๆ กับตัวนาง วิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบๆ ผู้เฒ่าผมขาวโพลนที่นั่งตกปลาอยู่ใต้ร่มเงาไม้ข้างแม่น้ำ
เขาหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถามขึ้นว่า “เจ้าชอบตกปลา?”
หวังซีหัวเราะ ตอบว่า “ข้าไม่ค่อยชอบตกปลาเท่าไรนัก”
นางชอบย่างปลากินมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาที่มาจากลำธารเล็กตรงเขาหลังบ้านของพวกนางสายนั้น
คนครัวของพวกนางบอกว่า ปลาจากลำธารเส้นนั้นของพวกนางเป็นปลาน้ำเย็น อร่อยกว่าปลาน้ำจืดและปลาทะเลอีก เหตุใดปลาจากลำธารเส้นนั้นของพวกนางถึงเป็นปลาน้ำเย็นนั้นนางก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รสชาติอร่อยมากนั้นเป็นเรื่องจริง
นึกถึงตรงนี้ หวังซีน้ำลายสอไปหมด
เฉินลั่วมองท่าทางนี้ของนาง นึกถึงนิสัยชอบกินของนางขึ้นมา ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ว่าเหตุใดนางถึงเป็นเช่นนี้
เขาหัวเราะอย่างเบิกบานมากขึ้น กล่าวว่า “ข้ามีบ้านหลังหนึ่งที่ภูเขาตะวันตก หลังเขาก็มีลำธารเล็กเหมือนกัน วันไหนมีเวลาว่าง เจ้าไปพักที่นั่นสักระยะหนึ่งก็ได้”
เนื่องจากนางมาอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหว นานๆ ทีใช้หลงจู๊ใหญ่เป็นข้ออ้างออกไปเที่ยวเล่นสักหนึ่งหรือสองวันได้ ทว่าไปอยู่สักระยะหนึ่งนั้นคงทำไม่ได้
“มีโอกาสเมื่อไรค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!” หวังซีตอบอย่างคลุมเครือ พูดถึงเรื่องที่นางไปตกปลาเป็นเพื่อนท่านปู่ตอนเป็นเด็กขึ้นมา
แค่เรื่องเล็กน้อยนี้ ทั้งสองคนกลับเจ้าเอ่ยประโยคหนึ่งข้าเอ่ยประโยคหนึ่ง คุยกันจนกระทั่งได้ยินเสียงตีกลองบอกเวลายามสาม ถึงได้รู้สึกตัวว่าดึกมากแล้ว
หวังซีหาวออกมาครั้งหนึ่ง
เฉินลั่วรีบลุกขึ้นกล่าวขอตัว
ความง่วงงุนของหวังซีโบยบินหายไปทันที กล่าวเย้าเขายิ้มๆ ว่า “เจ้ากลับประตูไหน”
เฉินลั่วหัวเราะฮ่าเสียงดัง ตอบว่า “ข้ากลับประตูของข้า”
หวังซียิ้มพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง เฉินลั่วหัวเราะออกจากสวนร่มหลิวไป กระทั่งกลับมาถึงห้องชั้นในของศาลากวางร้อง มุมปากยังคงยกยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มยังไม่จางหายไป
เฉินอวี้ประหลาดใจ กล่าวว่า “ใต้เท้าได้รับข่าวดีอะไรจากคุณหนูหวังมาหรือ วันนี้ท่านดูมีความสุขนัก!”
“อย่างนั้นหรือ” เฉินลั่วกล่าว ยืนอยู่หน้ากระจก ยื่นแขนออก ปล่อยให้บ่าวชายถอดอาภรณ์ให้เขา
คิ้วและตาของคนในกระจกแต้มรอยยิ้มเอาไว้หลายส่วน เห็นๆ อยู่ว่าเป็นใบหน้าที่เขาเห็นมาสิบเก้าปีแล้ว ดูเหมือนต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แผ่กิ่งก้านใบ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ดูยืดหยุ่นทว่าแข็งแกร่ง
นี่คือเขาหรือ
เฉินลั่วอดไม่ได้ขยับเข้าไปหนึ่งก้าว เมื่อเดินเข้าไปใกล้กลับดูเลือนรางมากกว่าเดิม
เขาตกตะลึง
เฉินอวี้กำลังตรวจดูว่าน้ำอุ่นที่บ่าวชายตักเข้ามาให้นั้นอยู่ในอุณหภูมิเหมาะสมหรือไม่อยู่จึงไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องพวกนี้ เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้ใต้เท้าไม่เพียงมีสีหน้าผ่อนคลายเท่านั้น น้ำเสียงยังฟังดูสดชื่นกว่าปกติอีกด้วย ท่านต้องไปเจอเรื่องน่ายินดีอะไรมาแน่ๆ! ข้ารับใช้ใต้เท้ามาหลายปี ไม่มีทางเดาผิดอย่างแน่นอน”
เขานำสบู่หอม ผ้าขัดตัวและอื่นๆ ที่บ่าวชายจัดไว้ในถาดไปวางบนโต๊ะขนาดเล็กข้างถังอาบน้ำให้เรียบร้อย ทว่าปากก็ไม่ว่างเว้น ยังคงเจื้อยแจ้วกล่าวอยู่ตรงนั้นต่อไปว่า “คุณหนูหวังพูดอะไรกับท่านหรือขอรับ ใช่เรื่องที่ไปจวนชิงผิงโหวหรือไม่ วันนี้ข้าให้คนไปสืบมาเป็นพิเศษ ได้ยินว่าคุณหนูหวังเข้ากับบรรดาคุณหนูเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ยังได้รับเทียบเชิญมาหลายใบด้วย เห็นว่าเชิญคุณหนูหวังไปเป็นแขกที่บ้าน คุณหนูหวังผู้นี้เป็นคนไม่เลวเลยจริงๆ เพียงไม่นานก็ผูกสัมพันธ์เป็นสหายกับสตรีชั้นสูงเหล่านั้นได้แล้ว ใต้เท้าให้คุณหนูหวังไปสืบข่าวให้ ช่างเลือกได้ถูกคนแล้วจริงๆ ขอรับ!”
คำประจบประแจงเช่นนี้ ในหนึ่งวันไม่รู้ว่าเฉินลั่วได้ยินมาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่วันนี้ถ้อยคำของเฉินอวี้กลับทำให้เขารู้สึกระคายหูเล็กน้อย
อะไรที่เรียกว่าให้คุณหนูใหญ่หวังไปสืบข่าวให้? ต่อให้ไม่มีหวังซี มีอะไรที่เขาอยากรู้แล้วไม่ได้รู้ด้วยหรือ ก็แค่เมื่อมีคุณหนูหวังช่วยออกหน้าให้ บางสถานการณ์ช่วยให้เรื่องราวง่ายดายขึ้นก็เท่านั้น พูดราวกับว่าเขาฉวยประโยชน์จากคุณหนูหวังมาอย่างอยุติธรรมมากก็ไม่ปาน
เฉินลั่วไปอาบน้ำโดยไม่กล่าวอะไร เปลี่ยนไปสวมชุดตัวกลางสำหรับพักผ่อนเสร็จแล้วก็เดินออกมา
เฉินอวี้ยกขนมหนึ่งจานเล็กกับชาร้อนๆ เข้ามาอย่างกระตือรือร้น กล่าวว่า “ใต้เท้า ข้าเห็นว่าตอนที่ท่านอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงไม่ค่อยกินอะไรเท่าไรนัก ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว กินอย่างอื่นก็ไม่ค่อยย่อย พอดีว่าในห้องน้ำชายังมีขนมที่คุณหนูหวังให้คนส่งมาให้เมื่อวานเหลืออยู่ ท่านรองท้องก่อน พรุ่งนี้ข้าจะให้ในครัวทำขนมแป้งทอดไส้เนื้อลูกกลมกับโจ๊กข้าวฟ่างที่ท่านชอบกินที่สุดมาให้นะขอรับ”
ขนมที่ว่าคือขนมดอกหอมหมื่นลี้ ตัวแป้งขาวดุจหิมะโรยหน้าด้วยดอกหอมหมื่นลี้สีทอง เฉินลั่วได้กินตอนอยู่ที่เรือนของหวังซีแล้ว หวานแต่ไม่เลี่ยน กลิ่นหอมเตะจมูก ตอนนั้นเขายังกินติดๆ กันถึงสองชิ้น คิดไม่ถึงว่าหวังซีจะให้คนส่งมาให้อีกเล็กน้อยด้วย ส่วนชาคือชาโบตั๋นขาวที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกรสชาติไม่เลวนักตัวนั้น น้ำชาสีเหลืองทองกระจ่างใส รสชาติกลมกล่อมหวานติดปลายลิ้น บรรจุอยู่ในถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีแดงสดใสที่ได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ตอนก่อนปีใหม่ ทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา
เขาถอนหายใจบางเบาครั้งหนึ่ง
วันนี้ที่เขาอารมณ์ไม่ดีนั้น มิใช่เพราะไปจวนอวี๋แล้วได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นของใต้เท้าอวี๋ สำหรับเขาแล้ว ฮ่องเต้อยากทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง อย่างไรเสียใต้ฟ้านี้ก็เป็นของเขา ในเมื่อเขาไม่ต้องการแล้วก็ย่อมมีคนมาช่วงชิงเป็นธรรมดา แต่ที่เขาขุ่นเคืองใจเป็นเพราะหลังจากกลับมาจากจวนอวี๋แล้ว เขาก็ถูกบิดาเรียกไปรับมื้อเย็นด้วย
ยังมีเฉินอิงอยู่รับมื้อเย็นพร้อมกับเขาด้วยอีกคน
ฟังจากน้ำเสียงของบิดาเขาแล้ว เป็นเพราะเขาปฏิเสธเรื่องเดินทางไปหมิ่นหนาน ฮ่องเต้จึงคิดจะให้เขาไปเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาที่กองบัญชาการทหารทั้งห้า รับผิดชอบหน้าที่ในกองบัญชาการทหารส่วนหน้า
กองบัญชาการทหารทั้งห้าไม่ต่างกับกองพลส่วนพระองค์ทั้งยี่สิบของฮ่องเต้ มีบุตรหลานของตระกูลผู้ลากมากดีจำนวนมากได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอยู่ในนั้น เป็นพนักงานกินเงินเดือน เรียกรวมๆ กันว่า ‘ผู้บังคับบัญชา’ แต่ไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจน แต่ทุกตำแหน่งที่มีการระบุตำแหน่งอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นตำแหน่ง ‘ผู้บังคับบัญชาส่วนหน้า’ ของเฉินอวี๋ นั่นหมายความว่าเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสั่งการจริงๆ หลักการเดียวกัน ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาของกองบัญชาการทหารทั้งห้า ก็เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสั่งการจริงๆ เช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นตำแหน่งที่มียศขั้นหนึ่งล่างอีกด้วย
หากเฉินลั่วไปรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาส่วนหน้าที่กองบัญชาการทหารทั้งห้าจริง นั่นก็เท่ากับว่าได้เลื่อนขั้นสามขั้นในคราวเดียว กลายเป็นขุนนางทหารที่อายุน้อยที่สุดของรัชสมัยปัจจุบัน
ในฐานะที่เป็นหลานชายที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุด นี่ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
ที่ทำให้เฉินอวี๋ยอมรับไม่ได้ที่สุดคือ เฉินลั่วเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาอยู่ในกองบัญชาการทหารส่วนหน้าที่เขาทำงานอยู่
นี่มิใช่กำลังบอกผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้งหรือว่า ฮ่องเต้อยากให้เฉินลั่วรับงานต่อจากเฉินอวี๋?
เช่นนั้นจวนเจิ้นกั๋วกงจะแต่งตั้งซื่อจื่อหรือไม่จะมีความหมายอะไร
ที่เฉินอวี๋เรียกเฉินลั่วไปก็เพราะต้องการถามว่าเหตุใดเขาถึงไม่ไปหมิ่นหนาน
เฉินลั่วคิดว่าหากเขาพูดเหตุผลที่แท้จริงออกมา นอกจากเฉินอวี๋จะไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาแล้ว ยังอาจเหมือนเมื่อก่อน ที่หลายต่อหลายครั้งมักจะคิดว่าเขาแยกแยะชั่วดีไม่ได้ ถ้าหากเขาเผยความลังเลที่มีต่อฮ่องเต้ออกมาให้เห็นแม้แต่นิดเดียว เฉินอวี๋อาจถึงขั้นรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกฮ่องเต้อย่างเกินจริงทันทีก็เป็นได้
ฮ่องเต้อยากวางอนาคตให้เขา แต่เขากลับทำเช่นนี้ ต่อให้ฮ่องเต้ทรงทราบแล้วไม่ตำหนิเขา ก็อาจจะปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชากระมัง
ขุนนางที่ถูกฮ่องเต้ปฏิบัติอย่างเย็นชามีผลลัพธ์เป็นอย่างไรนั้น เชื่อว่าทุกคนคงรู้ดี
…………………………………………………………………….