เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 117 อากับหลาน
หวังซีเคยเรียนวิชาหมัดมวยมาบ้าง แม้นไม่อาจขันแข่งกับคนได้ แต่ในยามคับขันก็พอจะปกป้องส่วนสำคัญของตัวเอง ไม่ถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้
ฉังเคอกับนางเป็นพี่สาวน้องสาวที่ดีต่อกัน เห็นฉังเคอถูกคนทำร้ายอย่างอำมหิต นางไหนเลยจะทันได้คิดอะไรมาก กระโจนออกไปกอดขาของคนผู้นั้นเอาไว้ คิดว่าเมื่อตนขวางเอาไว้เช่นนี้แล้ว ต่อให้เท้าข้างนั้นเตะโดนตัวฉังเคอ ก็น่าจะลดความรุนแรงลงได้หลายส่วน ทำให้ฉังเคอไม่ถึงกับบาดเจ็บมากนัก
ฉังเคอกลับถูกเท้าข้างนั้นเตะจนเบื้อใบ้ไปแล้ว หลบก็ไม่รู้จักหลบ หลีกก็ไม่รู้จักหลีก เพราะได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างสะเทือนใจของหวังซี นางถึงได้สติคืนกลับมา ล้มตัวลงบนพื้นตามสัญชาตญาณ
“พี่สาวสี่” หวังซีตะโกนเสียงดัง หน้าอกคล้ายกับถูกแทงด้วยมีดที่เจ็บจนเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด
“ข้าไม่เป็นไร” ฉังเคอรีบกล่าว “เขาเตะไม่โดนข้า”
หากมิใช่หวังซีช่วยขวางนางเอาไว้ล่ะก็ นางคงมิใช่แค่ล้มลงบนพื้นง่ายๆ เท่านั้นเป็นแน่
นางมองหวังซีอย่างซาบซึ้งใจครั้งหนึ่ง ถึงได้รับรู้ถึงความปวดแสบปวดร้อนตรงกลางฝ่ามือ
คงจะได้แผลมาจากตอนที่ล้มลงบนพื้นเมื่อครู่
แต่นางไม่อยากให้หวังซีเป็นห่วง
ยามหายนะใหญ่มาเยือนต่างคนต่างโบยบิน แม้แต่สามีภรรยายังยากจะหนีข้อเท็จจริงนี้พ้น นับประสาอะไรกับพี่สาวน้องสาวอย่างพวกนางที่เพียงค่อนข้างเข้ากันได้ดีเท่านั้น แต่หวังซีกลับเสี่ยงชีวิตมาช่วยนาง
หากบอกว่าเมื่อก่อนฉังเคอเพียงรู้สึกว่าหวังซีนิสัยน่าคบหา หน้าตาดี เป็นคนที่คบหาเป็นสหายสนิทได้ผู้หนึ่ง เช่นนั้นบัดนี้ นางก็เห็นหวังซีเป็นคนที่สนิทสนมยิ่งกว่าพี่น้อง เป็นสหายสนิทที่ฝากฝังชีวิตไว้ได้
อีกฝ่ายเป็นใครนั้นพวกนางไม่รู้ สิ่งที่นางกลัวที่สุดในเวลานี้คือหวังซีจะออกหน้าทำเพื่อนางอีก ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง นำอันตรายมาถึงชีวิตของหวังซี
ฉังเคอแอบเช็ดมือกับเสื้อผ้า ปลอบโยนหวังซีว่า “ข้าเพียงตกใจกลัวเท่านั้น”
หวังซีโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ปล่อยขาของคนผู้นั้นออกอย่างกระดากอายเล็กน้อย ถอยหลังสองสามก้าว ถึงได้มองเห็นชัดว่าคนที่มาใหม่เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีผู้หนึ่ง สวมชุดเต้าเผาผ้าเนื้อหยาบสีน้ำตาล ผิวคล้ำ องคาพยพทั้งห้าค่อนข้างโดดเด่น ดูเป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนคนในตลาดที่ทำงานตากแดดตากฝนมาตลอดทั้งปีเพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อมองให้ละเอียดกลับพบว่าในดวงตาคู่นั้นของเขาสุกสว่างเหมือนดวงดาราในคืนอันหนาวเหน็บ แหลมคมน่าเกรงขาม ดวงหน้ายังเผยความมั่นใจในตัวเองออกมาให้เห็นบ่อยครั้ง เป็นคนไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง
แม้นดวงหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามระงับไฟโทสะไว้ กล่าวปลอบประโลมเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน “อาหลีไม่ต้องกลัว อาเก้าอยู่ที่นี่แล้ว หากผู้ใดกล้ารังแกเจ้า อาเก้าจะแก้แค้นให้เจ้าเอง”
เขาเหมือนไม่มีเวลามาสนใจหวังซีและคนอื่นๆ
หงโฉวและชิงโฉวที่ได้ยินเสียงร้องของหวังซีก็รีบวิ่งเข้ามาเช่นกัน ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าหวังซีกับฉังเคอ ถามหวังซีอย่างระวังภัยว่า “คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” แล้วก็กล่าวอย่างเสียใจอีกว่า “พวกข้าเห็นว่าบริเวณนี้ไม่มีใคร ก็เลยตามอยู่ห่างเกินไป…”
ผู้ใดจะรู้ว่ากลับเกิดเรื่องขึ้นในจังหวะนี้เอง
“ไม่เป็นไร!” หวังซีดึงฉังเคอลุกขึ้น กล่าวว่า “น่าจะเป็นความเข้าใจผิด”
ต่อให้เป็นการเข้าใจผิด นั่นก็เพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ
ฉังเคอรู้สึกผิดมาก
หยอกล้อเด็กผู้หนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับความโชคร้ายเช่นนี้
นางดึงหวังซีไปอยู่ข้างหลังของตัวเอง รู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ควรให้ตัวเองเป็นคนรับผิดชอบถึงจะถูก
เพียงแต่ว่าเด็กคนนั้นค่อยๆ สงบลงจากการปลอบประโลมของอาเก้าผู้นั้นแล้ว ซบอยู่บนบ่าของอาเก้าสะอื้นไห้เบาๆ ต่อให้อยากกล่าวขอโทษ ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก ทุกคนจำต้องรอให้อาเก้าปลอบเด็กเสร็จก่อนค่อยว่ากันอีกที
เด็กคนนั้นก็น่าขันนัก รอจนอารมณ์สงบลงไม่ร้องไห้แล้ว อาเก้าของเขาลูบศีรษะของเขาอย่างรักใคร่ ตอนที่อยากปลอบโยนเขาอีกสักสองสามประโยคนั้น เขากลับดึงคอเสื้อของอาเก้าของเขาไว้ น้ำตาคลอเบ้า มองหวังซีอย่างอาลัย พึมพำกล่าวเสียงเบาว่า “ขนมหลี”
คาดว่านี่ก็เป็นนักกินอีกผู้หนึ่งเช่นกัน!
หวังซีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รู้สึกเหมือนมองเห็นตัวเองตอนเป็นเด็ก เพราะอยากกินขนมทำจากข้าวสาลีใหม่ๆ จึงอยากตามป้ารับใช้ในเรือนครัวไปเก็บใบบัวด้วยให้ได้ ผลปรากฏว่าตกลงไปในทะเลสาบและสำลักน้ำ แต่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องกินขนมใบบัวอยู่
นางหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ อดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้าชื่ออาหลีกระมัง พี่สาว…” นึกถึงอาเก้าของเขาผู้นั้นช่างน่ารังเกียจ แม้นบอกว่าเพราะเป็นห่วงเด็กน้อย แต่ก็ไม่ควรเตะคนโดยไม่ไต่ถามให้ละเอียด เกือบทำให้นางกับฉังเคอได้รับบาดเจ็บแล้ว หากนางเรียกตัวเองว่า ‘พี่สาว’ มิเท่ากับว่าลดลำดับอาวุโสลงมาต่ำกว่าคนผู้นั้นไปหนึ่งระดับหรอกหรือ นางควรเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ “น้าเองก็พักอยู่ในวัดนี้เช่นกัน เจ้าพักอยู่ที่ไหนหรือ ประเดี๋ยวข้าจะได้ให้คนเอาขนมหลีไปส่งให้เจ้าชิม หากเจ้ารู้สึกว่าอร่อย ก็ให้คนที่บ้านมาขอสูตรจากน้าได้ ต่อไปจะได้ให้คนในบ้านทำให้เจ้ากิน”
ความจริงหวังซีหาใช่คนกระตือรือร้นเช่นนี้ แต่ต้านทานความน่ารักของอาหลีผู้นี้ไม่ไหว ผิวขาวเนียนละเอียดนั่นเหมือนหิมะจริงๆ เมื่อถูกแสงแดดส่อง ราวกับจะละลายได้ก็ไม่ปาน นางมองแล้วใจอ่อนยวบ อยากเอามากอดมาลูบคลำสักครั้งเหลือเกิน
‘อาเก้า’ ตะลึงงัน ดวงตาทั้งคู่ของอาหลีกลับเป็นประกาย ประกอบกับมีประกายน้ำวาบผ่านกระบอกตาของเขา ทำให้คนมองแล้วแทบจะใจละลาย อย่าว่าแต่หวังซีเลย แม้แต่ฉังเคอเองก็ต้านทานไม่ไหว กล่าวปลอบอาหลีว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว พวกน้าหาใช่คนไม่ดี เพราะเจ้าน่ารักน่าชัง ถึงได้อยากกอดเจ้า” แล้วก็กล่าวอย่างขออภัยว่า “พวกน้าทำให้เจ้าตกใจกลัวใช่หรือไม่ พวกน้าไม่ดีเอง ต่อไปจะไม่ทำเช่นนั้นแล้ว”
อาหลีซุกหน้ากับหน้าอกของอาเก้าของเขาอย่างขัดเขิน
อาเก้าของเขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เห็นคนตรงหน้าทั้งสองมีสายตาซื่อตรง รูปลักษณ์โดดเด่น ที่สำคัญที่สุดคือสายตาที่มองอาหลีเต็มไปด้วยความชอบและเอ็นดู ไม่มีความผิดปกติหรือความอยากแสวงหาสิ่งแปลกตาแม้แต่น้อย เขาถึงได้กล่าวกับหวังซีและฉังเคอว่า “ขออภัย! เมื่อครู่เข้าใจพวกเจ้าผิดไป ความจริงเป็นเพราะตอนอาหลีเป็นเด็ก เกือบถูกคนใช้ของกินล่อเพื่อลักพาตัวไปแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าเขามีทั้งความเดียดฉันท์และความละอาย กล่าวอย่างหดหู่ว่า “เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ขอคุณหนูทั้งสองท่านโปรดให้ข้าลาไปก่อน รอข้าปลอบอาหลีเรียบร้อยแล้ว ข้าค่อยมาขอโทษพวกเจ้าอีกครั้ง”
หวังซีเข้าใจดี ครอบครัวของนางทำการค้ากับภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ นางเคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน บางคนยังลักพาตัวลูกของผู้อื่นไปตัดมือตัดเท้า ขังไว้ในกรงเป็นของแปลกแล้วเก็บเงินจากคนดูอีกด้วย…
โชคดีที่เด็กผู้นี้ยังมีผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม นับว่าหน้าไม่ค่อยแตกต่างเท่าไรนัก หากมีผมสีแดงดวงตาสีเขียวล่ะก็คงแย่แน่
จะว่าไปแล้วสุดท้ายเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด
แต่หากคนที่มาเจอมิใช่นางกับฉังเคอ แต่เป็นผู้อื่น ฝ่าเท้านี้ก็คงจะแนบหน้าไปแล้ว
เรื่องขอโทษยังจำเป็นต้องมีอยู่
อย่างไรก็ตามบางเรื่องก็ควรเลี่ยงไม่ให้เด็กน้อยรู้จะดีกว่า
แต่ว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ คือฉังเคอ หวังซีไม่ควรตัดสินใจแทนฉังเคอ
นางมองฉังเคอครั้งหนึ่ง
ฉังเคอเข้าใจ หันไปพยักหน้าให้หวังซี ยังถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วย ยืนอยู่ด้านหลังของหวังซี
ซึ่งหมายความว่าให้หวังซีเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างได้เลย
หวังซีเองก็ไม่ขัดข้อง หันไปยิ้มไม่ถึงดวงตาให้อาเก้าท่านนั้น กล่าวว่า “พาเด็กไปปลอบก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” ส่วนเรื่องอื่นๆ นางไม่ได้เอ่ยว่าจะทำอย่างไร
คาดว่าอาเก้าท่านนั้นก็เข้าใจความคิดของนาง พยักหน้าด้วยสีหน้าไม่แสดงความรู้สึก อุ้มเด็กน้อยเดินจากไป
เด็กน้อยพิงอยู่บนบ่าของอาเก้า เดินไปไกลแล้วยังหันมาโบกมือน้อยๆ ให้หวังซีกับฉังเคอ
ฉังเคอถอนหายใจ “เด็กคนนี้น่ารักน่าชัง ทว่าอาของเด็กกลับเป็นคนอำมหิตผู้หนึ่ง”
หวังซีเองก็ไม่เข้าใจผู้อื่นเหมือนกัน จึงไม่แสดงความเห็น เพียงสั่งการหงโฉวกับชิงโฉวว่า “ให้ไป๋ซู่มาดูพวกข้าหน่อย เมื่อครู่นับว่าอันตรายจริงๆ หากบาดเจ็บตรงไหนคงไม่ดีแน่”
ฉังเคอได้ยินแล้วเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลัง
ไป๋ซู่พอจะรู้เรื่องการแพทย์เล็กน้อย ฉังเคอย่อมปิดบังนางไม่ได้ นอกจากถูกหวังซีบ่นไปหนึ่งคำรบแล้ว หวังซียังปรึกษานางว่าต้องให้อาเก้าของอาหลีชดใช้ด้วย “ข้าดูแล้วครอบครัวของพวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก ลงโทษให้เขาไปหาสมุนไพรหรือไม่ก็คัดพระธรรมสักสองสามหน้าก็พอ”
ฉังเคอปล่อยให้ไป๋ซู่ทายาให้นางไปด้วย กล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “หากคนผู้นั้นไม่รู้หนังสือเล่า”
“ดูจากท่าทางของเขา เขาน่าจะรู้หนังสือ” หวังซีกล่าวอย่างแน่วแน่ รอจนฉังเคอพันมือเสร็จแล้ว พวกนางไปอาบน้ำใหม่อีกครั้ง ใกล้ถึงเวลาปิดประตูเรือนรับรองแขกในวัดแล้ว อาเก้าของอาหลีก็ยังไม่มากล่าวขอโทษ หวังซีอดขมวดคิ้วไม่ได้
การขอโทษมิใช่ว่าต้องรีบทำให้เร็วที่สุดหรอกหรือ หากช้าไปยังจะมีความจริงใจอะไรเหลืออยู่อีก
ฉังเคอกล่าว “อาจเป็นเพราะเย็นมากแล้ว เขาไม่สะดวกมาก็เป็นได้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกครั้งเถอะ”
ก็เป็นไปได้
หวังซีจำต้องวางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วไปเข้านอน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พวกนางรอจนกินมื้อเที่ยงของวันรุ่งขึ้นเสร็จแล้ว อาเก้าของอาหลีก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็น
หรือพวกนางจะโดนหลอก!
แต่ดูจากท่าทางของอาเก้าของอาหลีแล้ว ดูไม่เหมือนเป็นคนเช่นนั้นนี่นา!
แต่สิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือการตัดสินใจคนจากรูปลักษณ์ภายนอกมิใช่หรือ
หวังซีรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจขึ้นมาอีกครั้ง
นางสั่งการไป๋กั่ว “เจ้าไปสืบดูหน่อยว่าอาหลีสองอาหลานนี้เป็นใคร อาศัยอยู่ที่ไหน เกี่ยวข้องอะไรกับวัดอวิ๋นจวี”
บอกว่าจะมาขอโทษก็ยังไม่รีบมากล่าวคำขอโทษ หวังซีโมโหยิ่งนัก
ฉังเคอยังปลอบใจนางว่า “บางทีอาจมีเรื่องอะไรทำให้เขามาล่าช้าก็เป็นได้”
ณ ขณะนั้นหวังซียังรู้สึกว่ามีเหตุผล จนกระทั่งตอนที่ไป๋กั่วไปสืบมาแล้วหนึ่งรอบ ทว่าสืบข่าวคราวอะไรไม่ได้เลย ถึงขั้นที่ว่าทุกคนในวัดดูเหมือนไม่รู้ว่ามีคนเช่นนี้อยู่ด้วย ความโกรธของหวังซีจึงมาถึงจุดสูงสุด
ตอนแรกนางเองก็ไม่คิดจะทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่อาเก้าของอาหลีท่านนี้พูดแล้วไม่รักษาคำพูด เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางดื้อดึง อย่างไรก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้กระจ่างให้ได้
นางกล่าวกับฉังเคอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ตอนนั้นพวกเราไม่ควรใจดีเช่นนั้น วัดอวิ๋นจวีมีพื้นที่แค่สิบกว่าหมู่ แมลงวันบินเข้ามาอาจหาไม่เจอ แต่ข้าไม่เชื่อว่า จะหาคนเป็นๆ ทั้งคนไม่เจอ”
หวังซีหยิบเงินสองร้อยตำลึงส่งให้ไป๋กั่ว ให้นางทำอย่างไรก็ได้จับตัวคนออกมาให้ได้
ไป๋กั่วกับหวังหมัวมัวช่วยกันไปหาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็หาคนไม่เจอจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงหวังซีแล้ว แม้แต่ฉังเคอเองก็งุนงงเช่นกัน กล่าวว่า “คนผู้นี้คงไม่ถึงกับว่าเพราะไม่อยากมาขอโทษพวกเรา ก็เลยเลี่ยงไม่เจอพวกเราหรอกกระมัง”
“อาจไม่ถึงขั้นนั้น” หวังซีกล่าว อย่างไรก็ตามยิ่งเจอปัญหาใหญ่จิตใจก็ยิ่งสุขุม สงบนิ่งลงมา
หัวสมองของนางขบคิดอย่างรวดเร็ว
อันดับแรกวัดอวิ๋นจวีเป็นวัดแม่ชี แม้นกล่าวว่ามีผู้สักการะชายมาขอพักอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่ล้วนพักอยู่ไกลและเปลี่ยว นอกจากนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่พอจะมีสายสัมพันธ์กับวัดอวิ๋นจวีและเป็นคนมีคุณธรรมความซื่อตรงทั้งสิ้น เพราะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น วัดอวิ๋นจวีแบกรับความรับผิดชอบเช่นนี้ไม่ไหว
ถัดมา วัดอวิ๋นจวีมีคนมากมาย หากมีคนเข้าออก โดยเฉพาะช่วงเย็น เป็นอาหนุ่มกับหลานชาย ไม่มีทางซ่อนเร้นจากคนทั้งหมดของวัด ทำให้คนในวัดพูดเหมือนกันได้
หากมิใช่เพราะอาหลีสองอาหลานมีความสัมพันธ์พิเศษกับวัดอวิ๋นจวี ทำให้คนของวัดอวิ๋นจวียอมช่วยพูดให้พวกเขาและปกป้องพวกเขา ก็ต้องเป็นเพราะอาหลีสองอาหลานมีพื้นเพครอบครัวที่ไม่ธรรมดา ทำให้คนของวัดอวิ๋นจวีทั้งหมดยินดีช่วยปกปิดร่องรอยของพวกเขา
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง เกรงว่าสถานะของอาหลีสองอาหลานล้วนไม่ธรรมดา
เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาถึงมาปรากฏตัวที่วัดอวิ๋นจวีเล่า?
………………………………………………………………………