เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 120 ไม่สงสัย
ด้วยนิสัยของหวังซี หากเฉินลั่วลำบากใจ นางก็จะไม่ถาม แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ อีกทั้งทุกอย่างยังดูแปลกประหลาด หวังซีจึงไม่อาจหลอกตัวเองได้
นางมองเฉินลั่วเงียบๆ รอเขาเอ่ยปากเล่า
ภายใต้แววตาใสกระจ่างของนาง เฉินลั่วรู้สึกดวงหน้าร้อนผ่าว
สาเหตุที่เขาไม่เล่าเพราะไม่อยากให้หวังซีเข้ามาติดร่างแหด้วย แต่หวังซีนั้น อันดับแรกเป็นคนหาทางตรวจสอบเรื่องส่วนผสมของธูปหอมที่พระตำหนักเฉียนชิงให้เขา ต่อมาก็ช่วยหาท่านหมอและแนะนำผู้ช่วยให้เขา ทั้งยังฟังเขาพูดเรื่องไร้สาระอีกมากมาย หากเขาอยากให้นางอยู่ห่างจากเรื่องนี้ด้วยใจจริง ต่อให้ตื่นเต้นยิ่งกว่านี้ก็ควรจะระงับเอาไว้
ตอนนี้เขาอยากให้นางถอยออกไป เช่นนั้นเมื่อก่อนทำอะไรลงไป?
เฉินลั่วยิ้มขื่นอยู่ในใจ สุดท้ายยังคงพึมพำเล่าสิ่งที่เขาคิดให้หวังซีฟัง “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดอย่างไร คงคิดว่าคนคนหนึ่งนั้นต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดก็มีช่วงเวลาอ่อนแอ ฮ่องเต้เองก็ยากจะหลีกเลี่ยงเวลาที่ต้องเป็นพ่อที่แสนดีเช่นกัน แต่ราชวงศ์ไม่เหมือนครอบครัวทั่วไป ต่อให้มอบเงินให้มากกว่านี้แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากเขารักองค์ชายเจ็ดด้วยใจจริง อยากให้หนิงผินมีบั้นปลายที่ดี ก็ควรจะเตรียมการเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทให้พร้อม ให้องค์ชายเจ็ดได้ผูกสัมพันธ์กับว่าที่รัชทายาท มิฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท ต่อให้เขาสร้างกรงทองเอาไว้ให้องค์ชายเจ็ด คำพูดเพียงหนึ่งประโยคของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็ทำให้เขาลงไปอยู่คุกหลวงได้”
หวังซีฟังแล้วหัวใจเต้นโครมคราม เอ่ยขึ้นอย่างไม่กล้าเชื่อเล็กน้อยว่า “เจ้าหมายความว่า?”
เฉินลั่วพยักหน้า เดินไปหาหวังซีสองสามก้าว
ชั่วพริบตานั้นหวังซีหน้าแดงไปหมด
เฉินลั่วคงอยากคุยเรื่องลับเฉพาะกับนาง แต่เขาขยับเข้ามาใกล้นางมากเกินไป อีกทั้งตัวเขายังสูงกว่านางไปหนึ่งศีรษะ ยืนอยู่ข้างกายนางแล้วดูเหมือนภูเขาลูกหนึ่งที่โอบล้อมนางเอาไว้ก็ไม่ปาน นางไม่เพียงได้กลิ่นหอมจางๆ คล้ายกลิ่นส้มจากตัวเขาเท่านั้น ยังเห็นลายกากบาทบนชุดเต้าเผาผ้าไหมหังโจวได้ชัดเจนอีกด้วย
นางยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองสีหน้าของเขา
หวังซีกลัวว่าเมื่อตนเงยหน้าขึ้น กลางศีรษะจะไปชนเข้ากับคางของเขา นางจึงราวกับถูกเขาโอบกอดอยู่ในอ้อมแขน
พอนางคิดเช่นนี้ ในหัวสมองจึงเริ่มส่งเสียงดังหึ่งๆ ดังนั้นเฉินลั่วเริ่มพูดไปหลายประโยคแล้ว แต่นางกลับได้ยินไม่ค่อยชัดนัก กระทั่งตอนที่น้ำเสียงประชดประชันของเฉินลั่วเสียดแทงเข้ามาในหูอย่างกะทันหันยามที่เขากล่าวถึงฮ่องเต้ นางถึงได้สติคืนกลับมา “…หากบอกว่าเขาอายุมากแล้ว เขาไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าสมองของเขายังปกติดีอยู่…
…ที่เขาทำเช่นนี้ หากมิใช่เพราะอยากถางทางไว้ให้องค์ชายใหญ่ ใช้องค์ชายเจ็ดเป็นเครื่องมือจัดการองค์ชายรอง ก็เป็นเพราะอยากให้องค์ชายเจ็ดขึ้นสู่ตำแหน่ง…
…เพียงแต่ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก แม้แต่พยัคฆ์ยังไม่กินลูกตัวเองเป็นอาหาร หากเขาอยากให้องค์ชายเจ็ดขึ้นสู่ตำแหน่ง ก็ต้องกำจัดโอรสที่อยู่ก่อนหน้าทั้งหลายก่อนถึงจะใช้ได้ เขาทำเช่นนี้ ไม่กลัวจะกลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังสูญข้าวสารที่ใช้ล่อมันด้วยหรือ”
ถึงแม้หวังซีจะคาดเดาเอาไว้อยู่บ้างแล้ว แต่พอได้ยินเฉินลั่วพูดมันออกมาอย่างเย็นชาเช่นนี้ นางยังคงตัวสั่น รีบขจัดความรู้สึกออกไป กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า ที่ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้เพราะกำลังเตรียมการเรื่องรัชทายาทอยู่?”
เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า “เสด็จลุงของข้าพระองค์นี้ ทุกคนต่างคิดว่าเขาไม่เด็ดขาด ทำอะไรก็ละล้าละลังชักช้าเหมือนคนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เจ้าดู เขาอยู่ในตำแหน่งมายาวนานขนาดนี้ มีเรื่องไหนบ้างที่มิใช่ละล้าละลังแต่ก็ทำจนสำเร็จลุล่วงไปได้…
…วิธีการของเขาคือค่อยๆ ต้มเจ้าไปเรื่อยๆ ต้มจนเจ้าหมดความอดทน ต้นจนเจ้าไม่มีอารมณ์ จนในที่สุดเขาก็ได้ในสิ่งที่ปรารถนา…
…ดังนั้นพอเขาไม่แต่งตั้งรัชทายาท ทุกคนจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ รู้สึกว่าเขาอยากแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นไท่จื่อ แต่ก็กลัวจะเป็นการทำร้ายจิตใจองค์ชายใหญ่ หรืออาจจะอยากแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ แต่ก็กลัวจะทำร้ายจิตใจองค์ชายรอง…
…เมื่อก่อนยังมีฝ่ายร้องเรียนเร่งรัดเขา แต่เจ้าดูหลายปีมานี้ ยังมีใครกล้าพูดอะไรหรือไม่…
…เนื่องจากองค์ชายใหญ่อาจได้เป็นผู้สืบทอด ดังนั้นหลายปีมานี้ถึงแม้ไม่ค่อยสนิทสนมกับพวกข้านัก แต่ก็แสดงออกอย่างน่ายกย่อง ไม่มีความผิดใหญ่หลวงอะไร ส่วนองค์ชายรองยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากเคร่งครัดในกฎระเบียบแล้ว แม้แต่จวนชิ่งอวิ๋นโหวก็เชื่อฟังทุกอย่าง ไม่ยอมให้มีชื่อเสียงไม่ดีหลุดออกมาแม้แต่นิดเดียว นอบน้อมกว่าตอนท่านโหวผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่เสียอีก”
หวังซีคิด รู้สึกว่าเป็นเหตุผลนี้จริงๆ
นางเข้าใจว่าเฉินลั่วจะพูดต่อ ไม่คาดคิดว่าเมื่อเฉินลั่วเล่าถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็เริ่มเดินกลับไปกลับมาอีกแล้ว
หวังซียืนมองอย่างช่วยอะไรไม่ได้
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เป็นความโชคดีที่ไม่รู้ว่าเฉินลั่วเชื่อใจนางมาก หรือเป็นเพราะชินกับการระบายความในใจให้นางฟังแล้ว หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง เขาไม่ปล่อยให้คนฟังอย่างนางต้องสงสัยนาน เมื่อสงบอารมณ์ลงมาได้ รอจนจิตใจมั่นคงแล้ว เขาก็กล่าวขึ้นว่า “บิดาของข้าผู้นั้นก็ช่างโงเขลา ชิ่งอวิ๋นโหวผู้เฒ่าได้รับการขนานนามว่าเป็นเว่ยชิง[1]กลับชาติมาเกิด ชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นขุนศึกที่เด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม ไม่มีใครไม่ยกย่อง ฮ่องเต้อาศัยตระกูลปั๋วขึ้นสู่ตำแหน่ง ด้วยกลัวว่าตระกูลปั๋วจะยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้ราชสำนักอ่อนแอ จึงอยากให้จวนชิงผิงโหวที่พิทักษ์ภาคตะวันตกเฉียงเหนือกับจวนเจิ้นกั๋วกงที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเกาหลีที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาคานอำนาจกับจวนชิ่งอวิ๋นโหว…
…แต่จวนชิงผิงโหวเป็นขุนนางมือสะอาด ไม่ว่าฮ่องเต้จะบอกเป็นนัยหรือบอกตรงๆ พวกเขาล้วนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลายปีขนาดนี้แล้วพนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่งของกรมคลังยังกล้าใช้เล่ห์กับชิงผิงโหว…
…มีเพียงบิดาของข้าเท่านั้น ที่คิดว่านี่เป็นงานสบาย ทั้งๆ ที่ไม่ชอบ แต่ยังคงแต่งงานกับมารดาของข้า นอกจากนี้ยังคิดจะใช้โอกาสนี้ปีนให้สูงขึ้นไปอีกขั้น กลายเป็นตระกูลชั้นสูงอันดับหนึ่ง นำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูล ทำในสิ่งที่ท่านปู่ของข้ายังทำไม่ได้…
…ผลปรากฏว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวดึงฟืนออกจากเตา ซื่อสัตย์สุจริต เชื่อฟังฮ่องเต้ทุกอย่าง ยังควบคุมบุตรหลานในบ้าน ระแวดระวังมากจนอย่างมากที่สุดร้องเรียนก็จับได้ก็แค่เรื่องอื้อฉาวเมามายสุราเที่ยวหญิงคณิกาเรื่องหนึ่งเท่านั้น…
…จวนชิ่งอวิ๋นโหวสงบ บิดาของข้าก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เขาถึงกับกล้ากระด้างกระเดื่องกับมารดาของข้า ข้าไม่รู้แล้วว่าสมองของเขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร”
เหตุใดพูดไปพูดมา เหตุใดหัวข้อสนทนาถึงลากไปเกี่ยวกับเจิ้นกั๋วกงได้?
อย่างไรก็ตาม จากสิ่งนี้ก็ทำให้เห็นได้ว่าเฉินลั่วไม่ชอบบิดาของเขาผู้นี้มากเพียงใด
หวังซีอดกล่าวไม่ได้ว่า “บิดาของเจ้าอาจจะตั้งใจก็เป็นได้? เขาเองก็นับว่าเป็นคนมากประสบการณ์ ต่อให้เลอะเลือนเพียงใด ก็ไม่น่าจะปล่อยให้เรื่องใหญ่เช่นนี้ผิดพลาดได้กระมัง”
เฉินลั่วได้ยินแล้วตกใจมาก ถึงขั้นที่ว่าสีหน้าดูเบื้อใบ้ขึ้นมาเล็กน้อย
หวังซีต่อว่าผู้อาวุโสของผู้อื่นต่อหน้าผู้อื่นไปแล้ว ย่อมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก จึงคิดแค่ว่าต้องรีบเปลี่ยนเรื่องเสีย รีบกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าคิดว่าฮ่องเต้อยากให้องค์ชายเจ็ดเป็นไท่จื่อ แต่ก็อย่างที่เจ้ากล่าวมา องค์ชายเจ็ดมิใช่ทั้งโอรสองค์โตและโอรสจากชายาเอก นอกเสียจากว่าพี่ชายก่อนหน้าเขาล้วนไม่อยู่…”
กล่าวถึงตรงนี้ ในหัวของนางมีแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา
นางพึมพำกล่าวอย่างไม่มั่นใจว่า “หรือไม่ก็หนิงผินได้เป็นฮองเฮา…”
แต่ทั้งสองกรณีล้วนมีความเป็นไปได้ที่น้อยมาก
การกำจัดองค์ชายทั้งหลายที่อยู่ก่อนหน้าทิ้งไป นอกจากเป็นการกระทำที่อาจหาญเกินไปแล้ว ต่อให้องค์ชายเจ็ดได้สืบทอดบัลลังก์ต่อ ก็ไม่อาจมีชื่อเสียงที่ดีได้ และยังนำมาซึ่งปัญหาไม่รู้จบด้วย
แต่ถ้าหนิงผินได้เป็นฮองเฮา ก็เท่ากับเป็นการถอนเกล็ดของจวนชิ่งอวิ๋นโหว จวนชิ่งอวิ๋นโหวย่อมสู้กลับด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี หากจัดการไม่ดีนอกจากความฝันได้ครองตำแหน่งฮองเฮาของหนิงผินจะสลายแล้ว ความฝันของฮ่องเต้ก็อาจจะแตกสลายตามไปด้วย
หวังซีอยากถามเฉินลั่วสักประโยคหนึ่งเหลือเกินว่า ท่านคิดว่าท่านคาดเดาได้ถูกต้องแล้วหรือ
แต่นางไม่กล้าถาม ราวกับว่าถ้านางทำเช่นนั้น ก็เหมือนนางกำลังสงสัยดุลพินิจของเฉินลั่ว คลางแคลงใจความเชื่อใจที่เฉินลั่วมีต่อนาง
เฉินลั่วหยุดฝีเท้าลง ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ต้นหนึ่งหลังลานบ้าน
กลางฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่ต้นโพธิ์อุดมสมบูรณ์และเขียวชอุ่มพอดี เรือนยอดของต้นไม้เขียวชอุ่มดุจร่มช่วยบดบังดวงอาทิตย์แผดเผาเอาไว้ ทอแสงระยิบระยับสีทองลงมาเป็นดวงๆ
ภายใต้ร่มเงาไม้แม้นดวงหน้าที่ยกขึ้นน้อยๆ ของเขายังคงดูองอาจเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวีรบุรุษ ทว่าเผยความหลักแหลมดุจคมมีดออกมาให้เห็น
“ทุกอย่างขึ้นอยู่ความพยายามของมนุษย์ มีอะไรเป็นไปไม่ได้บ้าง” เฉินลั่วกล่าว หันศีรษะกลับมามองหวังซี ดวงตาลึกล้ำทั้งคู่เจือความเย็นชาเอาไว้ เป็นความไม่แยแสที่กันคนออกจากตัวเองพันลี้อย่างหยิ่งยโสโอหัง “หาข้ออ้างหนึ่งปลดฮองเฮา องค์ชายรองขาดคุณสมบัติ องค์ชายใหญ่หมดประโยชน์สำหรับใช้เป็นเครื่องมือควบคุมองค์ชายรอง หากเชื่อฟัง ก็มีทางรอดชีวิตให้เดิน แต่ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็กำจัดไปพร้อมกันเสีย อย่างมากก็เสียโอรสไปเพียงสองคนเท่านั้น ราคาแค่นี้ ฮ่องเต้จ่ายได้อยู่แล้ว”
ท่าทางเวลาที่เขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ราวกับว่าเขาเคยท่องมันในใจมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
หวังซีตัวสั่น
นางรู้ว่าที่เฉินลั่วพูดมามีเหตุผล แล้วก็เป็นไปได้ด้วย แต่ก็เพราะเช่นนี้ นางยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับการต่อสู้แย่งชิงเช่นนี้
ที่ตระกูลหวัง อย่างมากพี่น้องก็แค่ต่างคนต่างไม่ยอมกัน เจ้าอยากแต่งกายให้งดงามกว่าข้า สามีของข้าต้องมีความสามารถมากกว่าสามีของเจ้า ทะเลาะกันไปมา แต่ในยามคับขันยังคงเป็นเหมือนกระดูกหักที่อยู่ในเนื้อหนังเดียวกันอยู่ดี ไม่อาจทนมองคนตกต่ำลงไปจริงๆ ได้ อย่างไรก็ต้องช่วยฉุดช่วยดึงช่วยเหลือกันสักครั้งหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงความเป็นตายถึงชีวิต แค่ใครมีชีวิตยากจนข้นแค้นเกินไป ก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว
บางที นางควรอยู่สู่จงต่อไป
มาพบเห็นโลกกว้างที่จิงเฉิงสักครั้งก็พอ
หวังซีหลุบตาลงนิ่งเงียบ
เฉินลั่วสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหวังซีเปลี่ยนเป็นห่างเหินขึ้นมาเล็กน้อย
เขาร้อนใจขึ้นมา
ถึงไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ทว่ารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าตนควรทำให้หวังซีกับเขาสนิทสนมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ให้มากเหมือนเมื่อก่อน ที่เวลาเจอเขาในดวงตาประหนึ่งมีดวงดาราซุกซ่อนเอาไว้ดวงหนึ่ง สว่างไสวระยิบระยับ
หวังซีในรูปแบบนั้นถึงเป็นหวังซีที่เขาชอบเห็น
ไม่ใช่แบบที่เห็นตรงหน้าเขาตอนนี้ ที่ดูพยายามปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้
สมองของเขาขบคิดอย่างรวดเร็ว คิดว่าหรือเรื่องเหลือเชื่อของฮ่องเต้จะทำให้หวังซีตกใจ
ใครเป็นคนผูกก็ต้องเป็นคนแก้
เฉินลั่วกล่าว “เจ้าคิดว่า พวกเราควรทำอย่างไรดี”
หวังซีเงยหน้าขึ้น มองเฉินลั่วอย่างว่างเปล่าเล็กน้อย
พวกเขาควรทำอย่างไรหรือ
ถ้อยคำนี้ถามได้แปลกประหลาดนัก พวกเขาแทรกแซงการตัดสินใจของฮ่องเต้ได้หรืออย่างไร เช่นนั้นต้องจ่ายราคาค่างวดมากมายเพียงใด!
ความคิดวาบผ่านสมองของนาง นางเบิกตาโตจ้องมองเฉินลั่ว ดวงหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
คงไม่เป็นอย่างที่นางคิดหรอกกระมัง
เฉินลั่วคิดจะแทรกแซงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทของฮ่องเต้หรือ
ต่อให้องค์ชายเจ็ดคือรัชทายาทที่ฮ่องเต้ตั้งมั่นเอาไว้ ขอเพียงเฉินลั่วไม่เข้าไปข้องเกี่ยว องค์ชายเจ็ดก็ไม่มีทางเล่นงานญาติผู้พี่อย่างเขาผู้นี้อยู่แล้วนี่นา!
หวังซีหลุดพูดออกมาว่า “จ่างกงจู่กับหนิงผินไม่ถูกกันหรือ หรือเจ้าเคยทำให้องค์ชายเจ็ดไม่พอใจมาก่อน?”
เฉินลั่วอดหัวเราะไม่ได้ กล่าวว่า “สมองน้อยๆ ของเจ้านี้โตมาได้อย่างไร ต่อให้มารดาของข้าไม่ถูกกับหนิงผิน ฮ่องเต้ต้องการแต่งตั้งองค์ชายเจ็ด ภายนอกต้องได้รับการสนับสนุนจากบรรดาขุนนางใหญ่ ภายในต้องได้รับการสนับสนุนจากญาติพี่น้อง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ระหว่างสตรีจะมีความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ กันบ้างนับเป็นไม่ถูกกันได้อย่างไร? ต่อให้ข้าเคยทำให้องค์ชายเจ็ดไม่พอใจ แต่ด้วยคุณงามความดีที่ติดตามมังกรก็ช่วยลดความบาดหมางระหว่างกันได้…
…ข้าก็แค่…”
แค่ไม่อยากให้ลูกพี่ลูกน้องที่เติบโตมาพร้อมกับเขาเหล่านั้นทยอยกันกลายเป็นแขกของน้ำพุเหลืองที่แดนคนตายก็เท่านั้น
เฉินลั่วยั้งบางคำพูดเอาไว้ไม่กล่าวออกมา มีความว่างเปล่าสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตา
เขามิใช่ฮ่องเต้ มีเรี่ยวแรงและความสามารถอะไรไปหยุดยั้งการตัดสินใจของฮ่องเต้ได้?
ลูกพี่ลูกน้องของเขาเหล่านั้นก็มิใช่คนโง่ ภายใต้การโจมตีของศัตรู มีใครรอความตายโดยไม่คิดวิธีช่วยตัวเองบ้าง
บางครั้ง เขาก็ชอบทึกทักคิดเอาเองมากเกินไปจริงๆ
เฉินลั่วรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
…………………………………………………………..
[1] เว่ยชิง ขุนศึกผู้นำทัพไปต่อต้านชาวเซียงหนูในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก