เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 123 เยี่ยมเยียน
บ่าวไพร่ของตระกูลหวังได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แม้นหวังซีจะสั่งการกลางทาง แต่เมื่อหวังซีไปถึงโถงรับรอง มุมห้องทั้งสี่มีน้ำแข็งวางเอาไว้ บนโต๊ะน้ำชาก็มีขนมถั่วเขียวต้มวางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เฉินลั่วสวมชุดเต้าผ้าไหมสีเขียวน้ำทะเลไร้ลวดลายคอป้ายสีขาว นั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนโดยมีสาวใช้เด็กสองคนคอยพัดให้อยู่
หวังซีลอบพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก้าวออกไปยอบกายทำความเคารพเฉินลั่ว
เฉินลั่วสั่งเฉินอวี้ไปช่วยสาวใช้ของหวังซีจัดเก็บผลไม้ที่เขาเอามาให้ “แช่น้ำแข็งมาทั้งหมดแล้ว แต่อากาศร้อนเกินไป ผลไม้เหล่านั้นจึงไม่สดแล้ว”
ส่วนขนมเหล่านั้น มิใช่ของหายากอะไร หากเสียก็ให้ร้านส่งมาให้ใหม่ก็ได้แล้ว
หวังซีมองลิ้นจี่ อดถามขึ้นอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “นี่ส่งมาจากหลิ่งหนานหรือเปล่า ในจิงเฉิงมีขายด้วยหรือ มิใช่บอกว่าเดือนสี่เดือนห้าคือช่วงเวลาที่ลิ้นจี่อร่อยที่สุดหรอกหรือ เหตุใดเวลานี้ก็มีด้วย”
เฉินลั่วเห็นนางสนใจ รู้สึกว่าตนกินขนมถั่วเขียวต้มที่ถืออยู่ในมือด้วยความรู้สึกที่เบิกบานขึ้นหลายส่วนอย่างอธิบายไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่หาได้ส่งมาจากหลิ่งหนาน เป็นของบรรณาการจากฝูเจี้ยน ได้ยินว่ามีเพียงพวกเขาที่มี มารดาของข้าได้รับมาสองตะกร้า ไม่รู้ว่ารสชาติดีหรือไม่”
ได้รับมาสองตะกร้า เจ้าก็ส่งมาให้ทั้งหมดเลย? เช่นนี้เหมาะสมหรือ
หวังซีมองตะกร้าไม้ไผ่ทั้งสองตะกร้างกลางห้อง ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
เฉินลั่วมองตามสายตาของนาง เห็นลิ้นจี่สองตะกร้านั้นแล้วเช่นกัน ถึงได้รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก
แน่นอน คำว่าไม่เหมาะสมที่เขาหมายถึงคือเขารู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไป ทำให้หวังซีลำบากใจ แต่มิได้รู้สึกว่าการที่ตัวเองเอาลิ้นจี่ทั้งสองตะกร้าที่วังหลวงพระราชทานให้จ่างกงจู่มาที่นี่ทั้งหมดมีอะไรไม่เหมาะสม
สำหรับเขาแล้ว หากชอบ ก็ต้องกินไปแล้ว นี่มารดาของเขาไม่ได้กินทันที เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ชอบขนาดนั้น
ส่วนเรื่องที่เมื่อจ่างกงจู่ได้นั่งลงมาเพลิดเพลินกับอากาศยามเย็นแล้วนึกถึงลิ้นจี่สองตะกร้านั้นขึ้นมา ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นตอนเข้าวังจะเอาไปฝากฮองเฮาเหนียงเหนียงสักเล็กน้อยนั้น กลับหาของไม่เจอแล้ว ยังหากันอยู่หนึ่งคืนถึงรู้ว่าเขาเป็นคนเอาไป แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากนี้
เฉินลั่วในเวลานี้กระแอมไอเบาๆ อย่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย พยายามทำให้เรื่องผ่านไปโดยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “วันนี้ข้ามาหาเจ้า มีเรื่องอยากคุยกับเจ้าเรื่องหนึ่ง”
กล่าวจบ ก็ปิดปากเงียบเหมือนคราวที่แล้วอีกครั้ง
หวังซีรู้ว่านี่หมายความว่าเขามีเรื่องอยากคุยกับนางเป็นการส่วนตัว จึงทำเหมือนครั้งก่อน รอจนกระทั่งพวกสาวใช้นำน้ำชาและผลไม้ขึ้นโต๊ะ เปิดประตูและหน้าต่างให้นางเรียบร้อยแล้ว นางก็ไล่พวกสาวใช้ออกไปเฝ้าหน้าประตูที่อยู่ไกลออกไป
เฉินลั่วลอบดีใจกับปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้ของนาง นับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าหวังซีรู้ใจเขาเป็นอย่างดี เป็นคู่หูที่ดีมากผู้หนึ่ง
เขาเล่าเรื่องที่จวนชิ่งอวิ๋นโหวส่งข่าวมาให้เขาให้หวังซีฟัง ถามว่า “เจ้าว่า พวกเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่ อยากให้ข้าไปสืบเรื่องท่าเรือที่ค่ายเทียนจินอย่างนั้นหรือ ต่อให้ข้าสืบความออกมาได้แล้วอย่างไร ข้าจะไปโวยวายกับฮ่องเต้ได้อย่างนั้นหรือ”
หวังซีไม่รู้ว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวมีเจตนาอะไร
เมื่อคิดเช่นนี้ การเชิญผู้ช่วยที่พึ่งพาได้สักคนมาช่วยจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
นางพูดถึงเรื่องของหลิวจ้งขึ้นมา ดวงตากลมโตสว่างสุกใสดุจดวงดาราทั้งคู่มองเฉินลั่วด้วยความคาดหวัง กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร”
เฉินลั่วรู้สึกว่าก็ไม่อย่างไร
หลิวจ้งผู้นั้นเป็นเพียงบุตรหลานจากครอบครัวที่ตกต่ำผู้หนึ่ง ทั้งไม่อาจเข้าร่วมการสอบขุนนาง จึงไม่อาจรู้ได้ว่าความรู้จริงๆ ของเขาเป็นอย่างไร ก็แค่รู้ศาสตร์ของพวกนอกรีตบางอย่าง ก็เข้าตาหวังซีแล้ว
หวังซีเหมือนกับพวกเด็กสาวในตลาดเหล่านั้นไปได้อย่างไร ที่รู้สึกว่าครอบครัวมีภูมิหลังดีก็คิดว่ามีความรู้และคุณธรรมดีแล้ว?
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นนัยน์ตาของหวังซีราวกับดาวหาง ถ้อยคำเย้ยหยันที่มาจ่ออยู่ที่ปากพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ รู้สึกว่าการว่าหวังซีเช่นนี้ดูใจร้ายไปสักหน่อย
เขาทำให้คนอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
หวังซีคิดว่าเขาตัดสินใจไม่ได้เสียอีก
เนื่องจากการเชิญผู้ช่วยมาสักคนหนึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากนี้ส่วนมากการเชิญเทพมาย่อมง่ายกว่าการส่งเทพกลับ หากหลิวจ้งทำงานได้ไม่ถูกใจจะทำอย่างไร
หวังซีรีบกล่าว “เป็นข้าที่คิดเรียบง่ายเกินไป ไม่อย่างนั้น พวกเราดูไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน ข้าสืบมาแน่ชัดแล้วว่าตระกูลหลิวนั่นสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วจริงๆ คาดว่าหลิวจ้งก็ไม่น่ามีเงินอยู่ในมือสักเท่าไร เขามาขอพักที่วัดอวิ๋นจวี บ้านเช่าที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลังนั้นก็คืนไปแล้ว เห็นได้ชัดแล้วกระมังว่าสถานะทางเงินอยู่ในระดับไหน ระยะนี้เขาคงยังไปจากวัดอวิ๋นจวีไม่ได้ พวกเราสืบให้ชัดอีกสักหน่อยก็ยังไม่สาย”
เฉินลั่วรู้สึกว่าที่หวังซีทำก็เพราะเจตนาดีต่อเขา ไม่เช่นนั้นเวลาเอ่ยถึงหลิวจ้งก็คงไม่พูดคำว่า ‘พวกเรา’ อยู่เสมอ หลิวจ้งอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีคนหนึ่งก็ได้ ถ้าหากไร้ความสามารถเป็นผู้ช่วยจริงๆ ก็ช่วยดูแลเรื่องต่างๆ ให้เขาก็ไม่เลวเหมือนกัน
อย่างไรเสียเขาก็ขาดคนในมือจริงๆ
“เช่นนั้นเป็นเขาก็แล้วกัน” เฉินลั่วตัดสินใจในทันที กล่าวว่า “เขาเหมาะสมมากจริงๆ นอกจากนี้เจ้าพูดเองมิใช่หรือว่า เขาน่าจะมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ ดูดวงชะตา วิชาเลข และคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง ยามบัณฑิตใช้คน ไม่จำกัดคนแค่ประเภทเดียว คนมากเล่ห์เพทุบายก็ล้วนมีที่ให้ได้ใช้ประโยชน์ นับประสาอะไรกับเขา”
ก็ได้ หากหลิวจ้งทำไม่ได้จริงๆ มาเป็นหลงจู๊ของตระกูลหวังก็ไม่เลวเหมือนกัน ยังได้ดูแลอาหลีด้วย
หวังซียิ้มร่าพลางขานรับว่า “ได้” เล่าเรื่องที่นางล่ออาหลีมากินขนมที่นี่ให้เฉินลั่วฟัง “เวลาผ่านไปนานเข้า ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องมากล่าวขอบคุณพวกเราเป็นแน่ ถึงเวลาค่อยชวนเขา คาดว่าเขาไม่น่าปฏิเสธ”
กินของผู้อื่นปากอ่อนลง รับของผู้อื่นมือสั้นลง
อาหลีกินของอร่อยของนางไปมากมาย หลิวจ้งจะกล้าปฏิเสธหรือ
หวังซีเม้มปากยิ้ม มั่นใจในแผนการของตัวเองเป็นอย่างมาก
เฉินลั่วเห็นแล้วสงสัยเหลือเกินว่านางทำขนมอะไรให้อาหลีบ้าง “แล้วเจ้าทำของอร่อยอะไรบ้าง”
หวังซียิ้มตาหยีพาเฉินลั่วไปที่เรือนครัว
ถึงแม้อากาศร้อนแผดเผา แต่ลานบ้านที่หวังสี่เลือกให้หวังซีหลังนี้กลับโปร่งและกว้างขวาง แค่เรือนครัวนี้เพราะมีต้นไม้เขียวขจีให้ร่มเงา เมื่อเปิดประตูหน้าหลังก็มีสายลมโชยมาเอื่อยๆ ไม่รู้สึกร้อนเลย
เหล่าแม่ครัวยุ่งจนเหมือนมีปีกโบยบิน
เห็นหวังซีกับเฉินลั่วเข้ามา ต่างพากันทำความเคารพพวกเขา
หวังซียิ้มบอกให้พวกนางไม่ต้องมากพิธี ถามพวกนางว่าทำขนมอะไรบ้าง
บ้างทำขนมของซูโจว บ้างทำขนมของก่วงตง บ้างทำขนมของจิงเฉิง แต่ทุกอย่างล้วนมีความพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นก็คือความวิจิตรบรรจง มีแม่ครัวเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นคนที่หวังซีซื้อมาจากพ่อค้าคนกลางหลังจากที่เข้าเมืองหลวงมาแล้ว อายุสามสิบกว่าปี ผิวขาวร่างเล็กบาง พูดเสียงเบาดุจยุงบิน กำลังใช้น้ำตาลเชื่อมทำตะกร้าอยู่
ตะกร้าขนาดเท่าฝ่ามือ ลายเส้นประณีตมาก หากไม่เข้ามาดูใกล้ๆ หวังซีกับเฉินลั่วก็มองไม่ออกว่าทำมาจากน้ำตาลเชื่อม
“นี่เอาไว้ทำอะไรหรือ” หวังซีประหลาดใจมาก “เอาไว้ใส่ขนมต่างๆ หรือ เกรงว่าตะกร้านี้คงกินไม่ได้หรอกกระมัง เช่นนั้นมิสู้ใช้หวายสานไปเลย ยังเอาไปใส่ของขนาดเล็กอย่างอื่นได้ด้วย”
แม่ครัวผู้นั้นพึมพำตอบ “วะ วางกระต่ายสองตัวไว้ด้านใน จากนั้นนำไปวางบนจาน โรยผงน้ำตาลสีขาว ตะกร้ากินได้ กระ กระต่ายก็กินได้เจ้าค่ะ”
“มีวิธีทำเช่นนี้ด้วย?” หวังซีรู้สึกว่าเหมือนคนขายขนมข้างนอกอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างวิจิตรบรรจง เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้าทำอะไรได้อีกบ้าง ข้าหมายถึงว่านอกเหนือจากกระต่าย พวกแมวเอย หมาเอยก็น่าจะทำได้กระมัง”
“ได้เจ้าค่ะ” เสียงของแม่ครัวยิ่งเบาลงแล้ว “เพียงแต่ว่าไม่มีคนกินแมวหรือกินหมา…”
หวังซีหัวเราะลั่น กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ทำเป็นดอกไม้ ดอกไม้ประเภทต่างๆ รวมถึงถั่วมันฮ่อและถั่วซิ่งเหรินพวกนั้น พวกเจ้านึกอะไรได้ก็ทำได้หมด”
นับเป็นความคิดที่ปราดเปรื่อง!
เหล่าแม่ครัวพากันย่อเข่าขานรับคำ
หวังซีเห็นขนมวุ้นแห้วที่ทำเสร็จแล้วช่างทำได้สีอร่ามใสยิ่ง แค่เห็นก็รู้สึกสดชื่นแล้ว จึงยกหนึ่งจานให้เฉินลั่วกินเป็นขนมคู่ชา เดินกลับโถงรับรองไปพร้อมกับเฉินลั่ว
เฉินลั่วเดินตามหลังหวังซี ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่รู้สึกว่าแม่ครัวของตระกูลหวังกลุ่มนี้ไม่เลวเลย ไม่ต้องพูดถึงแม่ครัวสองคนก่อนหน้านี้ตอนที่เขากับหวังซีคุยกันอยู่ในเรือนครัว ไม่มีมองวอกแวก แม้แต่แม่ครัวกลุ่มนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขาเข้าไป เคารพให้เกียรติเขาประหนึ่งเขาเป็นเจ้าของบ้าน ยามหวังซีเอ่ยถาม ก็เหมือนนายหญิงของบ้านที่มีความสามารถผู้หนึ่ง
ขนมวุ้นแห้วนั่นก็ทำได้อร่อยมาก อร่อยกว่าลิ้นจี่บรรณาการของฝูเจี้ยนเสียอีก
ลิ้นจี่มีความงามเหมือนกับยามกุหลาบจันทร์เบ่งบาน[1] เขาไม่ค่อยชอบนัก
แต่เฉินลั่วกลับมีความมั่นใจในวิธีที่หวังซีใช้ขนมหวานล่ออาหลานสกุลหลิวมาติดกับยิ่งนัก
ตอนเขากลับเขาขอขนมกลับไปด้วยหลายกล่อง
หวังซีเข้าใจว่าเขาต้องการเอาไปมอบให้ผู้อื่น ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเก็บทั้งหมดไว้กินเป็นอาหารว่างยามเช้าและอาหารว่างมื้อดึกของตัวเอง
นี่เป็นเรื่องที่อีกนานกว่าหวังซีจะทราบ
หวังซีที่กลับมาถึงซุ้มองุ่นของเรือนหลัก ก็ถูกฉังเคอที่รออย่างใจจดใจจ่อลากไปข้างๆ ทันที ถามอย่างร้อนใจว่า “เฉินลั่วมาทำอะไรอีก”
หวังซีรู้สึกว่าน่าขันยิ่ง เพียงแต่ว่าไม่ค่อยสะดวกจะเล่าเรื่องของนางกับเฉินลั่วให้ฉังเคอฟัง แต่พอฉังเคอถามเช่นนี้ นางเองก็รู้สึกว่าเฉินลั่วไม่จำเป็นต้องวิ่งมาที่นี่เช่นนี้
ต่อให้จวนชิ่งอวิ๋นโหวต้องการคิดบัญชีกับเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าคือเรื่องอะไร อย่างมากเขาก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของผู้อื่นเงียบๆ แล้วส่งคนมาแจ้งนางสักครั้งหนึ่งก่อนก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง ยังเอาของอร่อยมาฝากเป็นจำนวนมากอีก
จนนางไม่รู้จะเอาของไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว
หวังซีพึมพำกล่าวอย่างคลุมเครือให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างยากเย็น อาหลีเองก็ถูกนางล่อลวงให้วิ่งมากินขนมที่เรือนของพวกนางทุกวัน ยังไม่ถึงจุดเดือดที่หวังซีคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ หลิวจ้งก็มาเยี่ยมอย่างกะทันหัน ยังระบุด้วยว่าต้องการพบหวังซี
หวังซีอัศจรรย์ใจเล็กน้อย แต่ยังคงไปพบหลิวจ้ง
หลิวจ้งสวมชุดเต้าเผาผ้าเนื้อละเอียดสีน้ำเงินไพลิน ร่างผอมสูง ดูผอมติดกระดูกเล็กน้อย
เหมือนจะผอมกว่าตอนที่เจอเขาเมื่อคราวที่ก่อนเสียอีก
หวังซีประหลาดใจ
หลิวจ้งทำความเคารพนางด้วยรอยยิ้มขื่น กล่าวว่า “รบกวนแม่นางช่วยนัดใต้เท้าเฉินให้ข้าสักครั้งหนึ่ง”
หวังซียิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่
หลิวจ้งขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น ในน้ำเสียงแฝงความเดียดฉันท์ที่หากมิใช่คนมีความแหลมคมมาแต่กำเนิดก็คงสัมผัสไม่ได้อยู่หลายส่วน กล่าวว่า “นี่มิใช่สิ่งที่ใต้เท้าเฉินขอให้คุณหนูหวังทำหรอกหรือ ไม่เพียงรั้งให้อาหลีของพวกข้าอยู่กินขนมด้วย ยังให้อาหลีของพวกข้าอยู่กินข้าวด้วย และทำเสื้อผ้าให้อาหลีของพวกข้าอีก ข้าไร้ความสามารถเลี้ยงดูหลานชาย จำต้องพบใต้เท้าเฉินสักครั้งเป็นธรรมดา เพียงหวังว่าร่างกายนี้ของข้าจะยังมีมูลค่าอยู่บ้าง!”
หวังซีนิ่งเงียบ
นางคิดไม่ถึงว่าหลิวจ้งจะฉลาดขนาดนี้
รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ทำอะไรตามอำเภอใจ
ถ้าหากคุยกับหลิวจ้งให้ชัดเจนตั้งแต่แรก จะมีอะไรแตกต่างไปจากนี้หรือไม่
หวังซีรีบให้คนไปเชิญเฉินลั่วมา
เฉินลั่วมาถึงแล้วกล่าวอย่างไม่ชอบใจว่า “พันคนพันหน้า ข้ารู้สึกว่าวิธีนี้ของเจ้าดีมาก ส่วนเรื่องจะทำให้หลิวจ้งมาเป็นผู้ช่วยของข้าได้หรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับความสามารถของข้า เจ้าเป็นสะพานเชื่อมให้ นับเป็นเรื่องที่สตรีมากมายล้วนทำไม่ได้แล้ว จะเอาความรับผิดชอบนี้ไปไว้ที่ตัวเองได้อย่างไร”
หวังซียังคงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เกรงว่าข้าคงมิใช่คนทำเรื่องใหญ่ได้จริงๆ!”
เฉินลั่วไม่ชอบหวังซีที่ดูอ่อนแอเช่นนี้
เขานึกภาพจำที่ตัวเองมีต่อหวังซีขึ้นมา มักจะเป็นเด็กสาวที่ยามยิ้มสดใสเหมือนดอกไม้ในหน้าร้อน นัยน์ตาสุกสกาวดั่งดวงดารา เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ราวกับไม่เคยกลัวอะไร ไม่มีอะไรทำให้นางเป็นทุกข์ได้
“พูดเหลวไหล!” เขาดุนางอย่างไม่ชอบใจนัก กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ปิดบังตัวตนตั้งแต่แรก หากหลิวจ้งผู้นั้นยังไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใครมาจากไหนอีก คนเช่นนี้จะอยากได้เขาไปทำไม การที่เขาคิดได้ว่าควรมาหาข้า ข้าก็ต้องชื่นชมเขาครั้งหนึ่ง…
…เจ้าอย่าลืมว่า คนที่พวกเราต้องประมือด้วยคือคนอย่างฮ่องเต้และชิ่งอวิ๋นโหวจำพวกนั้น หากข้างกายล้วนแล้วแต่เป็นคนสามัญดาษดื่น ถึงเวลาจะลากพวกเราไปตายด้วยหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”
………………………………………………………………..
[1] กุหลาบจันทร์เบ่งบาน กุหลาบจันทร์ (荼蘼) บานช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเมื่อใดที่กุหลาบจันทร์บานหมายความว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จึงมักใช้เป็นสัญลักษณ์เปรียบเปรยถึงความเศร้า