เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 128 งานชมบุปผา
หวังซีกับฉังเคอกลับจิงเฉิงก่อนกำหนดสองสามวัน
ส่วนอาหลี หลิวจ้งมารับตัวกลับไป
ตอนเดินทางกลับเด็กน้อยน้ำตาคลอหน่วยทั้งสองข้างกอดเซียงเย่ไว้ไม่ยอมปล่อยมือ ต่อให้หลิวจ้งสัญญาว่าจะให้เขาเลี้ยงแมว เขาก็เอาแต่ส่ายศีรษะ บอกว่าแมวตัวอื่นไม่ใช่เซียงเย่ ทำเอาหวังซีใจอ่อนยวบเกือบจะยกเซียงเย่ให้อาหลีไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หวังซีรับปากว่าต่อไปหากเซียงเย่มีน้องชายน้องสาว จะส่งไปให้อาหลีหนึ่งตัว ถึงหลอกล่อให้อาหลีหยุดร้องไห้ได้ ถือขนมที่หวังซีมอบให้เขาเดินได้หนึ่งก้าวหันกลับมามองสามครั้งจนออกจากวัดอวิ๋นจวีไป
ฉังเคอทอดถอนใจ “หากมีโอกาสให้เขามาเป็นแขกที่บ้านได้ก็คงดี”
หวังซีรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก แต่ว่าพวกนางอาจไปเยี่ยมอาหลีที่สะพานศิลาขาวได้
หลังจากที่ทั้งสองคนกลับถึงจวนแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า
ไม่ได้เจอกันค่อนข้างนาน เมื่อได้พบพวกนางฮูหยินผู้เฒ่าจึงดีใจมากจริงๆ ไม่เพียงสอบถามพวกนางถึงชีวิตประจำวันที่วัดอวิ๋นจวี และเรื่องไปเป็นแขกที่จวนเจียวชวนป๋อว่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้วเท่านั้น ยังให้พวกนางมารับมื้อเย็นกับนางด้วย
แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องงานชมบุปผาที่วังหลวงจัดขึ้น
นี่เป็นเพราะไม่คิดจะให้พวกนางทั้งสองคนเข้าร่วม?
หวังซีกับฉังเคอกระจ่างแจ้งแก่ใจดี แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ อยู่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่ง จากนั้นหวังซีกลับไปพักผ่อนที่สวนร่มหลิว ส่วนฉังเคอไปหาโหวฮูหยิน เนื่องจากนางยังไม่ได้ไปคารวะป้าสะใภ้ทั้งสองท่านเลย
โหวฮูหยินกำลังคุยกับหมัวมัวที่ดูแลงานบ้านอยู่ ถามฉังเคออย่างเรียบง่ายไม่กี่ประโยคก็ยกน้ำชาส่งแขก
ส่วนนายหญิงรองกำลังรับแขกจากร้านผ้าอยู่ เห็นฉังเคอมาหา รีบเปลี่ยนสถานที่ไปคุยกับฉังเคอที่อื่นแทน
ฉังเคอแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ คาดเดาว่านายหญิงรองกำลังเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเข้าวังให้ฉังเหยียนอยู่
นางคุยกับนายหญิงรองสองสามประโยคแล้วก็ไปที่สวนซิ่ง
นายหญิงสามนั้นรอบุตรสาวอยู่ตลอด เมื่อเห็นฉังเคอก็จับมือนางเอาไว้มองสำรวจขึ้นลงก่อนเป็นอันดับแรก เห็นหน้านางแดงปลั่งดูสุขภาพดีกว่าตอนอยู่ที่บ้านเสียอีก ถึงได้วางใจลงมาได้ กระซิบถามนางอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านย่าของเจ้าได้เอ่ยถึงเรื่องงานชมบุปผาในวังหลวงกับเจ้าหรือไม่”
ฉังเคอรู้ว่ามารดาคาดหวังอะไรมาโดยตลอด เมื่อก่อนนางรู้สึกว่ามารดาเจตนาดีจึงพอจะอภัยให้ได้ ทว่าบัดนี้กลับรู้สึกว่าถึงเวลาต้องทำให้บิดามารดาตื่นได้แล้ว
“เปล่าเจ้าค่ะ!” นางกล่าวอย่างสงบ “มิใช่แค่ท่านย่าเท่านั้นไม่เอ่ยอะไรกับข้า แม้แต่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่และป้าสะใภ้รองก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงด้วยเช่นกัน”
นางยังเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองไปบ้านรองและสิ่งที่ตัวเองคาดเดาให้มารดาฟังด้วย กล่าวว่า “แม้แต่พี่สาวสามเองก็ไม่บอกข้าเลยสักคำ เป็นน้องสาวสกุลหวังและคนที่เรือนของท่านย่าที่ดีกับข้า นางแจ้งข่าวให้พวกข้าทราบตอนที่เอาเทียบเชิญของจวนเจียงชวนป๋อไปส่งให้”
นายหญิงสามมองฉังเคออย่างตกตะลึงกว่าครู่ใหญ่ จู่ๆ น้ำตาก็ร่วงเผาะเป็นสายฝน กล่าวเสียงเบาอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าช่วงชิงความโดดเด่นของฉังเหยียนมาได้หรืออย่างไร! ก็แค่ดองกับคุณชายสี่จวนเซียงหยางโหวไม่ได้เองมิใช่หรือ ทุกคนในบ้านต้องประคบประหงมนางกันหมดอย่างนั้นหรือ มีอะไรดีๆ ก็ต้องให้นางเลือกก่อนอย่างนั้นหรือ พวกนางทำกับเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร! นายหญิงรองเข้าข้างบุตรสาวของตัวเอง ไม่ยอมให้เจ้าออกไปเฉิดฉายก็แล้วไป เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมานางก็ไม่เคยยอมลงให้ใครอยู่แล้ว แต่โหวฮูหยินก็ไม่ยอมออกหน้าช่วยพูดให้เจ้าด้วยอีกคน…เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์เคารพและให้เกียรตินางมานานหลายปี ยามคับขันกลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ครอบครัวพวกเรายังจะต้องประจบประแจงครอบครัวพวกเขาไปเพื่ออะไรอีก”
เหตุผลข้อนี้เลย
ฉังเคอพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
ถ้าหากเหตุนี้ทำให้บิดามารดาตาสว่างได้ ความอดทนอดกลั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาของนางกับน้องชายก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
นางอดยุยงมารดาไม่ได้ว่า “น้องเล็กเป็นเด็กดีเชื่อฟัง เรียนหนังสือก็เฉลียวฉลาด เรื่องงานแต่งของข้าไม่นับว่าเป็นปัญหา อย่างไรก็เป็นหญิงสาวที่ต้องแต่งงานออกไป แต่การเตรียมตัวสอบของน้องเล็กไม่อาจปล่อยให้ล่าช้าได้ คำโบราณกล่าวได้ดี พิงภูเขาภูเขาล้ม พึ่งพาน้ำน้ำเหือดแห้ง พวกเราต้องวางแผนเสียแต่เนิ่นๆ ถึงจะถูก”
นายหญิงสามนั่งแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ถึงได้ออกจากเรือนของบุตรสาวไป
ฉังเคอกลับขึ้นเตียงไปอย่างอารมณ์ดี นอนหลับสบายไปหนึ่งตื่น หลังจากตื่นขึ้นมาเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว สั่งการให้สาวใช้นำขนมเจที่ซื้อมาจากวัดอวิ๋นจวีไปส่งให้คุณหนูพานเสร็จแล้ว ถึงได้เดินไปสวนร่มหลิว นัดแนะกับหวังซีเดินไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยกัน
แม้นกล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้ทั้งสองคนมารับมื้อเย็นด้วย แต่ก็เรียกซือจูและฉังเหยียนมาด้วยเช่นกัน
ซือจูยังคงเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ เห็นทั้งสองคนเข้ามา ก็แค่พยักหน้าให้อย่างเฉยชา ถือว่าเป็นการกล่าวทักทายแล้ว แต่ฉังเหยียนดูผ่ายผอมลงไปมาก ดวงหน้าแต้มความกังวลเอาไว้หลายส่วน แม้แต่ตอนยิ้มก็ยังดูฝืดฝืนเล็กน้อย
นางเอ่ยถามความเป็นอยู่ที่วัดอวิ๋นจวีของพวกนางอย่างเอาใจใส่
ฉังเคอมีใจอยากประชันกับฉังเหยียนอย่างเปิดเผย จึงเลือกเล่าแต่เรื่องที่น่าสนใจและสนุกให้ฉังเหยียนฟัง
ฉังเหยียนฟังแล้วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ไม่นานซือหมัวมัวก็เข้ามาถามว่านำอาหารขึ้นโต๊ะได้หรือยัง ทุกคนยิ้มแย้มประคองฮูหยินผู้เฒ่าไปที่โถงรับประทานอาหาร และโยนเรื่องนี้ทิ้งไป
แต่เพราะเรื่องนี้จึงทำให้บรรยากาศของจวนหย่งเฉิงโหวกลายเป็นดูเปราะบางขึ้นมาเล็กน้อย
ทุกคนต่างกำลังคาดเดาถึงสาเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พาหวังซีไปร่วมงานชมบุปผาของวังหลวงด้วย รู้สึกว่าต่อให้หวังซีได้รับความโปรดปรานเพียงใดก็สู้ซือจูไม่ได้ สุดท้ายแล้วซือจูคือคนจากตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า ในยามคับขัน ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงเข้าข้างคนจากตระกูลเดิมอยู่ดี
ส่วนฉังเคอ นางไม่เคยได้รับความสำคัญมาโดยตลอด ทุกคนล้วนเอาแต่ห้อมล้อมฉังเหยียนซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
คำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับฉังเคอมีน้อยกว่าหวังซีเสียอีก
ที่ผ่านมาหวังซีคร้านจะสนใจคำนินทาว่าร้ายของจวนหย่งเฉิงโหวมาตลอดอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง อากาศร้อนเช่นนี้ นอกจากไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นางก็เล่นกับเซียงเย่อยู่ในสวนร่มหลิว หรือไม่ก็ไปสวนร่มวสันต์ ไปดูคุณหนูพานวาดรูป ปักลายดอกไม้ ไปคุยสัพเพเหระกับฉังเคอ วันเวลาผ่านไปอย่างเรียบเรื่อยและสบายใจ
กระทั่งถึงวันไปงานชมบุปผาที่จวนเจียงชวนป๋อ นางกับฉังเคอแต่งกายอย่างงดงามออกจากบ้านไปพร้อมกัน
จวนเจียงชวนป๋อเองก็ตั้งอยู่ที่เขตเสี่ยวสือยงเช่นกัน ขนาดกว้างใหญ่ไม่ต่างจากจวนหย่งเฉิงโหวนัก ทว่ามีครอบครัวของเจียงชวนป๋ออาศัยอยู่เพียงสี่คนเท่านั้น นอกจากจะบูรณะซ่อมแซมได้อย่างหรูหรามากแล้ว การตกแต่งยังสวยงามเข้ากับยุคสมัย สวนดอกไม้ด้านหลังไม่เพียงมีต้นไม้ดอกไม้ครบทั้งสี่ฤดู ยังมีห้องอุ่น ท่าเทียบเรือ สนามม้า จะชมดอกไม้ พายเรือ หรือขี่ม้าก็ได้ทั้งสิ้น เมื่อเดินเข้าไปคล้ายเดินเข้าไปในบ้านตากอากาศกลางภูเขาก็ไม่ปาน
หวังซีคล้องแขนลู่หลิงเอาไว้กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “สถานที่งดงามขนาดนี้ เจ้ายังจะมาอิจฉาตาร้อนกับชิงช้าเล็กๆ ที่เรือนข้าอีก เจ้านี่นับว่าไม่รู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่าได้หรือไม่!”
แต่ลู่หลิงยังคงยู่ปากกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าที่บ้านเงียบเหงา ไม่ได้น่าสนุกขนาดนั้น”
บ้านผู้อื่นไม่พออยู่ บ้านพวกเขากลับหนึ่งคนครอบครองหลายเรือน
ฉังเคออิจฉาเป็นที่สุด
ลู่หลิงพาพวกนางไปดูชิงช้าที่เพิ่งติดตั้งใหม่ ยังถามหวังซีว่า “เจ้าไปร่วมงานชมบุปผาของวังหลวงหรือไม่ อยากให้ข้าช่วยพูดให้เจ้าสักคำหรือเปล่า”
ตอนนี้จวนหย่งเฉิงโหวไม่พานางไปด้วยไม่มีปัญหา แต่ถ้าคนจากวังหลวงระบุว่าให้นางไป จวนหย่งเฉิงโหวไม่พานางไปด้วยไม่ได้แล้ว
หวังซีรู้สึกอยากไปอยู่บ้าง นางไม่เคยเข้าวังหลวงมาก่อน แต่ก็กลัวว่าจะไปสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาได้
นางถามลู่หลิง “มีใครไปบ้าง”
“คนที่มาร่วมงานชมบุปผาที่บ้านข้าวันนี้น่าจะไปกันหมด” ลู่หลิงกล่าว แล้วก็เอ่ยถึงสตรีอีกสองสามคนที่ถูกซูเฟยเหนียงเหนียงเรียกตัวไปเมื่อคราอยู่ที่จวนจ่างกงจู่
หวังซีกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “มีวิธีทำให้ข้าได้ไปดูความครึกครื้นเพียงอย่างเดียวหรือไม่”
ลู่หลิงหัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “นอกเสียจากว่าเจ้าแต่งกายเป็นสาวใช้ของข้า นั่นพอจะเป็นไปได้”
แน่นอนว่าหวังซีย่อมไม่ยอม นางขมวดคิ้วมุ่นลังเลใจอยู่ครึ่งค่อนวัน
คุณหนูรองอู๋กับคุณหนูหกปั๋วมาถึงพร้อมกัน ลู่หลิงลากพวกนางไปต้อนรับทั้งสองคน โยนเรื่องนี้ทิ้งไปชั่วขณะ
งานชมบุปผาของจวนเจียงชวนป๋อนั้นบอกว่าเป็นการมาชมดอกไม้ แต่ความจริงแล้วทุกคนก็แค่ถือโอกาสนี้มาเล่นด้วยกันสักครั้งหนึ่งเท่านั้น มีคนคุ้นหน้าหลายคนที่หวังซีเคยเจอตอนไปจวนชิงผิงโหวเมื่อคราวก่อน ได้มาเจอกันอีกครั้งในเวลาที่ห่างกันเพียงไม่นาน ทุกคนจึงมิใช่คนแปลกหน้า ต่างพูดคุยหัวเราะกัน เพียงไม่นานก็นั่งรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พวกนางคุยกันล้วนเป็นเรื่องการไปร่วมงานชมบุปผาของวังหลวงทั้งสิ้น มีคุณหนูท่านหนึ่งในจำนวนนั้นกล่าวแนะนำขึ้นว่า “ตอนไปร่วมงานพวกเจ้าตั้งใจจะสวมอาภรณ์สีอะไรและสวมเครื่องประดับอะไรกันบ้าง มิสู้ทุกคนลองเล่าสู่กันฟัง เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าเข้าวังไปแล้วถึงค้นพบว่าทุกคนต่างแต่งกายเหมือนกัน คล้ายเป็นพี่น้องฝาแฝดกันก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนั้นคงได้แต่ต้องอาศัยความงามของใบหน้าแล้ว แม้นข้าจะมั่นใจในใบหน้าของตัวเอง แต่ข้ายังคงกลัวว่าจะแต่งกายเหมือนกับคุณหนูหกปั๋ว เช่นนั้นคงเสียเปรียบแย่แล้ว”
นางพูดจาตรงไปตรงมายิ่ง ทุกคนฟังแล้วนอกจากไม่ขุ่นเคืองแล้ว ยังรู้สึกว่านางเป็นคนตลกมีอารมณ์ขันนัก ระหว่างที่หัวเราะขบขันกันนั้น ต่างก็ทยอยกันเล่าว่าตัวเองเตรียมเสื้อผ้าอะไรบ้าง
มีเพียงหวังซีกับฉังเคอเท่านั้นที่นิ่งเงียบ จึงเป็นที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ลู่หลิงกล่าวอธิบายแทนพวกนางว่า “พวกนางยังไม่ได้คิดว่าจะสวมชุดอะไรดี!”
คุณหนูรองอู๋ได้ยินแล้วสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหดหู่ขึ้นมา กล่าวเสียงเบาว่า “ข้ายังคงแต่งกายตามปกติ โอกาสที่จะแต่งตัวเหมือนพวกเจ้าคงมีน้อยนัก ต่อให้บังเอิญแต่งเหมือนคุณหนูหกปั๋ว ข้าก็ไม่มีอะไรเหนือกว่าอยู่ดี มิสู้แอบอยู่ตรงมุมห้องอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ฟังพวกเจ้าคุยกันดีกว่า”
คุณหนูหกปั๋วที่ก่อนหน้านี้ยังคุยเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์กับคุณหนูเหล่านั้นอย่างเบิกบานอยู่นั้นได้ยินแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเอาข้าไปเป็นเป้าเลย หากพวกเจ้ามีแก่ใจจริงๆ มิสู้ไปสืบดูว่าคุณหนูซือตั้งใจจะสวมใส่อะไรดีกว่า งานเลี้ยงของวังหลวง นางไม่เคยสูญเสียตำแหน่งเป้าสายตามาก่อน”
คุณหนูทั้งหลายต่างเงียบเสียงลง จากนั้นก็พากันพูดเจื้อยแจ้วถึงเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องประดับของซือจูขึ้นมา ไม่มีใครเอ่ยถึงงานชมบุปผาของวังหลวงอีก
เห็นได้ชัดว่าคุณหนูเหล่านี้ต่างเป็นคนเฉลียวฉลาดกันทุกคน
ถึงเวลาผู้ใดแต่งกายได้โดดเด่นที่สุด ผู้นั้นก็คือคนที่ตั้งใจที่สุดแล้ว
หวังซีจิบชาไปคำหนึ่ง ครุ่นคิดว่าควรบอกเฉินลั่วสักคำหรือไม่
แต่เด็กสาวมารวมตัวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่คุยกัน
ไม่นานพวกนางก็พูดถึงคดีความระหว่างวัดเจินอู่กับวัดต้าเจวี๋ยขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงของคุณหนูเหล่านี้แล้ว กึ่งหนึ่งโน้มเอียงไปทางวัดเจินอู่ อีกกึ่งหนึ่งเอนเอียงไปทางวัดต้าเจวี๋ย ส่วนที่โน้มเอียงไปทางวัดเจินอู่รู้สึกว่าหลายปีมานี้วัดเจินอู่เป็นดั่งคมในฝัก ไม่ค่อยเข้าร่วมการช่วงชิงระหว่างพุทธเต๋าในจิงเฉิงเท่าไรนัก ครั้งนี้หากมิใช่เพราะเฉาอวิ๋นผู้นั้นทำเกินไปล่ะก็ วัดเจินอู่ก็คงไม่กระโดดออกมาเช่นนี้ ส่วนที่เอนเอียงไปทางวัดต้าเจวี๋ยรู้สึกว่าวัดเจินอู่ก็แค่อิจฉาที่หลายปีมานี้วัดต้าเจวี๋ยรุ่งโรจน์เต็มไปด้วยผู้มาสักการะ ไม่ง่ายเลยกว่าจะจับตัวเฉาอวิ๋นเอาไว้ได้ จึงใช้ขนไก่เป็นดั่งป้ายอาญาสิทธิ์ ต้องการสาดโคลนใส่วัดต้าเจวี๋ย
แน่นอนว่าหวังซีย่อมไม่ยอมให้เฉาอวิ๋นได้รับการปกป้องจากผู้คนเช่นนี้ นางกล่าวขึ้นว่า “เฉาอวิ๋นเอาตำราเครื่องหอมของวัดเจินอู่ไปเป็นเรื่องจริง วัดต้าเจวี๋ยรับเฉาอวิ๋นเอาไว้ก็เป็นเรื่องจริง เหตุใดพวกเจ้าถึงเอาแต่พูดว่าวัดเจินอู่กับวัดต้าเจวี๋ยเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ไม่พูดถึงเฉาอวิ๋นผู้นั้นเลยว่าเป็นคนเช่นไร ถ้าหากไม่มีเขา จะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นได้อย่างไร ข้าคิดว่าเฉาอวิ๋นคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด วัดต้าเจวี๋ยเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นกัน การรับพระสงฆ์ของพวกเขาง่ายเกินไป ไม่สอบถามสักหน่อยเลยหรือว่าเป็นคนเช่นไร”
ต่อให้มีคนที่แต่เดิมเข้าข้างวัดต้าเจวี๋ย ก็รู้สึกว่าที่หวังซีกล่าวมามีเหตุผล
ทุกคนจึงคุยเรื่องเครื่องหอมที่เฉาอวิ๋นทำขึ้นมาอีกครึ่งค่อนวัน ต่างพากันรู้สึกว่าเฉาอวิ๋นไม่ใช่คนดีอะไร
ถึงแม้การสนทนาเช่นนี้จะเป็นเพียงการพูดคุยกันในกลุ่มเล็กๆ แต่การได้ตีตราเฉาอวิ๋นทีละเล็กทีละน้อยเช่นนี้ ก็ทำให้หวังซีรู้สึกมีความสุขมากอยู่ดี
คุณหนูรองอู๋ไม่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย เอาแต่นั่งยิ้มตาหยีอยู่ข้างๆ ฟังทุกคนคุยกันโดยตลอด แต่ตอนจะกลับนางกลับดึงหวังซีเอาไว้ กล่าวว่า “พวกเรากลับด้วยกันเถอะ!”
…………………………………………………………….