เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 130 ส้ม
หวังซีผู้นี้ หากบอกว่าเป็นคนใจกว้างส่วนใหญ่ก็ใจกว้างจริงๆ คนข้างกายกระทำผิดอะไร อะไรที่นางปล่อยผ่านได้ก็ปล่อยผ่าน แต่หากบอกว่าเป็นคนใจร้ายก็มีช่วงเวลาที่ใจร้ายเหมือนกัน
แค่นางมองเช่นนี้ครั้งเดียว ก็ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากของนายหญิงรองนูนออกมาแล้ว
นางประจบประแจงจวนเซียงหยางโหวมาเป็นเวลานาน แต่พอผู้อื่นบอกว่าคุณชายสี่จะหมั้นหมายก็หมั้นหมายเลย ไม่ไว้หน้านางแม้แต่นิดเดียว
ภายในใจของนายหญิงรองคล้ายมีไฟกำลังแผดเผา แต่นางต้องอดกลั้นเอาไว้ คนที่สนใจใคร่รู้ย่อมดูออกว่าฉังเหยียนสนใจเจี่ยเฝิง และนางเองก็อยากให้บุตรสาวแต่งกับเจี่ยเฝิงเช่นกัน หากนางกระโดดออกไปในเวลานี้ ทุกคนมีแต่จะรู้สึกว่านางโมโหเพราะความอับอาย เอาไปเล่าลือต่อๆ กัน นางกับฉังเหยียนจะยิ่งขายหน้า
นางหน้าแดงก่ำ มองโหวฮูหยิน คาดหวังให้โหวฮูหยินออกหน้ามาช่วยนาง
โหวฮูหยินมองแล้วได้แต่รู้สึกชอบใจมีความสุข
เหตุใดยามบ้านรองกดทับบ้านหลักทำตัวโดดเด่นถึงไม่คิดบ้างว่าผู้ใดคือสะใภ้ใหญ่ เวลานี้กลับอยากให้นางออกหน้าช่วยพูดให้บ้านรอง ฝันไปเสียเถอะ
นางทำเสมือนมองไม่เห็น
นายหญิงสามได้ยินแล้วดวงตากลับเป็นประกาย ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาหมายจะเอ่ยปากพูด ผู้ใดจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าถูกกระตุ้นมากกว่านายหญิงรองเสียอีก ถึงกับกอดหวังซีไว้ในอ้อมกอดแน่น ไม่มองบุตรสะใภ้ทั้งสามคนแม้แต่ครั้งเดียว ร้องไห้น้ำตาไหลพรากลงมา “หลานรักของข้า ยังคงเป็นเจ้าที่รู้ความที่สุด ทุกประโยคล้วนกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจของข้าทั้งสิ้น หากอยากกล่าวโทษ มีแต่ต้องกล่าวโทษที่ยายอย่างข้าผู้นี้ไร้ความสามารถ ตอนที่ตาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่กดทับข้าทุกอย่าง เพื่อบุตรชายหญิงทั้งหลายแล้วข้าไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าเขาเลยจริงๆ…”
หวังซีถูกฮูหยินผู้เฒ่ากอดเอาไว้ นอกจากใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดดวงตาที่ไร้ซึ่งน้ำตาแล้ว เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าวยังเบ้ปากอย่างห้ามไม่อยู่อีกด้วย
ผู้อื่นต่างพูดกันว่า ‘คนเป็นแม่มีพลังเหนือจินตนาการ’ นางที่เป็นแม่คนผู้หนึ่งยังยืดหลังตรงไม่ได้ ทว่ายังคาดหวังให้สามียกย่องเชิดชูบุตรชายหญิงของตัวเอง? กล่าวไปกล่าวมา ที่มารดาของนางมีวันนี้ได้ ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยายของนางผู้นี้เลย
อย่างไรก็ตาม บิดาของนางกล่าวได้ดี หากมิใช่เพราะยายของนางเป็นคนไร้ความสามารถ มารดาของนางจะแต่งเข้าตระกูลหวังได้อย่างไร จะให้กำเนิดเด็กที่เฉลียวฉลาดและน่ารักน่าชังสองคนอย่างพี่ชายรองกับนางออกมาได้อย่างไร สุดท้ายแล้วก็เป็นตระกูลหวังของพวกนางที่ได้รับประโยชน์ ฉะนั้นอย่าคิดบัญชีกับยายของนางด้วยเรื่องพวกนี้เลยดีกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เห็นสีหน้าของหวังซี ยิ่งคิดก็ยิ่งร้าวรานใจ ยิ่งร้าวรานใจก็ยิ่งร้องไห้เสียงดัง “เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าคนในเมืองหลวงซุบซิบนินทาลับหลังข้าอย่างไรบ้าง แต่ข้าที่เป็นเพียงสตรีออกเรือนแล้วผู้หนึ่งจะทำอะไรได้ ตอนนั้นข้าไม่กล้าคิดอะไรสักอย่าง คิดแค่ว่าข้าไม่อาจเดินนำหน้าท่านโหวผู้เฒ่า หากข้าเดินนำหน้า ไม่รู้ว่าบุตรที่ข้าให้กำเนิดมาเหล่านั้นจะถูกรังแกอย่างไรบ้าง…”
หวังซีได้ยินแล้วได้แต่เหลือบตามองบน
บุตรสะใภ้ตรงหน้าทั้งสามคน มีเพียงบุตรชายคนโตกับบุตรชายคนรองเท่านั้นที่เป็นลูกแท้ๆ ของนาง บุตรชายคนที่สามเป็นบุตรของอนุ
นี่ท่านต้องการจ้วงดาบใส่หัวใจของผู้ใดกัน?
โชคดีที่มารดาของนางไม่เหมือนยายของนาง ไม่เช่นนั้นคงอยู่ตระกูลหวังไม่ได้แม้แต่วันเดียวเป็นแน่!
หวังซีคิดว่าหากฮูหยินผู้เฒ่าร้องห่มร้องไห้ถึงอดีตไม่รู้จักจบสิ้นขึ้นมา วันนี้ทุกคนคงได้ติดแหง็กอยู่ที่นี่เป็นแน่ นางรีบปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่าว่า “บัดนี้ท่านพ้นจากความขมได้พานพบความหอมหวานแล้วมิใช่หรือ! นอกจากท่านโหว นายท่านรองและนายท่านสามจะกตัญญูรู้คุณแล้ว คุณชายทั้งหลายยังมาคารวะเช้าเย็นตลอด ไม่เคยละเลยท่านเลยแม้แต่วันเดียว โหวฮูหยิน นายหญิงรองและนายหญิงสามเองยามมีของดีอะไรก็คิดถึงท่านก่อน ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ก็ส่งมาให้ท่านเสมอ พี่สาวทั้งหลายยิ่งแล้วใหญ่มาคุยเป็นเพื่อนท่านทุกวัน ผู้คนในเมืองหลวงมีใครไม่ยกย่องท่านว่ามีวาสนาดีบ้าง ต่อให้มีคนซุบซิบนินทาบ้าง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการพูดว่าเมื่อก่อนท่านยากลำบากไม่น้อย”
ไม่ง่ายเลยกว่าจะปลอบโยนจนฮูหยินผู้เฒ่าสงบลงได้
นายหญิงสามกับพวกซือหมัวมัวรีบตักน้ำเข้ามาปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าล้างหน้าแต่งตัวใหม่อีกครั้ง
โหวฮูหยินกับนายหญิงรองรายล้อมปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่า ระหว่างนั้นอดมองหวังซีอีกสองสามครั้งไม่ได้
ก็พูดเก่งเสียขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่ยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเด็กสาวผู้นี้อยากได้ลมก็ได้ลมอยากได้ฝนก็ได้ฝน หากอาหนิงของพวกนางมีฝีปากได้ครึ่งหนึ่งของคุณหนูสกุลหวังท่านนี้ นางคงไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว
เสียดายก็แต่ที่เมื่อก่อนนางดูเบาคุณหนูต่างสกุลท่านนี้เกินไป ไม่หลอกล่อให้ฉังหนิงสนิทสนมกับนางอีกสักหน่อย ถ้าหากฉังหนิงเรียนรู้ทักษะอะไรจากนางได้บ้างก็คงดี
โหวฮูหยินทอดถอนใจอยู่ในใจ ฉังเคอเองก็ทอดถอนใจอยู่ในใจด้วยเช่นกัน
หวังซีช่างหน้าหนาจริงๆ พูดโกหกหน้าซื่อตาใส คำพูดอะไรก็พูดออกมาได้
ผู้คนในเมืองหลวงมีใครไม่พูดบ้างว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวเป็นคนเลอะเลือน หวังซีเองก็เป็นผู้รับเคราะห์เช่นกัน แต่กลับเมินเฉยพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วไม่รู้ว่าดีใจมากเพียงใด
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ที่นางถูกคนในจวนดูแคลน เป็นเพราะคิดได้ไม่ทะลุปรุโปร่งเท่าหวังซีนี่เอง
คิดถึงตรงนี้ นางตัดสินใจโยนข้อห้ามที่มารดาเคยบอกนางก่อนหน้านี้ทิ้งไปแล้วเรียนรู้จากหวังซีแทน อนาคตจะเป็นอย่างไรใครบอกอย่างชัดเจนได้บ้าง สิ่งที่สมควรทำคือคว้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้มั่นต่างหาก
ฉังเคอรับชาร้อนจากมือสาวใช้มายื่นส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตัวเอง เปล่งเสียงเรียก “ท่านย่า” อย่างสนิทสนม กล่าวว่า “ท่านจิบชาร้อนให้ชุ่มคอก่อน จะว่าไปแล้ว ล้วนเป็นเพราะหลานๆ อย่างพวกข้าที่ไร้ความสามารถ ขี้ขลาดตาขาว เห็นสตรีชั้นสูงจากวังหลวงเมื่อใดก็รีบหลบแทบไม่ทัน ไม่แปลกที่สตรีชั้นสูงเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าพวกข้าเป็นใคร…
…ท่านอย่าโมโหเลยเจ้าค่ะ ต่อไปพวกข้าจะปรับปรุงตัว ไม่เป็นฉากหลังให้ผู้อื่นอีกแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ารับชาร้อนจากมือของหลานสาวมา จิบไปสองสามคำ พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
หวังซีจึงหันไปแลกเปลี่ยนสายตากับฉังเคอครั้งหนึ่ง ถอยออกมาอยู่ด้านข้างพร้อมนาง ปล่อยให้พวกโหวฮูหยินขยับเข้าไปแทนที่
แน่นอนว่าโหวฮูหยินและคนอื่นๆ ย่อมไม่ปล่อยโอกาสหลุดมือไป ต่างล้อมหน้าล้อมหลังฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อปลอบโยนนาง
หวังซีถึงได้กระซิบถามฉังเคอว่า “งานชมบุปผาของวังหลวง เจ้ามีแผนการอะไรหรือไม่ ข้าตั้งใจจะเข้าวังไปดูสักหน่อย”
ฉังเคอคิดถึงที่หวังซีออกหน้าช่วยเหลือนาง คิดถึงน้ำตาของมารดา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่บังเกิดความคิดอยากประชันสูงต่ำกับฉังเหยียนสักครั้ง นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “พวกเราไปด้วยกัน ข้าไม่เชื่อว่าข้าด้อยไปกว่าผู้ใด”
“แบบนี้ถึงจะถูกต้อง” หวังซีกล่าวชม “พวกเราเลือกไม่เอามันได้ แต่ไม่ควรปล่อยให้ผู้อื่นมาบีบบังคับให้ไม่เอา”
ฉังเคอเข้าใจสิ่งที่นางจะสื่อ พยักหน้าแรงๆ อย่างเห็นด้วย
หวังซีจึงปล่อยมือฉังเคอ กระซิบสั่งการไป๋กั่วสองสามประโยค
ไป๋กั่วออกจากเรือนหยกวสันต์ไปอย่างเงียบเชียบ ไม่นานก็เข้ามาพร้อมไข่ต้มร้อนๆ สองลูกห่ออยู่ในผ้าเช็ดหน้า
หวังซีตั้งใจจะกลั่นแกล้งนายหญิงรอง ยื่นไข่ต้มส่งให้นายหญิงรอง กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าเสียงอบอุ่นว่า “ดวงตาของท่านบวมช้ำหมดแล้ว ตอนอยู่บ้าน หากร้องไห้จนตาบวม ผู้อาวุโสในบ้านจะใช้ไข่ต้มร้อนๆ มาประคบดวงตาให้ข้า ข้าไม่เคยทำมาก่อน กลัวทำได้ไม่ดี คงต้องรบกวนนายหญิงรองช่วยแล้วเจ้าค่ะ”
ส่วนตัวเองกลับไปนั่งข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่า จับมือฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้กล่าวว่า “ท่านอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ หากการคัดเลือกพระชายาใต้ผืนฟ้านี้ดูแค่หน้าตา เช่นนั้นจะมียศตำแหน่งไว้เพื่ออันใด เลือกภรรยาก็ต้องเลือกที่ความสามารถและคุณความดี สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นพื้นเพของครอบครัว”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วอดพยักหน้าไม่ได้ กล่าวชมว่า “หลานรักของข้า ยังคงเป็นเจ้าที่เฉลียวฉลาด มองอะไรทะลุปรุโปร่ง ไม่เหมือนยายของเจ้า แก่แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
“ดูท่านพูดสิเจ้าคะ” หวังซีหยิบหมอนอิงมาวางบนแหย่งหลัวฮั่นให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอนหลัง บอกให้นายหญิงรองใช้ไข่ต้มประคบดวงตาให้ฮูหยินผู้เฒ่า แต่ตัวเองกลับจับมือฮูหยินผู้เฒ่าไว้ไม่ยอมปล่อย กล่าวว่า “สะพานที่ท่านเดินข้ามมามากมายกว่าถนนที่พวกข้าเคยเดินผ่านมากนัก หากไม่มีท่านนั่งเป็นองค์ประธาน บ้านหลังนี้คงยุ่งเหยิง นี่ก็เป็นเพราะท่านเป็นห่วงว่าจะยุ่งเหยิง หากท่านไม่เชื่อ ลองถามโหวฮูหยินได้ ดูว่าข้าหลอกลวงท่านหรือไม่”
แน่นอนว่าโหวฮูหยินย่อมตามน้ำไปกับหวังซี
นายหญิงรองที่ถูกไข่ต้มสองฟองลวกมือจนประคองเอาไว้แทบไม่อยู่นั้นก่นด่าหวังซีอยู่ในใจจนไม่เหลือชิ้นดี
เด็กสาวผู้นี้ดูท่าทางน่ารักอ่อนหวานมาจากครอบครัวมั่งคั่ง ผู้ใดจะรู้ว่าจิตใจจะชั่วร้ายขนาดนี้ โยนไข่ต้มมาให้นางสองใบ ตลอดชีวิตของนาง ถ้วยชาที่ร้อนเพียงนิดเดียวนางยังไม่เคยยกมาก่อนด้วยซ้ำ ไหนเลยจะทนความร้อนเช่นนี้ได้ ข้างกายนางกลับไม่มีใครช่วยเหลือนางเลยสักคน นางจะโยนทิ้งก็ไม่ใช่ ไม่ทิ้งก็ถือไว้ไม่ได้
ไม่ต้องมองนายหญิงรองก็รู้แล้วว่ามือของตัวเองต้องถูกลวกจนแดงไปหมดแล้วอย่างแน่นอน
ไม่แปลกที่ซือจูจะรังเกียจนาง!
นายหญิงรองเดียดฉันท์จนกัดฟันกรอด ทำได้แค่ร้องว่าร้อนไปด้วย ช่วยประคบดวงตาให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วย
หวังซีไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ เบิกดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วให้กว้างขึ้น พูดว่าร้ายนางให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังต่อหน้านางว่า “ตายแล้ว เป็นข้าที่ไม่ระวัง ข้าคิดว่าขอเพียงเป็นแม่คนก็ประคบดวงตาเป็นกันทุกคนเสียอีก คิดไม่ถึงว่ามือของนายหญิงรองจะบอบบาง ทนรับความร้อนเช่นนี้ไม่ได้”
นางยังร้องเสียงดังขึ้นว่า “ซือหมัวมัว เร็วเข้า เจ้ารีบมาช่วยนายหญิงรองเร็ว มือของนายหญิงรองแดงไปหมดแล้ว นี่หากเป็นแผลพุพองขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของข้าแล้ว!”
แล้วก็ตะโกนเรียก “ไป๋กั่ว” กล่าวว่า “เจ้ารีบไปที่ร้านขายยาเพื่อมวลชน ข้าจำได้ว่าท่านหมอเฝิงมียาทาแผลจากความร้อนลวกที่เป็นสูตรลับของตระกูลอยู่ มีประสิทธิภาพดียิ่ง เจ้าไปเอามาให้นายหญิงรองหน่อย แล้วก็เอามาเผื่อที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยอีกสักเล็กน้อย”
ยังหันไปกล่าวกับซือหมัวมัวและคนอื่นๆ ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้!”
ในฐานะคนเป็นบ่าว ผู้ใดกล้าบอกว่าตนไม่มีทางได้รับบาดเจ็บบ้าง
ซือหมัวมัวและคนอื่นๆ ย่อมพยักหน้าหงึกๆ กล่าวชื่นชมความใจดีของหวังซี
หวังซียิ้มหวานพลางกล่าว “ข้าก็ทำเพื่อให้พวกเจ้าตั้งใจปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าให้ดี ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นสุข พวกข้าที่เป็นคนรุ่นหลังถึงจะเป็นสุขด้วยได้”
ทุกคนต่างพากันยกย่องว่านางกตัญญู
ฉังเคอไม่มีหน้าดูต่อแล้ว โหวฮูหยินเองก็ยิ้มตาหยียืนดูอยู่ข้างๆ มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ยิ้มจนหน้าบานไปกับซือหมัวมัวและคนอื่นๆ สั่งให้คนข้างกายไปเอาส้มที่ส่งมาจากจินหลิงออกมาให้หวังซีและคนอื่นๆ กินกัน ยังกล่าวด้วยว่า “หากรู้สึกอร่อย ประเดี๋ยวก็เอากลับไปด้วยหนึ่งตะกร้า”
ซือหมัวมัวเผยสีหน้าย่ำแย่ออกมา
จินหลิงส่งมาให้เพียงสองตะกร้า หนึ่งในนั้นส่งไปให้นายท่านและคุณชายทั้งหลายที่เรือนชั้นนอกแล้ว อีกหนึ่งตะกร้าที่เหลือนี้หากมอบให้หวังซีแล้ว ประเดี๋ยวฮูหยินผู้เฒ่านึกขึ้นมาได้ จะทำอย่างไรกับทางด้านซือจูดี?
ฮูหยินผู้เฒ่ายังหวังให้ซือจูช่วยเหลือฉังเหยียนตอนไปร่วมงานชมบุปผาของวังหลวงอยู่นี่นา!
นางมองโหวฮูหยินครั้งหนึ่ง
โหวฮูหยินไม่แม้แต่จะชายตาแลนางผ่านหางตาเลยด้วยซ้ำ
นางลอบโอดครวญอยู่ในใจ
หวังซีกลับแสยะยิ้มเย็นไม่ขาดสาย รับส้มตะกร้านั้นไว้อย่างไม่เกรงใจ นอกจากจะให้คนเอาไปแบ่งให้โหวฮูหยินและบ้านสามแล้ว ยังแบ่งไปให้คุณหนูพาน ฉังหนิง กระทั่งท่านหมอเฝิงด้วย
ไป๋กั่วอดส่ายศีรษะยิ้มๆ ไม่ได้ กล่าวโน้มน้าวหวังซีว่า “เหตุใดคุณหนูใหญ่ต้องทำเช่นนี้ด้วย นี่มิใช่ของดีอะไร ก็แค่ได้กินเร็วก่อนใครเท่านั้น อีกสองสามวัน ก็มีส้มบรรณาการสดใหม่วางขายแล้ว ท่านอยากมอบให้ใคร มิสู้ถึงเวลาค่อยมอบส้มบรรณาการสดใหม่ให้ดีกว่า”
ให้พวกไม่รู้จักบุญคุณของจวนหย่งเฉิงโหวได้รู้ว่า ของที่พวกนางจับจ้องอยากได้เหลือเกินนั้น ไม่ได้เป็นของหายากสำหรับคุณหนูใหญ่ของพวกนางเลย
หวังซียิ้มร่าพลางกล่าว “ส้มบรรณาการสดใหม่อร่อยมากนี่นา ข้าทำใจเอามันไปให้ผู้อื่นไม่ได้หรอก ของดีพวกเราก็ต้องเก็บไว้กินเอง จะสนผู้อื่นรู้หรือไม่รู้ไปทำไม”
หวังหมัวมัวเลิกผ้าม่านเข้ามาพอดี ได้ยินแล้วหัวเราะงอหงาย กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ช่างตัดเสื้อของห้องเสื้อเมฆาคำนึงมาถึงแล้ว ท่านว่าให้ข้าไปเรียกคุณหนูสี่มาตอนนี้เลยหรือว่ารออีกสักประเดี๋ยวแล้วค่อยไปเรียกนางมาดีเจ้าคะ”
…………………………………………………………………….