เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 142 ลุกเป็นไฟ
ฉังเคอร้องไห้จนตาบวม เอนตัวนอนอยู่บนเตียงไม่ยอมพบใคร
หวังซีถอนหายใจ ให้ไป๋กั่วไปรินชาร้อนมาถ้วยหนึ่งยื่นส่งให้ฉังเคอ กล่าวว่า “เสียใจเสร็จแล้วก็ให้มันจบไปเสีย ตอนนี้เจ้าต้องดึงเรี่ยวแรงออกมาจัดการเรื่องนี้ถึงจะถูก คงไม่อาจแม้แต่หน้าตาก็ไม่ต้องการแล้วกระมัง”
ฉังเคอรับถ้วยชามา ถามอย่างว่างเปล่าว่า “หมายความว่าอย่างไร”
เห็นได้ชัดว่าคนยังจมจ่อมอยู่กับเรื่องงานแต่งที่เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่ทันได้ตรึกตรองถึงปัญหาอื่นๆ
หวังซีกล่าวอย่างไม่ชอบใจว่า “เจ้าพอใจที่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเช่นนี้หรือ เวลานี้มิใช่ว่าเจ้าควรมาคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีหรอกหรือ”
ฉังเคอฟังแล้วถึงได้มีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย ดื่มชาไปครึ่งถ้วย ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาอีก กลับไปหดหู่อีกครั้ง กล่าวว่า “ข้าจะวิ่งไปกอดขาแม่สื่อเอาไว้แล้วบอกว่างานแต่งนี้เป็นของข้าได้หรือ นั่นมิเท่ากับว่ายิ่งขายหน้าหรอกหรือ!”
หวังซีจิ้มหน้าผากของนางอย่างขุ่นเคือง กล่าวว่า “แต่ก็ไม่อาจเอาแต่นั่งเสียใจกับตัวเองอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนี้นี่นา! คนที่รักเจ้าร้องไห้จนไม่เหลือสภาพ ส่วนคนที่ไม่รักเจ้า ผู้ใดจะสนใจว่าเจ้าจะร้องไห้หรือไม่ร้องไห้ หรือร้องไห้นานแค่ไหน? แทนที่เจ้าจะนั่งเสียใจอยู่ตรงนี้ ไม่สู้จัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วไปดูนายหญิงสามสักหน่อย นางย่อมเสียใจยิ่งกว่าเจ้าอย่างแน่นอน”
ฉังเคอก็แค่รู้สึกเสียหน้าเท่านั้น ทว่านายหญิงสามนั้นเป็นเพราะรักบุตรสาวจึงเป็นทุกข์ และระดับของความเจ็บปวดก็ไม่เหมือนกัน
“นอกจากนี้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เรื่องในอดีตก็ไม่ต้องไปคิดถึงมันอีกแล้ว” หวังซีกล่าวต่อไปว่า “เจ้าควรคิดว่าจะแก้ปัญหาหลังจากนี้อย่างไรดีมากกว่า!”
ฉังเคอน้ำตาไหลพรากลงมาอีกสองสามระลอก ถึงได้กล่าวว่า “ข้าจะไปดูมารดาของข้าสักหน่อย”
ส่วนเรื่องควรจะทำอย่างไรดีนั้น สมองของนางยังว่างเปล่า
หวังซีพอจะเข้าใจได้
ไม่ว่าใครได้ประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นงานแต่งของตัวเองอีก ย่อมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีเป็นเรื่องธรรมดา
นางเรียกไป๋จื่อเข้ามาปรนนิบัติฉังเคอแต่งหน้าแต่งตัวใหม่ ส่วนตัวเองนั่งส่งหวีส่งปิ่นปักผมให้ไป๋จื่ออยู่ด้านข้าง “ข้าอยากถามเจ้าว่างานแต่งกับตระกูลหวงนั้น เจ้าอยากช่วงชิงกลับมาหรืออยากปล่อยให้มันจบไปเช่นนี้?”
ฉังเคอมองสตรีดวงตาแดงก่ำและบวมเป่งในกระจก กล่าวว่า “ต่อให้ข้าไร้ยางอายแค่ไหน ก็ไม่มีทางไปประจบประแจงอยากแต่งเข้าบ้านของพวกเขาให้ได้อีกแล้ว แน่นอนว่างานแต่งครั้งนี้คงต้องปล่อยไป”
ส่วนเรื่องต้องการไปร้องโวยวายหรือไม่นั้น หากให้พูดจากใจจริงของนางแล้ว นางรู้สึกค้างคาใจหากปล่อยให้มันจบลงเช่นนี้ แต่ถ้าไปร้องโวยวายจริงๆ คนที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงก็ยังคงเป็นนางอยู่ดีมิใช่หรือ ต่อไปนางยังต้องแต่งงานอยู่ นางแบกรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นหลังจากที่โวยวายเสร็จแล้วไม่ได้จริงๆ
ฉังเคอกัดริมฝีปาก รู้สึกลำบากใจทั้งซ้ายและขวา
หวังซีมองแล้วลอบด่าอยู่ในใจไปประโยคหนึ่ง อดต่อว่าสือฮูหยินไม่ได้ว่า “เมื่อก่อนไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับนางมาก่อน ผู้ใดจะรู้ว่านางจะเป็นคนไม่น่าเชื่อถือขนาดนี้ คำว่าประเมินแม่สื่อ หมายความว่าต้องดูว่าแม่สื่อเป็นคนเช่นไรนี่เอง ตอนที่นางมาพูดเรื่องทาบทามที่บ้าน พวกเราน่าจะไปสืบดูว่านางเป็นคนเช่นไรก่อน”
ฉังเคอหน้าบูดบึ้ง กล่าวว่า “เป็นพวกเราที่รีบตอบรับเร็วเกินไป”
ต่อให้ในใจรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่เมื่อคิดว่าคุณสมบัติของอีกฝ่ายไม่เลวเลยจริงๆ ทำให้ยังคงมองข้ามความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยนั่นไปอยู่ดี
“แล้วบ้านรองคิดเห็นเช่นไร” หวังซีรีบถาม
การสู่ขอนั้น เมื่อมีคนมาขอ ก็ต้องมีคนตอบรับด้วยถึงจะใช้ได้
ตระกูลหวงมาสู่ขอได้ ตระกูลฉังก็ปฏิเสธได้เช่นกัน!
ฉังเคอส่ายศีรษะ กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าทั้งโกรธและอายเกินจะรับได้ จึงเอาแต่ร้องไห้ ลืมถามไปเลยว่าสุดท้ายทางด้านโน้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
หวังซีรีบให้คนไปสืบข่าว ใช้ไข่ต้มประคบดวงตาให้ฉังเคอด้วยตัวเอง
ฉังเคอนึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้หวังซีโยนไข่ต้มร้อนๆ ไปให้นายหญิงรองเรื่องนั้นขึ้นมา พลันรู้สึกว่าหัวใจไม่ได้เจ็บปวดรวดร้าวขนาดนั้นแล้ว
นางจับมือหวังซีไว้ กล่าวเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “ขอบใจมาก”
หวังซีเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “พวกเราเป็นพี่น้องกัน มาพูดเรื่องพวกนี้ดูห่างเหินเกินไปแล้ว ชีวิตคนเรานี้มีใครไม่เคยประสบพบเจอปัญหาอะไรเลยบ้าง? ขอเพียงเจ้าอย่าเข้าไปในซอยตันแล้วออกมาไม่ได้ก็พอ”
ฉังเคอพยักหน้า
อาหนานที่หวังซีส่งไปสืบข่าววิ่งกลับมา
นางยู่ปากกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าเรื่องนี้ยังต้องคิดดูก่อน แต่นายหญิงรองกลับตอบรับไปเรียบร้อยแล้ว ตระกูลหวงเอาแผนภูมิดวงชะตาของคุณหนูสามกลับไปด้วยอย่างยินดี โหวฮูหยินโกรธจนเหลือจะกล่าว นายหญิงรองกำลังปลอบโยนโหวฮูหยินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ!”
หวังซีกับฉังเคอต่างตกตะลึงจนแน่นิ่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นายหญิงรองกลับตอบรับการสู่ขอของตระกูลหวง? ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ตบหน้าสั่งสอนนายหญิงรองสักฉาด? นายหญิงรองยังมีหน้าไปปลอบโยนโหวฮูหยินอยู่ตรงนั้น?
นี่มันครอบครัวแปลกประหลาดอะไรกันแน่!
หวังซีนั่งไม่ติดที่ เพลิงโทสะในหัวพวยพุ่ง ลุกขึ้นมาก็เอ่ยปากด่า “สุนัขกินสมองไปหมดแล้วหรืออย่างไร! เกียรติของจวนหย่งเฉิงโหวไร้ค่าขนาดนี้เชียวหรือ! ผู้อื่นคิดจะเหยียบก็เหยียบ คิดจะสลัดทิ้งก็สลัดทิ้งได้ง่ายๆ! ไม่แปลกที่จวนเซียงหยางโหวกล้าเห็นจวนหย่งเฉิงโหวเป็นของเล่น!”
นางนึกถึงงานแต่งของคุณชายสามฉัง อดกล่าวไม่ได้ว่า “นี่คงขโมยของของผู้อื่นจนชินไปแล้วกระมัง เห็นว่าดีก็อดใจไม่อยู่แล้ว”
กล่าวจบ นางถลกแขนเสื้อขึ้นหมายจะไปคิดบัญชีกับนายหญิงรอง
“เด็กดี อย่าพูดอีกเลย!” นายหญิงสามที่ไม่รู้ว่าเข้ามาในสวนร่มวสันต์ตั้งแต่เมื่อไรจับแขนของหวังซีเอาไว้ไม่ให้นางขยับ “ถือเสียว่าข้าได้รู้จักคนอย่างนางแจ่มแจ้งดีแล้วก็แล้วกัน เอาเปรียบพวกข้าอย่างไร้เหตุผลครานี้ไปแล้ว ต่อไปอย่าหวังว่าบ้านสามของพวกข้าจะแอบส่งเงินให้บ้านรองของพวกเขาอีกเลย”
หวังซีฟังแล้วพบว่าในถ้อยคำนี้มีอะไรซ่อนอยู่ จึงรีบดึงนายหญิงสามมากระซิบกระซาบด้วย
นายหญิงสามเล่าให้หวังซีฟังว่า “พวกข้าช่วยดูแลกิจการให้จวนโหว ย่อมต้องหยิบยืมอำนาจและชื่อเสียงของท่านโหวมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นายหญิงรองมีสินเจ้าสาวมาก พ่อบ้านที่ช่วยดูแลสินเจ้าสาวให้นางมักจะมาขอให้นายท่านของพวกข้าช่วยจัดการธุระเล็กๆ น้อยๆ ให้บ่อยครั้ง พวกข้าเห็นแก่ที่เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่เพียงช่วยจัดการให้พวกเขาอย่างเรียบร้อยเท่านั้น บางครั้งยังเอาเงินกองกลางให้พวกเขาใช้ทำเป็นสินน้ำใจหรือสร้างชื่อเสียงอีกด้วย”
นางร่ำไห้กล่าว “ต่อไปนางอย่าได้หวังเรื่องพวกนี้อีกเลย!”
คนดีมักถูกรังแกจริงๆ
หวังซีเดือดดาล ไม่ว่านายหญิงสามจะพูดอะไร ยังคงกล่าวว่า “ไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้จบไปง่ายๆ เช่นนี้ได้”
แต่นางเป็นคนที่ยิ่งโกรธมากเท่าไรก็จะยิ่งนิ่งสงบมากเท่านั้น
นางถามนายหญิงสามว่า “สรุปว่างานแต่งของฉังเหยียนกับตระกูลหวงถือว่าตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว?”
นายหญิงสามพยักหน้า กล่าวว่า “แลกเปลี่ยนแผนภูมิดวงชะตากันแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก”
มีวิธีการมากมายก็จริง เพียงแต่ว่าฉังเคอไม่คิดจะช่วงชิงงานแต่งงานนี้กลับมาแล้ว หวังซีเองก็ไม่ได้รู้สึกว่างานแต่งงานครั้งนี้วิเศษวิโสอะไรเหมือนกัน ทำให้วิธีการบางอย่างนำมาใช้ไม่ได้แล้ว
นางถามฉังเคอ “เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ไม่มีทางเปลี่ยนคนโดยไร้สาเหตุอย่างแน่นอน ต้องมีลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง ต่อให้ก่อนหน้านี้มองไม่ออก แต่มาทบทวนอีกทีหลังเกิดเรื่องไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบร่องรอยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
นายหญิงสามเองก็มองบุตรสาวเช่นกัน อยากรู้ว่าระหว่างเรื่องนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฉังเคอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร กล่าวอย่างทบทวนว่า “ก่อนหน้านี้ทั้งสองครอบครัวยังไม่ได้ตกลงกัน ท่านแม่กับข้าล้วนคิดตรงกันว่าไม่ควรป่าวประกาศออกไป แม้แต่ตอนไปดูตัว ก็มีแค่ฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยินเท่านั้นที่รู้ ท่านป้าสะใภ้รองกับพี่สาวสามไม่เข้ามายุ่งเลยตั้งแต่ต้น มีแค่ตอนเดินทางไปวัดหลิงกวง ระหว่างทางพี่สาวสามถามเรื่องตระกูลหวงกับข้าเล็กน้อย ตอนนั้นข้าไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าเป็นแค่การสนทนาทั่วไประหว่างพี่น้องเท่านั้น”
ขณะที่นางเล่า ก็มีบางเรื่องที่ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นมา
“เมื่อไปถึงวัดหลิงกวง คิดไม่ถึงว่าสตรีของตระกูลหวงกับสือฮูหยินก็อยู่ด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงบอกว่า พวกข้าควรไปกล่าวทักทายสักครั้งหนึ่ง เมื่อข้า…แต่งไปแล้วจะได้ไม่ลำบาก ท่านแม่ได้ยินแล้วจึงพาข้าไปที่เรือนพักของตระกูลหวง ตอนนั้นตระกูลหวงปฏิบัติต่อพวกข้าอย่างกระตือรือร้น นายหญิงผู้เฒ่าของพวกเขายังดึงมือข้าไปคุยด้วยครู่หนึ่ง”
นี่จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลหวงไม่พึงพอใจ
หวังซีถาม “แล้วเจ้าได้เจอคุณชายหวงหรือไม่”
“ไม่ได้เจอ!” ฉังเคอพูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ใบหน้ายังคงแดงเรื่ออยู่เล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “ตอนไปดูตัวครั้งนั้น ก็เห็นจากแค่ไกลๆ เท่านั้น”
หวังซีพยักหน้า กำลังจะถามให้ละเอียดมากขึ้นนั้น นายหญิงสามกลับตบโต๊ะดังปัง กล่าวเสียงดังว่า “ข้านึกออกแล้ว วันนั้นที่วัดหลิงกวง หลังจากที่พวกข้าออกมาจากเรือนพักของตระกูลหวง นายหญิงรองดึงมือข้าไปคุยด้วยกว่าครึ่งค่อนวัน ข้ายังถามถึงหลานสามด้วย นางบอกว่าหลานสามรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงไปพักที่ห้องชั้นในแล้ว ตอนนั้นข้ายังคิดว่าอาจเป็นเพราะงานแต่งของหลานสามไม่ราบรื่น นางทุกข์ใจจึงไม่อยากมาทักทายพวกข้าก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน นอกจากไม่ถามอะไรมากแล้ว ข้ายังให้สาวใช้ส่งขนมไปให้นางด้วย…
…ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไปนี่เอง!”
หวังซีไม่เข้าใจ
ฉังเคอโกรธจนหน้าแดงก่ำ กล่าวว่า “วันนั้นคำพูดคำจาของคนตระกูลหวงล้วนบอกเป็นนัยว่าคุณชายหวงก็อยู่ที่วัดหลิงกวงด้วย แต่น่าจะไปคารวะเยี่ยมเยียนครอบครัวของพวกเรา ข้ากับท่านแม่รออยู่ในห้องชั้นในตั้งนานกลับไม่เห็นมีใครมาหา ตอนเดินทางกลับท่านแม่ยังขุ่นเคืองเล็กน้อยด้วย บอกว่าคุณชายหวงดูแคลนข้ามากเกินไปแล้ว รู้สึกไม่ชอบใจยิ่งนัก”
นางยังปลอบใจมารดาว่าหากตระกูลหวงดูแคลนนางจริง คงไม่บอกพวกนางว่าคุณชายหวงก็อยู่ที่วัดหลิงกวงด้วยหรอก
ไม่แน่ว่าปัญหาอาจเริ่มมาจากตรงนี้ก็เป็นได้
ฉังเคอมองหวังซีด้วยใบหน้าซีดเล็กน้อย
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ก็เท่ากับว่าบ้านรองขโมยไปอย่างหน้าชื่นตาบานแล้ว
หวังซีกับนายหญิงสามเข้าใจทุกอย่างแล้ว หวังซีแสยะยิ้มเย็น กล่าวว่า “หากต้องการจัดการเรื่องนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก มิใช่ว่าสือฮูหยินเป็นแม่สื่อให้หรอกหรือ พวกเราไม่ต้องไปหาผู้ใด ไปหาสือฮูหยินก็พอ อย่างไรนางก็ต้องให้คำอธิบายกับพวกเราสักอย่างกระมัง”
นางนึกถึงเรื่องของเฉินลั่วกับตระกูลสือ รู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกกล่าวให้เฉินลั่วรู้เอาไว้ ตระกูลสือไม่ใช่คนที่สมควรผูกมิตรด้วย เฉินลั่วเองก็ต้องระวังตัวเอาไว้ถึงจะถูก
นายหญิงสามฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วยไม่หยุด หลังจากพยักหน้าแล้วก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะไปหาสือฮูหยินเพื่อคุยเรื่องนี้อย่างไรดี รีบร้อนเกินไป อาจทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้ แต่ถ้าช้าเกินไป สือฮูหยินอาจคิดว่าจวนหย่งเฉิงโหวไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ผู้ใดจะรู้ว่าหวังซีกลับจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพ กล่าวว่า “ด้านสือฮูหยิน หาคนไปบอกสักคนหนึ่ง แต่ทางฮูหยินผู้เฒ่า ท่านคงต้องไปพูดด้วยตัวเอง เนื่องจากท่านคือเจ้าทุกข์ ให้พวกข้าไปพูดอาจดูไม่ถูกต้องนัก ทำได้แค่ให้กำลังใจท่านอยู่ข้างๆ เท่านั้น”
ในบ้านหลังนี้ มีใครไม่สนแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้นบ้าง การช่วยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ก็นับว่าดีแล้ว
นายหญิงสามซาบซึ้งใจยิ่งนัก จับมือของหวังซีเอาไว้กล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
หวังซีเห็นว่าเรื่องราวล้วนได้รับการจัดแจงไปไม่น้อยแล้ว จึงปล่อยให้นายหญิงสามสองแม่ลูกได้คุยเรื่องส่วนตัวกัน ส่วนตัวเองกลับไปที่สวนร่มหลิว
เพียงแต่ว่านางยังไม่ทันได้นั่งลง คุณหนูพานก็มาหา
นางกล่าวอย่างจริงใจว่า “หากมีเรื่องอะไรที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้ ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากบอก”
นางรู้สึกว่าตัวเองกับหวังซีไม่เหมือนกัน หวังซีเป็นหลานสาวที่ถูกต้องของจวนหย่งเฉิงโหว แต่นางเป็นเพียงญาติที่ดองกับจวนหย่งเฉิงโหวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นอาหญิงของนางยังควบคุมจวนแห่งนี้ไม่ได้ นางจึงพูดให้น้อยทำให้น้อย ไม่สร้างปัญหาเพิ่มให้อาหญิงจะดีกว่า
แต่เรื่องของตระกูลหวง ทำให้นางรู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างมาก หลังจากรู้ท่าทีของหวังซีแล้ว นางก็อดมาหาหวังซีไม่ได้ ยังเสนอความเห็นให้หวังซีด้วยว่า “สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่า ต่อให้แลกเปลี่ยนแผนภูมิดวงชะตากันแล้ว แต่งานแต่งไม่เกิดขึ้นเพราะดวงชะตาเข้ากันไม่ได้ก็มีให้เห็นถมเถไป”
หวังซีกลับกล่าวอย่างรังเกียจว่า “จะให้ตระกูลหวงมาหักหน้าพี่สาวสี่อีกครั้งหรืออย่างไร พวกนางรู้สึกว่าดีนักไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกนางกอดขาของบุตรเขยเต่าทองคำผู้นั้นเอาไว้แล้วมีชีวิตให้ดีก็แล้วกัน ไม่คุ้มค่าที่จะมาโมโหคนเช่นนี้”
คุณหนูพานถามอย่างลังเลว่า “ตระกูลหวงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
……………………………………………………………………..