เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 144 เป็นแขก
ตระกูลหวงจะมาวางของหมั้นเล็กที่จวนหย่งเฉิงโหวในอีกสามวันข้างหน้า
บ้านสามให้เวลาบ้านรองสองวันในการมาจ่ายเงิน ความหมายโดยนัยก็คือ ถ้าเจ้าไม่นำเงินมาให้ ถึงเวลาตอนที่คนของตระกูลหวงมาวางของหมั้นเล็ก ก็อย่าคิดจะได้อยู่อย่างสงบเลย
หวังซีหัวเราะร่า กล่าวว่า “นายหญิงสามเองก็เป็นคนที่สอนได้ผู้หนึ่ง!”
“จริงเจ้าค่ะ!” หวังหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะมีเรื่องให้ต้องระมัดระวัง เพราะสุดท้ายแล้วยังต้องอาศัยกินข้าวของจวนหย่งเฉิงโหวอยู่”
หวังซีพยักหน้า ไปหาฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือน
ขมับทั้งสองข้างของฮูหยินผู้เฒ่าแปะแผ่นบรรเทาปวดเอาไว้ นอนป่วยอยู่บนเตียง เมื่อเห็นหวังซี ก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหางตา พลางกล่าว “ชีวิตข้าช่างรันทดเสียจริง สมัยสาวๆ ต้องทนรับการโขกสับของท่านโหวผู้เฒ่า แก่ตัวลงแล้ว คิดว่าจะได้ใช้ชีวิตวัยชราอย่างสงบสุข ทว่ากลับต้องมารองรับอารมณ์ของคนรุ่นเด็กอีก นี่ข้ามีชีวิตเช่นไรกันแน่!”
หวังซีอยากพูดสักประโยคเหลือเกินว่า นี่มิใช่สิ่งที่ท่านสรรหามาเองหรอกหรือ แต่เมื่อตรึกตรองว่านางเป็นผู้อาวุโสของตัวเอง กลัวว่าหากตนพูดถ้อยคำนี้ออกไปแล้วทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนเป็นลมเป็นแล้งไปคงยุ่งยากแน่ จึงอดกลั้นเอาไว้ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป ทำแค่รินน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตัวเองถ้วยหนึ่งเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าหวังซีกำลังตำหนิที่ตนไม่ออกหน้าให้ฉังเคอ จึงกล่าวอธิบายว่า “ข้าเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคงไม่อาจสนใจแต่นางผู้เดียวหรอกกระมัง ตระกูลหวงเป็นคู่หมายที่ดีคนหนึ่ง ได้แต่งหนึ่งคน ย่อมดีกว่างานแต่งล้มไม่เป็นท่ากันหมดทั้งสองคนกระมัง”
หวังซีคร้านจะพูดเรื่องพวกนี้กับนาง ยิ้มกล่าวว่า “พรุ่งนี้ท่านหมอเฝิงจะเดินทางกลับสู่จงแล้ว ข้ามีของบางอย่างอยากให้เขาช่วยเอากลับสู่จงไปด้วย วันที่ตระกูลหวงมาวางของหมั้นเล็ก ข้าคงไม่ได้ไปร่วมชมพิธีแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดไม่ถึงว่าหวังซีจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ พยายามกล่าวว่า “วันมะรืนตระกูลหวงถึงจะมาวางของหมั้น แต่พรุ่งนี้ท่านหมอเฝิงก็ไป…”
หวังซีกล่าวตัดบทคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าว่า “หลังจากที่ท่านหมอเฝิงไปแล้ว ได้มอบหมายให้หลงจู๊ใหญ่ช่วยดูแลร้าน เมื่อหลงจู๊ใหญ่รับร้านค้ามาดูแล ทั้งเรื่องห้องเก็บของเอย เรื่องหน้าร้านเอย ล้วนต้องตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมด หลงจู๊ใหญ่จึงให้ข้าไปเป็นคนกลางให้”
นี่เป็นคำกล่าวอ้างที่ชัดเจนมากว่าเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง
คนทำการค้าบ้านใดรับงานหลังจากที่คนจากไปแล้วกัน?
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับฟังความหมายไม่ออก ครุ่นคิดแล้วยังกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็สมควรแล้ว ร้านขายยาเพื่อมวลชนของท่านหมอเฝิงใหญ่มาก หลายปีมานี้ก็พอจะมีชื่อเสียงในจิงเฉิง หากพวกเจ้ารับร้านนี้มาดูแลต่อได้ก็ดีแล้ว”
ยังมีประโยคหนึ่งที่นางไม่ได้พูดออกมา
นางคิดอยู่ในใจว่า หวังซีต้องได้แต่งงานมาอยู่จิงเฉิงอย่างแน่นอน คนตระกูลหวังอยู่ไกลจากที่นี่มากโข พื้นที่โดยรอบจิงเฉิงนี้หากมิใช่พระราชวังก็ถูกครอบครองโดยตระกูลชั้นสูงบางส่วนไปตั้งนานแล้ว น้อยนักที่จะมีร้านค้าหรือที่ดินมาเสนอขาย สินเจ้าสาวของหวังซีจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ข้อหนึ่ง ถ้าหากถึงเวลาเอาร้านขายยาเพื่อมวลชนมาทำเป็นสินเจ้าสาวของหวังซีได้ ตอนออกเรือนหวังซีก็ยิ่งมีเกียรติแล้ว
นางรู้สึกว่าเรื่องนี้นางต้องให้คนนำจดหมายไปแจ้งมารดาของหวังซีสักฉบับหนึ่ง ให้มารดาของหวังซีวางแผนเผื่อหวังซีเอาไว้ถึงจะถูก เด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างหวังซี ไม่ต้องพูดกับนางให้มากความดีกว่า
กระทั่งหวังซีกลับถึงสวนร่มหลิว ฉังเคอก็รอนางอยู่ตรงชานเรือนของนางแล้ว
เมื่อเห็นนาง ฉังเคอรีบก้าวออกมาต้อนรับ ดวงหน้าเผยรอยยิ้มบางออกมา กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ารับปากว่าจะชดเชยให้พวกข้าแล้ว เจ้าน่าจะทราบเรื่องแล้วกระมัง”
“ข้ารู้เรื่องแล้ว!” หวังซีกับนางไปนั่งใต้ซุ้มองุ่นในลานบ้าน ไป๋กั่วตั้งน้ำชาและของว่างให้พวกนางด้วยตัวเองเสร็จแล้ว นางถึงได้กล่าวว่า “เงินสองพันตำลึงของนายหญิงรองก้อนนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกกระมัง”
ฉังเคอไม่ใส่ใจนัก กล่าวว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าการที่ฮูหยินผู้เฒ่าสัญญาว่าจะส่งค่าเข้าเรียนให้น้องชายของข้าเป็นเรื่องสำคัญกว่า ท่านแม่กับท่านพ่อของข้าอยากส่งน้องชายไปเรียนที่สำนักศึกษาซานเว่ยซึ่งเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดของจิงเฉิงมานานแล้ว แต่ที่นั่นนอกจากค่าเข้าเรียนจะแพงมากแล้ว ยังต้องมีคนแนะนำให้ด้วย ประจวบเหมาะกับที่เกิดเรื่องของบ้านรองขึ้นพอดี บิดาของข้าจึงไปขอท่านลุงใหญ่ ท่านลุงใหญ่รับปากว่าจะแนะนำน้องชายของข้าไปเรียนหนังสือที่นั่นให้ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ดีกว่าอะไรทั้งหมด!”
หวังซีหันไปยกนิ้วโป้งให้ฉังเคอ กล่าวว่า “ให้ปลาไม่สู้สอนคนจับปลา นี่เป็นของชดเชยที่ดีที่สุดจริงๆ”
ฉังเคอเห็นนางเห็นชอบด้วย ก็หัวเราะอย่างเป็นสุขออกมา กล่าวว่า “ก็ดีเหมือนกัน เช่นนี้ก็ถือได้ว่าพวกข้ากับบ้านรองมีปัญหากันอย่างเปิดเผยแล้ว บิดามารดาของข้าจะได้ดูท่าทีของท่านลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ด้วยพอดี จะได้วางแผนเพื่อพวกข้ามากขึ้น พวกข้ามีชีวิตที่ดี ต่อไปถึงจะรับพวกเขาออกจากจวนไปใช้ชีวิตยามแก่เฒ่าข้างนอกได้”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ เห็นฉังเคออารมณ์ดี จึงชวนนางไปเป็นแขกที่สะพานศิลาขาวพร้อมกับตน
ฉังเคอค่อนข้างประหลาดใจ
หวังซียิ้มพลางเล่าคำกล่าวอ้างที่ตนพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าให้นางฟัง กล่าวยิ้มๆ อีกว่า “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะไปเป็นคนกลางที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนจริงๆ หรอกกระมัง แต่ถ้าเพื่อให้ตระกูลหวงมาวางของหมั้นเล็ก วันนั้นพวกเราจึงไปอยู่ข้างนอกทั้งวันเหมือนว่าวลอยท้าลมอยู่บนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย เช่นนั้นก็ดูจะให้หน้าพวกเขามากเกินไป และดูน่าเวทนาเกินไปสักหน่อย แน่นอนว่าการไปสะพานศิลาขาวคือการไปรีดไถใต้เท้าเฉิน เขายังติดหนี้มื้ออาหารข้าอยู่อีกหนึ่งมื้อ!”
หลายวันนี้ฉังเคอถูกทำร้ายมามากจริงๆ เมื่อนึกถึงตัวนุ่มนิ่มของอาหลี นางอดใจเต้นไม่ได้ แล้วก็นึกถึงความภูมิอกภูมิใจของฉังเหยียนในวันนั้น นางจึงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ได้! วันนั้นพวกเราไปกินข้าวอร่อยๆ ที่สะพานศิลาขาวกัน แต่ไม่อาจตามใจเจ้าไปกินอาหารไหวหยางอะไรนั่นอีกก็พอ ครั้งนี้ข้าอยากสั่งไก่ชั้นหนึ่ง เนื้อลานึ่ง ปลาจวดเล็กทอดกรอบ ไหล่หมูตุ๋นนำโชค…”
“หยุดก่อน หยุดก่อน!” หวังซีกล่าวหยามนางว่า “นี่เจ้าสั่งอะไรของเจ้ากัน! นอกจากแพง ข้าก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ ไม่ถูก จะว่าแพงก็ยังแพงสู้น้ำแกงเห็ดเยื่อไผ่หนึ่งถ้วยไม่ได้เลย ตอนนี้ฤดูกาลอะไร เป็นฤดูกาลที่มีเห็ดของอวิ๋นกุ้ยวางขาย จะกินก็ควรกินน้ำแกงเห็ดรวมมิตร โจ๊กปูม้า หอยพัดและหอยเป๋าฮื้อจำพวกนั้น นี่เจ้ากำลังสั่งอาหารที่ไหนกัน เจ้ากำลังช่วยใต้เท้าเฉินประหยัดเงินอยู่ต่างหาก แต่ข้าดูจากลักษณะของใต้เท้าเฉินแล้ว ไม่น่าจะมีชีวิตโดยอาศัยเบี้ยรายเดือนจากหลวง เจ้าอย่าประหยัดแทนเขาเลย”
ฉังเคอหัวเราะอย่างขัดเขิน
หวังซีไปช่วยฉังเคอเลือกเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ หลังจากส่งท่านหมอเฝิงสองอาจารย์ศิษย์ออกเดินทางแล้ว วันถัดมาพวกนางก็แต่งกายอย่างงดงามไปที่สะพานศิลาขาว
เปรียบเทียบกับที่มาคราวก่อนแล้ววันนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกเล็กน้อย นอกจากชิงช้าและดอกไม้ต้นไม้แล้ว สะพานศิลาขาวยังมีปลากับนกเพิ่มเข้ามาด้วย
เข้าประตูมาก็ได้ยินนกแก้วตัวนั้นกำลังส่งเสียงร้องว่า “มีแขกมา มีแขกมา”
ช่วยให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายส่วน
อาหลีพุ่งออกมาจากในบ้านเหมือนพลุดอกหนึ่ง กระโจนเข้าหาอ้อมกอดของฉังเคอพร้อมกับเรียกเสียงดังว่า “ท่านน้าฉัง”
ฉังเคออุ้มเขาเอาไว้หอมแก้มครั้งแล้วครั้งเล่า ยังถามเขาเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าทักทายท่านน้าหวังหรือยัง”
อาหลีถึงได้มองหวังซีอย่างเอียงอายครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าหวัง”
ช่างเป็นการเลือกปฏิบัติจริงๆ
เสียแรงที่นางอุตส่าห์ให้คนครัวทำขนมอร่อยๆ ให้เขากินมาตลอด ครั้งนี้ก็ยังเอาขนมเปี๊ยะพันชั้นกับขนมม้วนพันชั้นมาให้เป็นจำนวนมากด้วย
นางจึงเอาขนมมาล่อเขา “ไม่พูดคำพูดน่าฟังสักหลายๆ ประโยค ไม่ให้เจ้ากินด้วย”
อาหลีมองตาสลด ทว่าปากกลับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาบอกข้าว่า ข้าโตแล้ว เริ่มจำอักษรได้แล้ว ไม่อาจขอของกินจากผู้อื่นตามใจชอบอีก ข้า ข้าจะตั้งใจเรียกท่านดีๆ แต่มิใช่ทำเพื่อของกินของท่านหรอกนะขอรับ”
ท่าทางดูไม่จริงใจเลยแม้แต่นิดเดียว
หวังซีหัวเราะเสียงดัง รู้สึกว่าการมาสะพานศิลาขาวเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ไม่ต้องพูดถึงฉังเคอ แม้แต่นางยังเบิกบานใจตามขึ้นมาด้วย
หลิวจ้งอ้อมป้ายศิลาเดินยิ้มออกมา กล่าวว่า “คุณหนูทั้งสองท่านตามใจอาหลีจนจะเสียคนแล้ว ตั้งแต่เขาได้ยินว่าพวกเจ้าจะมาก็ตั้งตารอมาตลอด! อาหลี เจ้าลงมาเดินด้วยตัวเอง คุณหนูฉังนั่งรถม้ามาเหนื่อยๆ เจ้าอย่าทำให้นางเหนื่อยเพิ่ม”
อาหลีไถลลงมาจากอ้อมอกของฉังเคออย่างเชื่อฟัง
ตอนที่หลิวจ้งอบรมอาหลีนั้นฉังเคอไม่กล่าวขัด ยิ้มพร้อมกับปล่อยให้เขาไถลลงไป ลูบผมอาหลีเบาๆ เดินตามหลิวจ้งเข้าไปในบ้าน
หวังซีมองซ้ายมองขวา เอ่ยถามว่า “ใต้เท้าเฉินเล่า? วันนี้เขาเชิญแขก เหตุใดเจ้าบ้านถึงไม่อยู่”
หลิวจ้งจึงมองหวังซีครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ใต้เท้าเฉินไปไปหาปูม้าที่ท่านสั่ง”
น้ำเสียงนั่น คล้ายกับว่านางกำลังสร้างความลำบากให้เฉินลั่วอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้หวังซีอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่านางเห็นของทุกอย่างที่ตระกูลหวังหามาได้เป็นของธรรมดาเกินไปหรือไม่ ครั้งนี้นางขอให้ท่านหมอเฝิงนำวัตถุดิบยาจากทางเหนือกลับไปให้ผู้อาวุโสที่บ้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันจะดูไม่ใส่ใจเกินไปหรือเปล่า?
โชคดีที่ไม่นานเฉินลั่วก็กลับมา ด้านหลังยังมีเว่ยไหวคนที่เคยเจอเมื่อคราวก่อนตามมาด้วย ในมือเขาหอบกะละมังไม้ใบหนึ่งเอาไว้ เมื่อเห็นหวังซีกับฉังเคอก็อ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ แล้วก็รีบส่งกะละมังไม้ในมือให้บ่าวชายที่วิ่งออกมารับใช้หลังจากได้ยินความเคลื่อนไหว หันไปคารวะเฉินลั่วครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “เช่นนั้นข้ากลับก่อน ท่านมีอะไรก็ให้คนไปบอกข้าสักคำก็พอ”
เฉินลั่วขาน “อืม” เสียงหนึ่ง ให้เฉินอวี้ไปส่งเว่ยไหวที่ประตู
หวังซีเดินออกไปหา เห็นในกะละมังไม้มีปูม้าบรรจุเอาไว้จนเต็ม กำลังคิดว่าเว่ยไหวเป็นคนไปหาปูม้ามาให้เขาหรือเปล่า เอ่ยถามว่า “ให้เขากลับไปเช่นนี้เลยหรือ”
เฉินลั่วทำหน้าดุดัน กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนักว่า “ข้าหาปูม้ามาได้สองกะละมัง เขาเอาไปแล้วหนึ่งกะละมัง เขายังจะคิดอะไรอีก”
หวังซีขำ
เฉินลั่วมองแล้วไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด รู้สึกใจอ่อนยวบ นอกจากความคับอกคับใจที่ถูกซูถง ผู้บังคับบัญชากองพลอาชาหาญซ้ายยั่วเย้ามาเมื่อครู่จะมลายหายไปในทันทีแล้ว ยังรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยด้วย
“เป็นเพราะพวกเขานั้นได้รับเทียบเชิญไปกินข้าวจนชิน” เขากล่าวอธิบาย “เห็นอะไรก็ต้องมีส่วนแบ่งสักหน่อย ไหนเลยจะช่วยเอาของมาส่งให้เจ้าด้วยเจตนาดีได้! ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเขามากก็ได้”
ความรังเกียจที่ส่งผ่านมากับถ้อยคำนี้ช่างเด่นชัดเกินไปแล้ว
หวังซีเม้มปากหัวเราะ
เฉินลั่วพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง รู้สึกสบายใจขึ้นมาก กล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ครั้งนี้ข้าเชิญพ่อครัวของซูโจวมาทำโจ๊กปูม้าให้ รับประกันว่าเชื่อถือได้มากกว่าคราวก่อนอย่างแน่นอน”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปหาพ่อครัวซูโจวมาจากที่ใด ถือว่าเอาใจใส่แล้ว”
เฉินลั่วหัวเราะไม่ได้กล่าวสิ่งใด
คราวก่อนหลังจากหวังซีกลับไปแล้ว เขาไปซื้อตัวพ่อครัวมาสองสามคน หนึ่งในจำนวนนั้นยังเชี่ยวชาญการทำขนมของซูโจวเป็นอย่างมากอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนบอกเรื่องนี้แก่หวังซี รอตอนที่นางมากินข้าวที่นี่คราวหน้า จะได้ทำให้นางประหลาดใจครั้งหนึ่ง
ยิ่งคิดเฉินลั่วก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดี เขาพูดเรื่องซือจูกับหวังซี “กำหนดลงมาเรียบร้อยแล้ว หากมิใช่แต่งกับองค์ชายสามนางก็น่าจะได้แต่งกับองค์ชายห้า ส่วนองค์ชายสี่ จะแต่งกับคุณหนูต่างสกุลของจวนเว่ยกั๋วกง อีกไม่กี่วันก็น่าจะมีราชโองการประกาศออกมา”
“คุณหนูต่างสกุลของจวนเว่ยกั๋วกง?” หวังซีพยายามค้นเรื่องของเว่ยกั๋วกงจากความทรงจำ
จวนเว่ยกั๋วกงคือหนึ่งในตระกูลที่อยู่ในกองบัญชาการทหารทั้งห้า
แต่เว่ยกั๋วกงผู้นี้แตกต่างจากผู้บังคับบัญชากองบัญชาการท่านอื่นๆ เมื่อนานมาแล้วเขาได้รับบาดเจ็บจากการจลาจลเผ่าเหมียวที่ผิงติ้ง พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านมาตั้งแต่สมัยที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังครองบัลลังก์ ไม่ได้สนใจเรื่องในราชสำนักมานานแล้ว แต่บรรดาศักดิ์ของเขายังอยู่ ฮ่องเต้เองก็ไม่อาจเพิกถอนตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองบัญชาการทหารทั้งห้าของเขาออกไปได้
เขามีบุตรชายและบุตรสาวเพียงอย่างละหนึ่งคน หลังจากที่บุตรชายป่วยเสียชีวิต เขาไม่อยากให้บุตรสาวต้องเป็นทุกข์ จึงไม่ได้รับบุตรธรรมจากคนในตระกูลมาเป็นผู้สืบทอด บอกว่ารอให้วันใดที่เขาใกล้ตาย จะยื่นฎีกาขึ้นไปให้ราชสำนักและฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินใจเอง
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันต่างรับน้ำใจของเขาไว้
คนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นคุณหนูต่างสกุลของจวนเว่ยกั๋วกงได้ ก็มีแค่บุตรที่ถือกำเนิดมาจากบุตรสาวของเว่ยกั๋วกงคนที่แต่งเข้าตระกูลถานที่สืบทอดตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองพลมาจากบรรพบุรุษท่านนั้นแล้ว
…………………………………………………………………