เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 146 แม่สื่อ
วันนี้เป็นวันที่ตระกูลหวงมาวางของหมั้นเล็กที่จวนหย่งเฉิงโหว
หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
หวังซีกับฉังเคอสบตากันครั้งหนึ่ง ต่างมองเห็นความกังวลใจจากดวงตาของอีกฝ่าย
“รีบไปกันเถอะ!” หวังซีกล่าว ยกกระโปรงแล้วก็วิ่งตามหมัวมัวผู้นั้นไปที่สวนซิ่งอย่างรีบร้อนพร้อมกับฉังเคอ
นายหญิงสามกำลังเดินขึ้นเดินลงอยู่ตรงบันไดของเรือนหลัก เมื่อเห็นทั้งสองคน ก็รีบก้าวออกมาต้อนรับ
“ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาแล้ว” นายหญิงสามจับมือของฉังเคอเอาไว้พลางกล่าวกับหวังซีว่า “ตอนบ่ายสือฮูหยินมาหา บอกว่ามากล่าวขอโทษ ยังบอกด้วยว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของนางทั้งหมด ทิ้งเทียบเชิญใบหนึ่งเอาไว้ พรุ่งนี้เชิญพวกเราไปเดินซื้อของที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึง”
เกรงว่าเดินซื้อของคงเป็นข้ออ้าง น่าจะเป็นเพราะมีเรื่องอยากคุยกับพวกนางมากกว่า แต่ก็ไม่อาจมาเยี่ยมเยือนจวนหย่งเฉิงโหวอย่างเอิกเกริก ด้วยกลัวว่าจะมีคนรู้หรือไม่ก็วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ตระกูลหวงมาดูตัวน้องสาวแต่กลับหมั้นหมายกับพี่สาวกระมัง
หวังซีเอ่ยถาม “นายหญิงสาม ท่านคิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ”
นายหญิงสามกัดปากด้วยน้ำตาคลอหน่วย กล่าวว่า “พวกนางเป็นคนเสนองานแต่งนี้ขึ้นมา และก็เป็นพวกนางที่เปลี่ยนตัวคนกลางอากาศ เห็นชัดว่าไม่ให้เกียรติพวกข้าเลย พูดกันตามหลักแล้ว ข้าควรจะให้จบแต่เพียงเท่านี้ แต่หัวใจดวงนี้ของข้ากลับข้ามหลุมนี้ไปไม่ได้ ยังคงอยากจะไปสอบถามให้ชัดเจนสักครั้งหนึ่ง ดูว่าพวกข้ามีตรงไหนที่สู้ผู้อื่นไม่ได้ พวกข้าไม่เคยปิดบังอะไร ไม่ว่าดีหรือร้าย เพียงสืบดูครั้งหนึ่งก็ทราบแล้ว เหตุใดพวกเขาถึงกระทำเรื่องไม่รักษาคำพูดเช่นนี้ออกมาได้”
หวังซีเองก็เป็นคนหนึ่งที่หากไม่ถามให้ชัดเจนก็นอนหลับไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสือฮูหยินเป็นคนมาอธิบายกับพวกนางก่อนด้วย
“ได้!” นางกล่าว “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราไปเจอพวกนางที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึงกัน”
นายหญิงสามถอนหายใจอย่างโล่งอก
ว่ากันตามจริงแล้วหวังซีเป็นคนรุ่นลูกของนาง ตัวเล็กกว่านางเสียอีก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกเชื่อมั่นและวางใจในตัวหวังซีเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าหากนางเห็นด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ก็นับว่าใช้ได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน นางจะทำอะไรก็รู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน
นางลากฉังเคอกลับไปเตรียมเสื้อผ้าของวันพรุ่งนี้ ต้องการทำให้สือฮูหยินรู้สึกเสียใจภายหลัง
หวังซีกลับถึงสวนร่มหลิวก็ได้เจอกับคุณหนูพานที่มาเยี่ยมนางพอดี
คุณหนูพานมีแววเหยียดหยันเต็มดวงหน้า กล่าวว่า “โชคดีที่เจ้ากับน้องสาวสี่ออกไปข้างนอก ไม่อย่างนั้นหากได้เห็นสีหน้าท่าทางของตระกูลหวงกับบ้านรองล่ะก็ เกรงว่าคงกินข้าวไม่ลงเป็นแน่”
หวังซีถามอย่างใคร่รู้ว่า “ทำไมหรือ เจ้าไปดูพิธีด้วยหรือ”
“ข้าจะทำเรื่องประเภทนั้นออกมาได้อย่างไร” คุณหนูพานกล่าวอย่างรังเกียจ “ข้าได้ยินมาจากพานหมัวมัว บอกว่าคุณชายหวงผู้นั้นมาส่งปิ่นด้วยตัวเอง เมื่อเข้าไปในห้อง ขณะที่ผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการของตระกูลหวงปักปิ่นให้คุณหนูสาม ดวงตาของเขาก็เสมือนกับติดอยู่บนเรือนร่างของคุณหนูสาม สลัดอย่างไรก็สลัดไม่ขาด ส่วนคุณหนูสามผู้นั้น ทั้งที่ปกติดูเป็นคนสง่างามมากผู้หนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ต้องการหน้าตาอะไรแล้ว ก้มศีรษะลง หน้าแดงเรื่อ ขัดเขินประหนึ่งไม่รู้ว่างานแต่งของนางครั้งนี้ได้มาอย่างไร เจ้าพูดถูกแล้วจริงๆ มูลสุนัขกองนี้ผู้ใดอยากได้ก็ให้ผู้นั้นเอาไป แต่อย่ามาหมิ่นเกียรติคนอย่างพวกเรา”
เล่าราวกับนางไปเห็นด้วยตาตัวเองมาก็ไม่ปาน
ต้องมีเกินจริงอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่ความเกินจริงนี้ทำให้หวังซีชอบใจ
นางหัวเราะคิก ถอนหายใจกล่าวว่า “วันนี้ลำบากโหวฮูหยินแล้ว ไหนจะต้องรับรองแขกจากตระกูลหวงอีก”
โหวฮูหยินเป็นคนดูแลบ้าน บ้านรองก็ไม่ได้แยกบ้าน โหวฮูหยินจึงต้องเป็นคนดูแลเรื่องต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเหล่านี้ทั้งหมด
คุณหนูพานได้ยินแล้วกลับหันไปขยิบตาให้หวังซี กล่าวว่า “ไหนเลยจะเรียกว่าลำบากได้ ใช่ว่าไม่เคยมีงานเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ตอนงานหมั้นของพี่สาวใหญ่ทำอย่างไร งานหมั้นของพี่สาวสามก็ย่อมต้องทำอย่างนั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่าฤดูกาลนี้ไม่ค่อยดีนัก ปลาเอยหมูเลยล้วนเก็บได้ไม่นาน ของทะเลต่างๆ ยิ่งหายาก ถึงแม้งานเลี้ยงจะมีผลไม้แห้งสี่อย่าง กับข้าวเย็นสี่อย่าง กับข้าวร้อนหนึ่งอย่าง และน้ำแกงหนึ่งอย่างเหมือนกัน แต่อย่างไรก็สู้เดือนสี่ที่มีปลาตะลุมพุกและเดือนเก้าที่มีเนื้อแกะไม่ได้อยู่ดี”
หรือว่าโหวฮูหยินจะเชือดบ้านรองด้วยเรื่องอาหาร
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นั่นย่อมเป็นผลงานของคุณหนูพาน
หวังซีมองคุณหนูพานด้วยอาการตกตะลึง
คุณหนูพานเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่ทำให้จวนหย่งเฉิงโหวเสียชื่อ เพียงแต่ว่าเวลานี้ถ้าต้องการเตรียมอาหารในงานเลี้ยงดีๆ สักสองสามโต๊ะ ก็ต้องจ่ายหนักหน่อย หากบ้านรองต้องการมีหน้ามีตา ก็ต้องอุดหนุนเงินบางส่วนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ก็ทำเพื่อให้พี่สาวสามมีหน้ามีตาต่อหน้าครอบครัวสามี ยามออกเรือนจะได้ไม่ถูกผู้อื่นดูแคลน!”
หวังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้มตาหยี รู้สึกว่าคุณหนูพานผู้นี้ ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้คนรู้สึกชื่นชอบ
นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันพานฮูหยินก็จะเดินทางมาเมืองหลวงแล้ว เจ้าอย่าลืมบอกข้าล่วงหน้าสักคำหนึ่ง ถึงเวลาข้าจะได้ไปต้อนรับพานฮูหยินพร้อมกับเจ้าด้วย พอดีว่าหลายวันก่อนข้าให้ร้านขายยาเพื่อมวลชนช่วยทำยาเม็ดปรับเลือดลมมาหลายกล่อง ยังมีโสมแก่อายุสามสิบปีเหลืออีกต้นหนึ่งด้วย จะได้มอบให้พานฮูหยินเอาไปบำรุงร่างกาย”
คุณหนูพานประหลาดใจเป็นอย่างมาก
หวังซีกล่าวยิ้มๆ อีกว่า “ครอบครัวเดียวกันไม่พูดเหมือนเป็นอื่น เจ้าเองก็อย่าปฏิเสธข้าเลย ดูเหินห่างกับข้าเกินไปแล้ว”
คุณหนูพานคิดครู่หนึ่ง กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “เช่นนั้นข้าขอบใจเจ้ามาก! มารดาข้ามาเมืองหลวงเมื่อไรจะบอกเจ้าล่วงหน้าก่อนอย่างแน่นอน”
หวังซียังคิดว่าถึงเวลาจะจัดอาหารดีๆ ให้สักโต๊ะและส่งอาจารย์หญิงไปเล่านิทานสักสองคนเป็นการต้อนรับพานฮูหยิน ถือโอกาสประจบพานฮูหยินดีๆ สักครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง แต่ตอนนี้คุณหนูพานเล่ารายละเอียดว่าโหวฮูหยินไม่ให้ความใส่ใจอย่างไรบ้างให้หวังซีฟังอย่างมีชีวิตชีวา ในที่สุดหวังซีก็รู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาเมื่อพบว่าเพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับงานแต่งของบุตรสาวแล้ว นายหญิงรองต้องกล้ำกลืนฝืนทนมากเพียงใด
วันรุ่งขึ้น นางตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่าตั้งใจแต่งหน้าแต่งตาอย่างดี ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงสามและฉังเคอด้วยความแจ่มใส
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นทั้งสามคนแต่งกายอย่างงดงามสดใส ถามอย่างแปลกใจว่า “นี่พวกเจ้ากำลังจะไปไหนหรือ”
นายหญิงสามเปลี่ยนท่าทีให้เป็นดั่งเงาเหมือนอย่างที่เคยเป็นยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า กล่าวด้วยใบหน้าอมทุกข์ว่า “บัดนี้งานแต่งของคุณหนูรองกับของคุณหนูสามต่างกำหนดลงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีเพียงงานแต่งอาเคอของพวกข้าเท่านั้นที่ยังไร้วี่แวว ข้าคิดว่าระยะนี้ต้องพานางออกไปเดินเล่นข้างนอกให้มากขึ้น ตัดอาภรณ์สวยๆ สักสองสามตัว และทำเครื่องประดับใหม่อีกสักสองสามชุดให้อาเคอเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองปิ่นดอกเบญจมาศก้ามปูทองคำบริสุทธิ์ที่ระยิบระยับอยู่บนมวยผมของฉังเคอ ยั้งตัวเองเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ไม่ห้ามปรามเรื่องพวกนางจะออกไปข้างนอก เพียงถามหวังซีว่า “เจ้าก็จะตามพวกนางไปตัดเสื้อผ้าทำเครื่องประดับด้วยหรือ”
นายหญิงสามป้องหวังซี รุดไปอยู่หน้าหวังซีพลางกล่าว “ท่านเองก็ทราบว่าทั่วทั้งจิงเฉิงนี้ นอกจากคุณหนูหกจวนชิ่งอวิ๋นโหวแล้ว ก็มีคุณหนูต่างสกุลของพวกเราคนนี้ที่สายตามีแววที่สุด ข้าคิดว่าในเมื่อจะใช้เงินแล้ว ก็ต้องใช้อย่างคุ้มค่า จึงขอให้คุณหนูต่างสกุลช่วยไปให้คำแนะนำพวกข้าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า อนุญาตให้พวกนางออกจากบ้าน
เพียงแต่ว่าพวกนางยังไม่ทันได้กล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิงรองก็พาฉังเหยียนมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ยังมีซือจูร่วมทางมาด้วยอีกคน
หวังซีกับฉังเคอแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง อยากดูว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ฉังเหยียนจะพูดอะไรบ้าง จึงไม่เร่งรีบออกไป รอพวกนายหญิงรองเดินเข้ามา
สุดท้ายแล้วฉังเหยียนก็ยังหน้าบาง พอเห็นฉังเคอ หน้าแดงก่ำคล้ายจะหลั่งโลหิตออกมาได้ ทว่านายหญิงรองกลับไม่ยี่หระ กล่าวทักทายพวกนายหญิงสามราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังมีกะใจชวนฉังเคอคุยด้วยว่า “วันนี้ปิ่นดอกไม้ของคุณหนูสี่งดงามมาก ไม่รู้ว่าสั่งทำจากที่ใด มีเวลาว่างเมื่อไร ข้าเองก็ต้องไปทำบ้างแล้ว”
ฉังเคอกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานติดตามน้องสาวสกุลหวังออกไปข้างนอกด้วยก็เลยซื้อมาเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างทราบกันดีว่าเหตุใดเมื่อวานนางถึงไม่อยู่จวน แต่นายหญิงรองหน้าหนาพอควร ทำเสมือนฟังไม่เข้าใจ ยิ้มกล่าวว่า “หลงจู๊ใหญ่ของตระกูลหวังเป็นพ่อค้าใหญ่ สายตาจึงเฉียบแหลมไม่มีเหมือนใคร”
ฉังเหยียนที่อยู่ด้านข้างเห็นมารดายังคิดจะคุยกับคนของบ้านสามต่อไปเรื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของมารดาเบาๆ เปล่งเสียงเรียกบางเบาครั้งหนึ่งว่า “ท่านแม่”
นายหญิงรองไม่พูดอะไรอีก
ซือจูกลับปรายตามองพวกหวังซีอย่างดูแคลนเหลือจะกล่าวครั้งหนึ่ง คล้ายดูถูกว่าพวกนางไร้ความสามารถมากก็ไม่ปาน
พวกหวังซีคร้านจะสนใจนาง กล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเดินทางไปห้องเสื้อเมฆาคำนึง
พวกนางจงใจมาก่อนเวลา อยากดูว่าห้องเสื้อเมฆาคำนึงมีแบบชุดอะไรใหม่ๆ บ้าง จะได้ถือโอกาสตัดชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวสักสองสามชุด
ผู้ใดจะรู้ว่าสือฮูหยินมาถึงเร็วกว่าพวกนางเสียอีก ทำให้พวกนางต้องพับแผนการเดินดูห้องเสื้อเมฆาคำนึงเอาไว้ก่อน
“พวกเจ้าดู ข้าอายุขนาดนี้แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่ายังจะได้พานพบกับเรื่องเช่นนี้อยู่อีก” ดวงหน้าของนางเต็มไปด้วยความเสียใจ พานายหญิงสามไปนั่งที่ห้องส่วนตัวของห้องเสื้อเมฆาคำนึงด้วยตัวเอง กล่าวขอโทษขอโพยนายหญิงสามด้วยกระบอกแดงก่ำ “คุณหนูสี่ถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรมขนาดนี้ ข้าไม่รู้ว่าควรจะชดเชยนางอย่างไรดีแล้ว”
แน่นอนว่านายหญิงสามย่อมรู้สึกขุ่นแค้นสือฮูหยินอยู่ในใจ แต่เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางพูดอะไรมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ นางคิดว่าควรทำอย่างที่หวังซีกล่าวมา คือชดเชยอะไรให้ฉังเคอได้บ้างถึงจะดีที่สุด นางถอนใจพลางส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ข้าเพียงอยากรู้ว่า เหตุใดตระกูลหวงถึงเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน เรื่องที่พวกเขาเปลี่ยนใจ ท่านทราบหรือไม่”
เหตุใดถึงเปลี่ยนใจนั้น ในงานวันหมั้นเล็กทุกคนล้วนดูออกกันหมดแล้ว สือฮูหยินเองก็ไม่มีหน้าไปเอ่ยถึงอีก จึงตอบแค่คำถามครึ่งหลังอย่างคลุมเครือไปว่า “หากข้ารู้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน เมื่อวานตอนที่พวกเขาไปวางของหมั้นเล็ก ข้าจะไม่ไปได้อย่างไร”
กล่าวถึงตรงนี้ นางลังเลครู่หนึ่ง จับมือนายหญิงสามเอาไว้ กล่าวอย่างจริงใจว่า “บอกท่านด้วยความสัตย์จริง ข้ากับตระกูลหวงก็ไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไรนัก ที่ข้าไปทาบทามงานแต่งที่บ้านพวกเจ้า ก็เพราะได้รับการไหว้วานมาจากตระกูลหวง อย่างไรก็ตาม คนที่ถูกใจคุณหนูสี่ของพวกเจ้าเป็นคนแรกสุดก็มิใช่คนตระกูลหวง แต่เป็นคนอื่น ที่ข้ายอมเป็นแม่สื่อให้ตระกูลหวงในครั้งนี้ ก็เพราะเห็นแก่หน้าของคนผู้นี้ วันนี้ที่เชิญพวกเจ้ามาห้องเสื้อเมฆาคำนึง ก็เป็นความคิดของคนผู้นั้นเช่นกัน เพราะอยากกล่าวขอโทษพวกเจ้าด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง”
หวังซี นายหญิงสามและฉังเคอต่างตกใจมาก
สือฮูหยินกลับเหมือนคนได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป จูงมือนายหญิงสามพลางกล่าว “พวกเจ้าตามข้ามา”
หวังซีกับฉังเคอเดินตามสือฮูหยินผ่านเลี้ยวหลายเลี้ยวด้วยความไม่สบายใจ ไปยังห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างไกลและเงียบสงบกว่า
“เหตุใดถึงเป็นพวกท่าน!” เพียงเห็นสตรีสองท่านที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวหวังซีก็พลั้งปากโพล่งออกไปอย่างห้ามไม่อยู่
นัยน์ตาของสตรีที่สูงวัยกว่าเจือความรู้สึกผิดเอาไว้ กล่าวอย่างขออภัยว่า “ล้วนเป็นข้ากับสะใภ้ของข้าที่จับคู่ผิดฝาผิดตัว สร้างความวุ่นวายให้พวกเจ้ามากมายขนาดนี้”
สตรีงดงามอ่อนหวานที่อยู่ด้านข้างผู้นั้นก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน กล่าวว่า “ตระกูลหวงเป็นญาติของตระกูลเดิมของข้า ข้าเห็นญาติผู้น้องคนนี้ของข้ามาตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าเขาจริงใจเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ข้า ข้าละอายจริงๆ ที่ต้องมาเจอพวกเจ้าสองพี่น้อง”
สตรีสองท่านนี้คือคนที่นางบังเอิญเจอตรงทางเดินขนาดเล็กที่งานชมบุปผาของวังหลวงในวันนั้น
สือฮูหยินกล่าวแนะนำพวกนางให้หวังซี นายหญิงสามและฉังเคอได้รู้จัก “สองท่านนี้คือมารดาและฮูหยินของใต้เท้าเหยียน เหยียนเจิ้ง”
นายหญิงสามเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
ต่อให้เป็นแม่สื่อ ก็ไม่แปลกที่แม่สามีกับลูกสะใภ้อย่างพวกนางจะออกหน้าด้วยตัวเองไม่ได้
หลายปีมานี้เหยียนเจิ้งสร้างผลงานอยู่นอกเมือง ไม่รู้ว่าทั้งในและนอกราชสำนักมีคนคอยจับจ้องอยู่มากมายเพียงใด ตระกูลเหยียนจะทำอะไรก็ยิ่งต้องสงวนท่าทีและถ่อมตนมากขึ้น นอกจากญาติมิตรและสหายเก่าแก่เหล่านั้นแล้ว สตรีของพวกเขาก็แทบจะไม่ไปมาหาสู่กับตระกูลชั้นสูงที่เมื่อก่อนไม่ได้สนิทสนมด้วยเลย
…………………………………………………………………..