เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 151 เห็นใจสงสาร
หวังซีตะลึงงัน
ราชสำนักคือชนชั้นนำที่นำกระแสลมมาโดยตลอด
หากฮ่องเต้มีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ เช่นนั้นเจิ้นกั๋วกงก็เอาเรื่องนี้มาเป็นแบบอย่างในการเรียกร้องให้แต่งตั้งเฉินอิงเป็นซื่อจื่อได้เช่นกัน
ไม่แปลกที่เฉินลั่วจะอารมณ์เสียเช่นนี้!
แต่เมื่อความคิดนี้วาบผ่านไป หวังซีก็รู้สึกว่าที่ตัวเองคิดไม่ถูกต้องนัก
เฉินลั่วมิใช่คนยอมจำนนใครง่ายๆ เรื่องให้พ่อแม่ปกป้องประเภทนี้ เขาน่าจะไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญถึงจะถูก
น่าจะยังมีเรื่องอะไรอย่างอื่นอีกมากกว่า!
สมองของนางขบคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “เป็นเพราะจ่างกงจู่พูดอะไรมาใช่หรือไม่”
หรือไม่ก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ทำร้ายจิตใจของเฉินลั่ว
ดังนั้นเขาถึงได้เป็นเช่นนี้
หวังซีมองเฉินลั่วด้วยแววตาสุกใสระยิบระยับ
หัวใจของเฉินลั่วราวกับถูกราดด้วยน้ำส้มสายชูช้อนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งตัว รู้สึกปวดแปลบ กลิ่นฉุนเสียดแทงผู้คน ทำให้หางตาของเขามีหยาดน้ำรื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขากล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ข้าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่ออย่างนั้นหรือ”
ก่อนหน้านี้หวังซียังไม่แน่ใจ แต่เมื่อได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าที่ตัวเองคาดเดานั้นถูกต้องแล้ว
“เจ้าไม่ใช่คนเช่นนี้!” นางกล่าวยืนยัน น้ำเสียงมั่นใจในตัวเองมาก “ก็แค่ตำแหน่งซื่อจื่อเท่านั้น ทั้งไม่มีผลต่อความเป็นความตายใหญ่หลวงขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เจ้าไม่ใช่เจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ ก็ยังเป็นบุตรชายของจ่างกงจู่ เพียงต้องอาศัยเวลา ไม่เสมอไปว่าจะสู้เจิ้นกั๋วกงไม่ได้ ข้าคิดว่าไม่ใช่อย่างนั้น!”
เฉินลั่วมองนาง
ภายใต้แสงเดือนดูลึกลับประหนึ่งบ่อน้ำลึกธรรมชาติ
หวังซีรู้สึกสมองว่างเปล่า
หรือว่านางจะเดาผิด?
เฉินลั่วกลับหัวเราะเสียงดังออกมา
เสียงหัวเราะนั่นดูซุกซนร่าเริง สดใสราวดวงตะวันในหน้าร้อน แผดเผาร้อนแรง เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มองแล้วทำให้คนรู้สึกสบายใจ
หวังซีโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
“หลายปีมานี้เจียงไท่เฟยเร้นกายอยู่ในวังหลวง มีความสุขกับลาภยศเงินทอง ไม่สนใจสิ่งใด” เฉินลั่วกล่าว “ที่นางทำเป็นเช่นนี้ ขอเพียงไม่ได้ตาบอด ย่อมรู้ว่าเป็นความคิดของฮ่องเต้ ชิ่งอวิ๋นยังรู้จักร้อนใจแทนองค์ชายรอง แอบเข้าวังไปหารือกับองค์ชายรองเรื่องวิธีรับมือ แต่จ่างกงจู่เล่า? นางช่างดี เห็นใจสงสารเจียงไท่เฟย นอกจากค้างที่วังหลวงแล้ว วันนี้ข้าเข้าวังไปหานาง นางกลับเกลี้ยกล่อมข้า ให้ข้าลืมมันเสีย บอกว่าฮ่องเต้เป็นลุงของข้า เขาไม่มีทางไม่สนใจข้า…
…ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางคิดอย่างไร…
…องค์ชายรองรอมาหลายปีขนาดนี้ ชิ่งอวิ๋นโหวอดทนมาเนิ่นนานขนาดนี้ ฮองเฮาเหนียงเหนียงลงแรงไปมากมายขนาดนี้ แค่ประโยคที่ว่า ‘กุ้ยเฟยน่าสงสาร ร่วมผูกผมกับข้ามาตั้งแต่วัยแรกรุ่น ทว่ากลับไม่ได้มีความสุขแม้แต่วันเดียว’ เพียงประโยคเดียว ฮ่องเต้ก็คิดจะให้จวนชิ่งอวิ๋นโหวยอมแพ้ ให้องค์ชายรองยอมถอย ให้ฮองเฮาลืมมันเสียอย่างนั้นหรือ ฮ่องเต้อาจจะไร้เดียงสา แต่ชิ่งอวิ๋นโหวคงไม่ไร้เดียงสาขนาดนั้นกระมัง…
…ใครก็ตามที่รู้สถานการณ์ตรงหน้า ย่อมสัมผัสได้ว่าท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว…
…จิงเฉิงกำลังจะเกิดความเคลื่อนไหวทางการเมือง มันจะเปลี่ยนแปลงเร็วเสมือนก้อนเมฆและคลื่นน้ำ ต้องคิดหาวิธีปกป้องครอบครัวหรือไม่ก็หาทางหลบเลี่ยงลมฝนครั้งนี้ มีเพียงมารดาของข้าเท่านั้น ที่ยังคิดแต่เรื่องตำแหน่งซื่อจื่อ คิดว่าที่ข้าไปหานาง ก็เพื่อช่วงชิงตำแหน่งซื่อจื่อกับเฉินอิง”
ข้ามีมารดาเช่นนี้ได้อย่างไร!
ไม่ง่ายเลยกว่าเฉินลั่วจะกลืนคำพูดประโยคนี้ลงไปได้
หวังซีกลับเดาได้ว่าเขาอยากพูดอะไรจากอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นอยู่
แม้เฉินลั่วที่เป็นบุตรชายยังไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์จ่างกงจู่ได้ นางที่เป็นคนนอกผู้หนึ่งยิ่งพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
นางได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร กล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “เช่นนั้นเจ้ามีแผนการอะไร มีอะไรที่ช้าพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉินลั่วรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย ยิ้มขื่นพลางกล่าว “ข้าไม่รู้! งานแต่งของคุณหนูรองอู๋ ไม่ง่ายเลยกว่าจะล่อพยัคฆ์ออกจากภูเขา ยืมมือเจ้ากับคุณหนูลู่ชักจูงนายหญิงเจ็ดไปคว่ำแผนการ แต่ชิ่งอวิ๋นโหวกลับยอมไปหารือกับจ่างกงจู่โดยที่ไม่มาทักทายข้าสักครั้ง เห็นได้ชัดว่าในสายตาของพวกเขา ข้ายังคงเป็นเพียงเบี้ยที่ไม่มีความสำคัญผู้หนึ่งเท่านั้น ต่อให้ข้ามีแผนการ แล้วจะทำอะไรได้”
หวังซีไม่ชอบน้ำเสียงหมดกำลังใจของเขาเช่นนี้เลย อดกล่าวไม่ได้ว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเราจะไม่มีวิธีอื่นเลยอย่างนั้นหรือ”
เฉินลั่วสลดหดหู่ คล้ายกำลังพูดเรื่องของผู้อื่นอยู่ก็ไม่ปาน “ที่ผ่านมา ทุกคนต่างคิดว่าบิดาของข้าโปรดปรานเฉิงอิงมากกว่าเพราะเฉินอิงเป็นบุตรชายคนโต แต่ความจริงแล้วมิใช่ คนที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือตัวเขาเอง สาเหตุที่เขาใช้เฉินอิงกดทับข้า ก็เพียงเพราะเขาคิดว่าเมื่อกดทับข้าได้ ก็เท่ากับกดทับจ่างกงจู่ได้ ฮ่องเต้ประสงค์แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หรือว่ามีวัตถุประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่ในนั้นหรือไม่ กลับไม่เป็นอุปสรรคที่บิดาของข้าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้มาช่วงชิงตำแหน่งซื่อจื่อให้เฉินอิง…
…ต่อให้เขารู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับขอการแต่งตั้งซื่อจื่อก็ตาม เขาก็ไม่มีทางยอมแพ้…
…ข้าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์”
เฉินลั่วก้มหน้าลง สีหน้ามีความเฉยชาของคนที่ยอมแพ้แล้ว
หวังซีมองแล้วหัวใจกลับมีไฟสุมหนึ่งลุกฮือขึ้นมา
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
บิดาไม่โปรดปราน มารดาละเลย ที่เฉินลั่วมีวันนี้ โดยมากต้องขอบคุณคนเป็นลุงอย่างฮ่องเต้ ในหัวใจของเขา กับลุงผู้นี้แล้วเกรงว่าเขาอาจรู้สึกใกล้ชิด รู้สึกควรค่าที่เขาจะพึ่งพา และทำให้เขาเชื่อใจได้มากกว่าบิดาและมารดาด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่า ความจริงแล้วลุงของเขาไม่ได้โปรดปรานเขาหรือใส่ใจเขาอย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย!
เขาถึงกับต้องการแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ
เขาคิดจะวางเฉินลั่วให้เป็นตัวอะไร?
เขาคิดจะวางเฉินลั่วไว้ตรงไหน?
เขาเคยคิดเผื่อเฉินลั่วมาก่อนหรือไม่
ความหยิ่งทะนงของเฉินลั่วนั้น แม้แต่นางยังรู้ ฮ่องเต้จะไม่รู้ได้อย่างไร
ต่อให้ฮ่องเต้ให้เฉินลั่วแต่งกับองค์หญิง อย่างน้อยอยู่ในราชสำนักเฉินลั่วก็ไม่ต้องก้มหัวให้เฉินอิง ก็นับเป็นน้ำใจระหว่างลุงหลานครั้งหนึ่งได้
แต่การตัดสินใจของฮ่องเต้ในครั้งนี้กลับเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาเคยคิดถึงเฉินลั่วบ้างหรือไม่
เฉินลั่วยิ้มเย็น
บิดาที่แม้แต่บุตรชายตัวเองก็ยังคิดบัญชี ยังจะคาดหวังให้เขาดูแลหลานชายอย่างเขาได้หรือ
เพราะคิดเรื่องเหล่านี้กระจ่างแล้ว เฉินลั่วถึงได้จิตใจหดหู่ขนาดนี้ใช่หรือไม่
หวังซีนึกถึงตอนตัวเองเป็นเด็กขึ้นมา มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่ามารดาสนใจพี่ชายรองมากกว่านาง
นางเคยไปบ่นกับท่านย่าด้วยความเสียใจ ท่านย่าจึงถามนางว่า มารดาของเจ้าสนใจพี่ชายรองของเจ้ามากกว่าเจ้า เช่นนั้นข้าเล่า? ท่านปู่ของเจ้าเล่า? พี่ชายใหญ่ของเจ้าเล่า?
หัวใจของนางพลันสงบลงมา
ท่านย่า ท่านปู่และพี่ชายใหญ่ของนางล้วนรักนางมากกว่า
ท่านย่าบอกนางว่า ชีวิตของคนคนหนึ่งนั้น มีคนคอยห่วงใยด้วยความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดที่มีได้ก็นับเป็นเรื่องยากมากแล้ว ยังต้องการให้สายตาของทุกคนสนใจแต่เจ้าเพียงผู้เท่านั้นด้วยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นผู้อื่นจะทำอย่างไร พวกเจ้าพี่น้องสามคน มีขนมหนึ่งก้อน อย่างไรก็ต้องแบ่งออกเป็นสามส่วนกระมัง เจ้าจะกินคนเดียวครึ่งก้อนไม่ได้ เช่นนั้นพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองของเจ้าจะทำอย่างไร
นางรู้สึกละอายใจเหลือเกิน ตอนรับประทานมื้อเย็น จึงแบ่งกระเพาะปลาตุ๋นแห้วและโสมคนในส่วนของตัวเองให้พี่ชายรองกิน พี่ชายรองไม่ชอบกิน ยังยกส่วนของตัวเองให้นางอีกด้วย
นางจึงได้กินสองส่วนเพียงคนเดียว
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางรู้สึกว่าท่านย่าของนางเป็นคนฉลาดมาก
สอนให้นางถอยให้หนึ่งก้าว นางกลับได้รับมากกว่าเดิม
แต่เรื่องเดียวกันนี้เมื่อวางอยู่บนร่างของเฉินลั่ว ส่วนแบ่งของเขาส่วนนั้นอยู่ที่ไหนเล่า?
ชั่วพริบตานั้นหวังซีรู้สึกเกลียดเจิ้นกั๋วกงและจ่างกงจู่เหลือจะกล่าว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้เลย
แทนที่จะได้รับมาแล้วต้องสูญเสียไปในภายหลัง ไม่สู้ไม่ให้ตั้งแต่ต้นยังดีกว่า
ฮ่องเต้คือคนประเภทนั้น
มอบความโปรดปรานให้เฉินลั่วก่อน บัดนี้กลับต้องการจะเอากลับไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เฉินลั่วจะไม่ติดใจได้อย่างไร จะยอมปล่อยไปได้อย่างไร จะไม่ตรวจสอบให้ชัดเจนสักครั้งได้อย่างไร?
หวังซีไม่เพียงเข้าใจสิ่งที่เฉินลั่วทำเท่านั้น ยังรู้สึกว่าเฉินลั่วไม่ควรยอมแพ้เช่นนี้ แล้วก็ไม่ควรใจอ่อนเช่นนี้ด้วย
นางยื่นมือไปดึงแขนเสื้อของเฉินลั่ว
“ลงมา!” นางกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะพาเจ้าไปดูสถานที่หนึ่ง!”
เฉินลั่วมองนางครู่ใหญ่ กระโดดลงมาจากต้นไม้
หวังซีลากเขาไปที่ภูเขาจำลองตรงสวนดอกไม้ด้านหลังจวนหย่งเฉิงโหว
“เจ้าดู!” นางชี้ศาลากวางร้อง “เจ้าเห็นอะไร”
เฉินลั่วมองบ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่ ป่าไผ่ ห้องหนังสือ ลานบ้านหลัก สวนป่า และหอนกกระจ้อยขับขานหลังคาสีเทาเสาสีแดงที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก
ทั้งสองตระกูลอยู่ใกล้กันเกินไปจริงๆ!
สีหน้าของเขาไม่น่าดูเล็กน้อย
หวังซีมองทิวทัศน์ภายในลานบ้าน กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าเคยใช้กล้องส่องทางไกลดูเจ้ารำกระบี่ด้วย!”
เฉินลั่วตกใจมาก
หวังซีหันศีรษะกลับมา มองเขาด้วยรอยยิ้มแย้ม “ฝีมือรำกระบี่ของเจ้าดีมาก งดงามดุจหงส์โบยยิน สง่าประหนึ่งมังกรแหวกว่ายจริงๆ ยังเคยดูเจ้ายิงธนูอีกด้วย ลูกธนูสิบดอก ล้วนยิงโดนกลางเป้าทุกดอก ยิงโดนเป้าหมายดอกแล้วดอกเล่า ลูกธนูพากันร่วงหล่นลงมา”
เฉินลั่วสีหน้ามืดครึ้มเล็กน้อย
เขารู้ว่า คนจวนหย่งเฉิงโหวไม่ค่อยมีกฎระเบียบเท่าไร เมื่อก่อนก็ชอบสอดส่องบ้านพวกเขาเหมือนกัน เขาถึงได้ย้ายออกไป
คิดไม่ถึงว่าหวังซีเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“พวกเจ้า?” เขาถามอย่างมีอารมณ์คุกรุ่น “ยังมีใครอีก”
หวังซียิ้มร่ามองเขา รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ตอนนั้นไม่น่าย้ายออกจากสวนหิมะงามเลย หาไม่นางคงได้พาเขาไปดูสถานที่ที่นางเห็นเขารำกระบี่เป็นครั้งแรกแล้ว
“ข้ากับพวกไป๋กั่ว!” นางตอบด้วยความมั่นใจ ยังถามเขาด้วยความแปลกใจอีกด้วยว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่อยากให้ทุกคนมองเจ้า? ทุกคนมองเจ้าก็เพราะชอบเจ้า! มีบางคนอยากให้ผู้อื่นมองยังไม่มีใครมองเลย”
เฉินลั่วฟังถ้อยคำนี้แล้วขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจ กล่าวแดกดันว่า “มองอะไรในตัวข้า? มองว่าข้าหน้าตาดีหรือไม่อย่างนั้นหรือ ข้าเป็นคนเช่นไร พวกเขารู้หรือ”
หวังซีรู้สึกว่าความคิดแบบนี้ของเขาไม่ถูกต้อง เอ่ยถามว่า “เจ้าชอบดอกโบตั๋นหรือไม่…”
นางยังพูดไม่ทันจบ เฉินลั่วก็กล่าวตัดบทว่า “ไม่ชอบ!”
ถ้อยคำหลังสุดของหวังซีถูกสกัดไว้ที่ลำคอ
นางได้แต่กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าชอบอะไร”
เฉินลั่วไม่อยากบอกนาง รู้สึกว่าเด็กสาวที่น่ารักอ่อนหวานอย่างนาง ต่อให้รู้แล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี จึงตอบนางพอเป็นพิธีไปว่า “ข้าชอบไห่ถัง?”
แค่มองท่าทางของเขาหวังซีก็รู้ว่าเขาไม่ได้พูดความจริง แต่ก็ไม่อยากบีบคั้น นางถาม “เหตุใดเจ้าถึงชอบไห่ถัง”
เฉินลั่วจะรู้ได้อย่างไร
เขาคิดทบทวนอย่างละเอียด ไม่ได้รู้ละเอียดว่าไห่ถังหน้าตาเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ รู้เพียงว่าตอนผลิบานสีสันสวยงามไปทั้งแถบ และสะดุดตามากเท่านั้น เขาตอบหวังซีพอเป็นพิธีต่อไปว่า “แน่นอนว่าเพราะไห่ถังสวย!”
ในที่สุดหวังซีก็ต้อนเฉินลั่วจนจนมุมได้ นางยิ้มน้อยๆ ดวงตาสุกใสมากเป็นพิเศษ กล่าวว่า “ที่พวกข้าชอบมองเจ้า ก็เพราะเจ้ารูปงามเช่นกัน! เพราะมีแค่ความงามจึงไม่ควรได้รับการชื่นชอบจากผู้คนแล้วอย่างนั้นหรือ ต้องเหมือนต้นไผ่ เหมือนดอกบัว สันโดษเงียบสงบ บริสุทธิ์ไร้รอยเปื้อนดินโคลนเท่านั้นหรือถึงจะควรค่าให้ชื่นชอบได้ ดอกไห่ถังสวย เจ้าก็เลยชื่นชอบมัน แล้วเจ้ารู้หรือว่าไห่ถังปลูกอย่างไร เบ่งบานตอนไหน ดอกไม้มีกี่กลีบ? เจ้าคิดว่าเจ้าจะเลิกชอบไห่ถังเพราะดอกของมันมีเจ็ดกลีบหรือไม่ก็มีสิบเอ็ดกลีบอย่างนั้นหรือ”
เฉินลั่วไม่ได้กล่าวสิ่งใด
หวังซีจึงมองเขาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ความงามเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของดอกไห่ถัง แต่เจ้าก็ยังชอบมันเหมือนเดิมมิใช่หรือ!”
เฉินลั่วรู้สึกว่าดูอย่างไรสายตาที่หวังซีมองเขาก็เหมือนจะเผยความภูมิใจออกมาสายหนึ่ง เขามองแล้วไม่ค่อยชอบใจนัก กล่าวเสียงเย็นประโยคหนึ่งว่า “ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่” จากนั้นกล่าวอีกว่า “พรุ่งนี้ข้ายังมีธุระ ขอตัวกลับก่อน เจ้ามีเรื่องอะไรค่อยมาหาข้าก็แล้วกัน”
กล่าวจบ ก็รีบร้อนเดินจากไป
หวังซีมองเงาหลังของเขาที่ดูประหม่าเล็กน้อย เม้มปากกลั้นหัวเราะ
อืม! เจ้าคนขี้โมโห ข้ายังควบคุมเจ้าไม่ได้!
ท่านย่าของนางบอกว่า ขอทานยังมีญาติสามบ้าน ผู้ใดมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วไม่มีสหายสักคนบ้าง เพราะฉะนั้น เฉินลั่วเองก็คงมีคนชอบเขาเหมือนกัน
ไม่ว่าจะชอบตัวตนของเขาหรือชอบรูปลักษณ์ของเขาก็ตาม
…………………………………………………………………