เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 152 เป็นความลับ
ป่าไผ่ในค่ำคืนฤดูร้อน ทั้งเงียบและสงบ ถึงแม้จะมีสายลมโชยมาเสียงดังซ่าเป็นครั้งคราว ก็ทำให้คนรู้สึกสุขกายสบายใจดี
ฝีเท้าที่รีบเร่งของเฉินลั่วค่อยๆ หยุดลง
ที่ชอบดอกไห่ถัง รูปลักษณ์ที่สวยงามของมันก็เป็นหนึ่งในเหตุผลเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ
เมื่อกลับถึงบ้าน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินลั่วยืนมองสำรวจรูปลักษณ์ของตัวเองอย่างละเอียดอยู่หน้ากระจก
ดวงตาสว่างสุกใส จมูกโด่งเป็นสัน มุมปากจีบ ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย หากถามว่ามีตรงไหนแตกต่าง ก็คงเป็นหน้าตาเขาที่ค่อนข้างสมมาตรกว่าผู้อื่น ด้านซ้ายกับด้านขวาไม่แตกต่างกัน คล้ายออกมาจากพิมพ์เดียวกันก็ไม่ปาน
นี่ก็นับเป็นความงามด้วยหรือ
เฉินลั่วไม่ใช่คนที่จะมานั่งพินิจหน้าตาของตัวเองอย่างละเอียด ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกว่าคนในกระจกดูแปลกหน้าเล็กน้อย ไม่เหมือนคนที่อยู่ในความทรงจำของเขาเลย
ในความทรงจำของเขา เขาเป็นคนหน้าตาดี มักจะได้รับคำชมจากผู้อาวุโสและบรรดาสตรีอยู่เสมอ ตัวขาวอวบอ้วน น่ารักน่าชัก ไร้เดียงสามีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้ ดวงหน้าของเขามีเพียงความเย็นชาและความเหนื่อยล้า ความไม่แยแสและความไม่ชัดเจนถูกกักขังเอาไว้อย่างมิดชิด
เขากลายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เฉินลั่วไม่อยากมองตัวเองที่อยู่ในกระจกผู้นั้นอีก
เขาหมุนกายไปนอนลงบนเตียง สิ่งที่เข้ามาทักทายสายตาคือถุงหอมสีแดงสดทอลายเมฆมงคลสีทองที่ห้อยลงมาจากมุมยอดของกรอบเตียง
บนพู่ยาวห้อยลูกปัดสีเขียวมรกตเอาไว้เม็ดหนึ่ง เหมือนมุกที่ติดอยู่บนกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนของหวังซี
หวังซีเองก็รู้สึกว่าเขารูปงามอย่างนั้นหรือ
ในหัวของเขาปรากฏภาพหวังซีถือกล้องส่องทางไกล พาดตัวอยู่บนยอดภูเขาจำลองดูเขารำกระบี่
เฉินลั่วถึงขั้นจินตนาการถึงสีหน้าชื่นชมบนใบหน้านางตอนที่เขาทะยานตัวขึ้นสู่กลางอากาศได้
เขาพลันลุกขึ้นมานั่งอย่างกะทันหัน
ไม่ถูก!
หวังซีพูดโกหกแล้ว
ศาลาบนยอดภูเขาจำลองที่สวนดอกไม้ด้านหลังของจวนหย่งเฉิงโหวนั้น ต่อให้ใช้กล้องส่องทางไกล ก็ไม่มีทางเห็นท่าทางที่เขารำกระบี่อยู่ในป่าไผ่อย่างชัดเจนได้
หาไม่แล้วสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนหย่งเฉิงโหวคงไม่ถูกห้ามไม่ให้คนเข้าไปอยู่ง่ายดายขนาดนั้น
เขายังจำได้ว่าตอนเขาเป็นเด็ก เด็กสาวเหล่านั้นชอบมาเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลังของจวนหย่งเฉิงเป็นที่สุด เพราะคิดว่าจะมองเห็นศาลากวางร้องที่เขาอาศัยอยู่
ต่อมาหลังจากที่ทุกคนค้นพบว่ามองเห็นเพียงหลังคาสีเทาที่ถูกปกคลุมด้วยป่าผืนหนึ่งเท่านั้น ถึงได้ค่อยๆ ลืมสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนหย่งเฉิงโหวไปเสีย
นี่หวังซีกำลังหลอกเขา เพื่อปลอบใจเขาอย่างนั้นหรือ
เฉินลั่วเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง คล้ายมีแมวตัวหนึ่งกำลังข่วนหัวใจอยู่ก็ไม่ปาน ไม่อาจสงบใจลงมาได้ไปชั่วขณะ
เช่นนั้นที่หวังซีบอกว่าเขารูปงาม ก็คงกำลังหลอกเขาด้วยกระมัง!
ในหัวของเขามีเสียงหนึ่งบอกว่าหวังซีไม่ใช่คนเช่นนั้น นางเอาแต่ใจมาก แต่ก็ไม่ได้เย้ยหยันเขา ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่อีกเสียงหนึ่งกลับบอกว่า นางเป็นคนเช่นนั้นนั่นแหละ ปากพ่อค้า หลอกลวงผู้คนเก่งนัก แม้นนางไม่ใช่พ่อค้า แต่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากครอบครัว อ้าปากก็พูดจาเลื่อนเปื้อนแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นคุณลักษณะประจำครอบครัว ตอนพวกเขาอยู่ด้วยกัน ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่นางชอบหลอกเขา
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้
ปากหวานพูดจาน่าฟังเหลือเกิน แต่ดวงตากลับแวววาว ไม่มีอาการสับสนหรือขาดสติแม้แต่นิดเดียว
ขณะที่เฉินลั่วคิดอยู่นั้น ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจขึ้นมา
เช่นนั้นตกลงหวังซีได้แอบดูเขารำกระบี่จริงหรือไม่
เฉินลั่วเปิดหน้าต่างออก
พระจันทร์ดุจจานเงิน ห้อยตัวสูงตระหง่านอยู่กลางท้องนภา สาดแสงส่องลานบ้านกว้างสว่างไสว ดอกอวี้จานชูช่อ กลีบดอกยิ่งดูขาวนวลมากขึ้น บดบังหินที่ก่อเป็นกระถางดอกไม้ด้านข้างจนมิด
เฉินลั่วหัวใจกระตุก
เขาลืมไปได้อย่างไร หากหวังซีพาดตัวอยู่บนกำแพงใต้ต้นหลิวตรงที่ที่นัดเจอเขาบ่อยๆ ตรงนั้น ไม่เพียงมองเห็นเขารำกระบี่เท่านั้น ยังมองเห็นแม้กระทั่งว่าเขาสวมอาภรณ์สีอะไรด้วยซ้ำ
และถ้ามีกล้องส่องทางไกลอีกหนึ่งกระบอก…
“ช่างโง่เง่าจริงๆ!” เฉินลั่วเดินย่ำฝีเท้ากลับไปกลับมาอยู่ในห้องไปด้วย พึมพำด่าตัวเองไปด้วยว่า “ทั้งๆที่รู้ว่าปากของนางไร้ซึ่งความจริง เหตุใดยังเชื่อว่านางมองเห็นตนจากศาลาบนยอดภูเขาจำลองที่สวนดอกไม้ด้านหลังของจวนหย่งเฉิงโหวอยู่อีก! เห็นชัดว่านางเห็นเขาจากลานบ้านที่นางอาศัยอยู่ ไม่แน่ว่าอาจค้นพบตอนที่นางพาดตัวแอบดูอยู่บนกำแพงก็เป็นได้…”
คิดมาถึงตรงนี้ เฉินลั่วตัวสั่น หยุดฝีเท้าลง
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นคนที่แอบสอดส่องเขาจากจวนหย่งเฉิงโหว คนที่ถูกเขายิงธนูใส่ และคนที่ดึงดาบที่เป็นการเตือนเล่มนั้นออกไปผู้นั้น ก็คือหวังซีแล้ว!
“โง่เกินไปแล้วจริงๆ!” เฉินลั่วงึมงำด่าตัวเอง นั่งตัวอ่อนปวกเปียกอยู่บนแหย่งหลัวอั่นอย่างหมดสภาพ
เพราะเหตุนี้หวังซีถึงได้ปรากฏตัวที่งานวันคล้ายวันเกิดของมารดาเขา เพราะเหตุนี้ดาบเก้าห่วงเล่มนั้นถึงอันตรธานหายไป และเพราะเหตุนี้พวกเขาถึงได้บังเอิญเจอกันที่สวนป่า
เสียแรงที่พวกเขาล้วนคิดว่าติดหนี้บุญคุณนาง
เห็นชัดว่านางไปทำเรื่องชั่วร้ายแต่กลับได้รับความดีความชอบ!
หวังซีผู้นี้!
เฉินลั่วกัดฟันกรอด
ถึงกับกล้าดึงดาบของเขาเพื่ออวดอ้างอำนาจกับเขา!
คอยดูว่าเขาจะจัดการนางอย่างไร
ตอนที่คิดนั้น เฉินลั่วคิดว่าการจัดการหวังซีคงเป็นเรื่องง่ายดายเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อตรึกตรองอย่างละเอียดแล้ว ในหัวสมองกลับว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีอะไรไปจัดการนางดี
จะทุบตีก็ย่อมทำไม่ได้ นางเป็นเด็กสาว มือเท้าของเขานั้น ไม่พูดถึงเรื่องที่ยกหินหนักสามสิบต้านด้วยมือข้างเดียวได้ แค่ผลักนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง คาดว่านางก็รับไม่ไหวแล้ว อีกอย่างบุรุษทุบตีสตรีนั้น ขี้ขลาดเกินไป และไม่สมควรเป็นคนเกินไปแล้ว
หรือจะด่า? ถ้าต่อว่าแรงเกินไปมิเท่ากับว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนจะขาดสะบั้นไปด้วยหรือ แต่ถ้าพูดเพียงผิวเผิน…เขานึกถึงปากเล็กๆ ของนาง แค่ตอนไม่มีเรื่องอะไรนางยังคุยเจื้อยแจ้วคนเดียวได้ นับประสาอะไรกับตอนมีเรื่อง
เขาไม่น่าจะเถียงชนะนางได้
เฉินลั่วนึกถึงริมฝีปากของหวังซีริมนั้นขึ้นมา
แดงปลั่งและแวววาว มุมปากมักจะยกขึ้นน้อยๆ คล้ายมุมของกระจับ เวลาพูดจะเผยฟันขาวสะอาดไร้รอยด่างดำดุจเมล็ดข้าวออกมาให้เห็น
นี่ต่างหากถึงจะเป็นความงามที่แท้จริง!
เฉินลั่วคิด ดวงหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ในใจประหม่าเหลือจะกล่าว
กลางคืนถึงกับเก็บเอาไปฝัน
ในความฝันมันดูพิลึกแปลกประหลาดและมีสีสันฉูดฉาด หลังจากตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าฝันเห็นอะไรบ้าง เหลือเพียงความรู้สึกหอมหวานอบอุ่น บรรยากาศที่คลุมเครือและรอยเหนียวมีกลิ่นคาวที่กางเกงรอยหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่ได้เป็นเช่นนี้มากี่ปีแล้วนะ?
เฉินลั่วทำหน้าเยียบเย็นลุกขึ้นจากเตียง กระทั่งรับประทานมื้อเช้าเสร็จ นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือที่ห้องทำงานแล้ว เขาถึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเขาส่งเทียบเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้
แต่จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังไม่ได้คิดเลยว่าเมื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วจะพูดอย่างไร พูดอะไรบ้าง เรื่องอะไรที่ต้องพูดให้ชัดเจน และเรื่องอะไรที่ไม่ควรไปแตะต้อง
นอกจากนี้ เขายังไม่ได้คิดเลยว่าจะจัดการหวังซีอย่างไรดี
เฉินลั่วรู้สึกว่าดวงหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
หวังซี หวังซี น้ำค้างแห่งรุ่งอรุณ ซีหมายถึงรุ่งอรุณหรือรุ่งสาง คนในบ้านของนางหวังให้นางมีอนาคตที่สดใสเหมือนแสงแรกแห่งรุ่งอรุณอย่างนั้นหรือ หรือบางที นางอาจจะแค่ถือกำเนิดตอนรุ่งสางพอดีก็เป็นได้
แต่ก็น่าจะไม่ใช่!
พี่ชายใหญ่ของนางมีนามว่า ‘เฉิน[1]’ พี่ชายรองของนางชื่ออะไรนะ? ‘เซิ่ง[2]’ หรือเปล่า? นางมีชื่อเรียงต่อจากบุตรชายของบ้านได้ แสดงว่าผู้อาวุโสในบ้านไม่เพียงมีความหวังในตัวนางเท่านั้น ยังต้องโปรดปรานนางและรักนางมากเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่กลายเป็นคนที่ดูเหมือนได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม แต่ความจริงเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรแม้แต่อย่างเดียวเช่นนี้…
***
ตอนที่หม่าซานเดินเข้ามาในห้องทำงานของกองพลม้าทะยานซ้าย ก็เห็นเฉินลั่วในชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบสีแดงสดทอลายสีทองนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขน ดวงตาทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่แท่นห้อยพู่กันบนโต๊ะที่แขวนพู่กันสั้นบ้างยาวบ้างเอาไว้อย่างใจลอย
เขาตะลึงงัน
หลานชายของฮ่องเต้ผู้นี้ สมัยก่อนยังดูร่าเริงไร้เดียงสาอยู่บ้าง ทว่าหลายปีมานี้ยิ่งอยู่กลับยิ่งเฉียบแหลมสงวนท่าทีมากขึ้น ดวงหน้าไม่แสดงความรู้สึก ทำให้คนมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่บ้าง การแสดงความรู้สึกออกมาให้เห็นเช่นนี้ เขาไม่เห็นมานานมากแล้ว
คิดๆ แล้วก็รู้สึกคิดถึงเรื่องเก่าอยู่บ้างเล็กน้อย
หม่าซานถอนใจกล่าวอยู่ในใจ คิดถึงวัตถุประสงค์ที่ฮ่องเต้ให้เขาเดินทางกลับขึ้นมาอีกครั้ง เขาพลันรู้สึกว่าเด็กๆ เหล่านี้ช่างน่าสงสารนัก เพลิดเพลินกับลาภยศมามาก ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะต้องพบกับความขมขื่นที่ไม่มีใครเคยพานพบมาก่อน
เขาอดจัดอาภรณ์เล็กน้อยไม่ได้ กระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง เผยรอยยิ้มถ่อมตน นอบน้อมและใจดีที่กลายเป็นความสามารถติดตัวเขาไปแล้วออกมา เอ่ยเสียงไม่ดังและไม่เบาครั้งหนึ่งว่า “ใต้เท้า”
เฉินลั่วเงยหน้าขึ้นมา เห็นว่าเป็นหม่าซาน
ในใจของเขาราวกับมีสายฟ้าฟาดผ่านอย่างฉับพลัน
หม่าซานคือคนสนิทจริงๆ ของฮ่องเต้ เวลานี้เขาควรอยู่ปลอบขวัญทหารที่หมิ่นหนาน ทว่ากลับมาปรากฏตัว ณ ที่ทำการของเขาอย่างกะทันหัน
ทั้งที่เขาส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของฮ่องเต้นานแล้ว กลับไม่รู้ว่าหม่าซานเดินทางกลับจิงเฉิงมาตั้งแต่เมื่อใด ยังมาปรากฏตัวในวังหลวงอย่างปุบปับอีกด้วย
ฮ่องเต้ต้องการทำอะไร?
ดวงตาตระหนก ทว่าใบหน้ากลับเผยความประหลาดใจที่พอดิบพอดีออกมา กล่าวว่า “ซานกงกง ท่านกลับถึงจิงเฉิงตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดข้าถึงไม่ได้ยินข่าวคราวเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านช่างไปมาไร้ร่องรอยเกินไปแล้ว!”
หม่าซานยิ้มตาหยี ไม่ตอบอะไร
เขาบอกได้หรือว่าเป็นบัญชาของฮ่องเต้?
เฉินลั่วเข้าใจดี ย่อมไม่คิดจะให้เขาตอบจริงๆ แต่ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาอย่างเป็นกันเองและกระตือรือร้น กล่าวว่า “ท่านรีบนั่งลงก่อน! หลายวันก่อนข้าไปไถชาหลงจิ่งของซีหูชั้นดีมาจากใต้เท้าซูด้วย วันนี้ท่านลองชิมฝีมือการชงชาของข้าดูสักหน่อย”
เขาเรียนรู้การอดทนอดกลั้นในยามคับขันได้นานแล้ว หากหม่าซานไม่พูด เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องได้เหมือนกัน
หม่าซานเป็นคนมาหาเขาด้วยตัวเอง เขามิได้เป็นคนไปหาหม่าซานเสียหน่อย
หม่าซานไม่อ้อมค้อมกับเขาอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ เพียงไม่นานก็แจ้งวัตถุประสงค์การมาของตน “ไอโย ไม่ได้เด็ดขาด จะให้เจ้าชงชาให้ข้าด้วยตัวเองได้อย่างไร พวกเรายังต้องรับบัญชาองค์เหนือหัวอยู่ ฮ่องเต้ทรงให้ข้ามาเรียกตัวเจ้าไปคุยที่ห้องทรงพระอักษร รอเจ้าออกมาจากไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว พวกเราค่อยหาเวลามานั่งชิมชาด้วยกัน”
บัญชาฮ่องเต้อยู่เหนือทุกสิ่ง
เฉินลั่วรับคำยิ้มๆ ว่าได้ มุ่งหน้าไปห้องทรงพระอักษรพร้อมหม่าซาน ทว่าในใจกลับขบคิดอย่างรวดเร็วว่าเมื่อเจอฮ่องเต้แล้วควรพูดอะไรบ้าง เขาควรแสดงเป็นเด็กที่ตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง หรือควรแสดงเป็นขุนนางที่หนักแน่นมั่นคงผู้หนึ่งดี?
ฮ่องเต้ไม่มีทางอยากแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อด้วยใจจริงอย่างแน่นอน
ถึงแม้มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายใหญ่จะเป็นภรรยาร่วมผูกผมของฮ่องเต้ แต่หลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว กลับพระราชทานอิสริยยศให้มารดาขององค์ชายใหญ่เป็นกุ้ยเฟยมิใช่หยวนโฮ่ว[3] เมื่อเป็นเช่นนี้ ว่ากันตามกฎแล้วองค์ชายใหญ่จึงหลุดจากการเป็นโอรสองค์โตจากชายาเอกกลายเป็นโอรสองค์โตจากอนุชายาแทน
ตั้งแต่อดีตกาลมาการสืบทอดวงศ์ตระกูลล้วนให้ความสำคัญกับ ‘บุตรชายคนโตจากภรรยาเอก’ บุตรชายคนโตจากภรรยาเอกมาก่อนบุตรชายคนโตเสมอ
นี่ก็เป็นสาเหตุที่สถานะขององค์ชายใหญ่เป็นที่ถกเถียงกัน เขาไม่อาจช่วงชิงตำแหน่งเพื่อตัวเองได้อย่างเต็มปาก
บัดนี้ฮ่องเต้ผลักองค์ชายใหญ่ออกมา โดยไม่พระราชทานอิสริยยศให้มารดาของเขาก่อน ไม่เหมือนต้องการรับรองนามของเขา แต่เหมือนต้องการให้เขาออกไปรับมีดมากกว่า
ไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่คิดอย่างไร
ขณะที่เฉินลั่วคิดนั้น ฝีเท้าหยุดชะงักลงเล็กน้อย
เขาลืมตออันนี้ไปได้อย่างไร
หากบอกว่าฮ่องเต้ขุดหลุมฝังเขา แต่องค์ชายใหญ่กลับถูกฝังอย่างโหดเหี้ยมมากกว่าเสียอีก
คำโบราณกล่าวได้ดี ศัตรูของศัตรูคือมิตรของเรา เขาลืมองค์ชายใหญ่ไปใช่หรือไม่ ควรจะลองถามความคิดเห็นขององค์ชายใหญ่ดูสักหน่อยหรือไม่นะ?
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ ตามหม่าซานก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
ฮ่องเต้ทรงมีพระชนมายุประมาณห้าสิบพรรษา ถนอมวรกายเป็นอย่างดี เมื่อก่อนดูแล้วเหมือนคนอายุสามสิบปีเท่านั้น แต่ครึ่งปีให้หลังมานี้ โรคหัวใจกำเริบบ่อย เพียงไม่นานก็ดูเหมือนแก่ขึ้นไปยี่สิบปี เผยความทรุดโทรมไร้ชีวิตชีวาของคนวัยนี้ออกมาให้เห็น
เฉินลั่วถวายบังคมฮ่องเต้ พระองค์พยักพระพักตร์ ตรัสประโยคหนึ่งว่า “เจ้ามาแล้ว” ให้ขันทีที่ถวายการปรนนิบัติอยู่ข้างกายยกเก้าอี้มาให้เฉินลั่ว ตรัสว่า “นั่งลงมาคุยกันเถอะ!”
ฮ่องเต้ยังคงเหมือนปกติ ท่าทีที่ปฏิบัติกับเฉินลั่วอย่างสบายๆ นั้นเผยความใกล้ชิดออกมาหลายส่วน
…………………………………………………………….
[1]เฉิน หมายถึง รุ่งเช้า
[2]เซิ่ง หมายถึง แสงอาทิตย์
[3]หยวนโฮ่ว ฮองเฮาที่เป็นภรรยาคนแรก