เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 159 ตลบหลัง
“มาจากต้าถง?” หวังซีถาม “บิดาของซือจูเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าถงมาก่อน”
นางรู้ว่าบิดาของซือจูเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าถง คิดว่าหากคนที่มาจากต้าถงมีเจตนามาจับตาดูพวกเขาอย่างที่เฉินลั่วกล่าวมาจริง เช่นนั้นบิดาของซือจูก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัย
นางถามเฉินลั่ว เฉินลั่วกลับส่ายศีรษะตอบว่า “แน่นอนว่าต้าถงมีคนของตระกูลซือ แต่ตระกูลซือมิได้เก่งกาจอย่างที่เจ้าคิด หากใต้เท้าซือมีความสามารถจริง ก็คงไม่ถูกโยกย้ายสถานที่ในทุกสองสามปีเช่นนั้น นอกจากนี้ตระกูลซือมั่งคั่งขึ้นมาได้เพราะมีตระกูลอวี๋ มิใช่ตระกูลอวี๋รุ่งโรจน์ขึ้นมาได้เพราะมีตระกูลซือ เป็นตระกูลซือที่ขาดตระกูลอวี๋ไม่ได้ มิใช่ตระกูลอวี๋ที่ขาดตระกูลซือไม่ได้…
…ส่วนเรื่องจับตาดูนั้น ข้ารู้สึกว่าจิตใจความรู้สึกขององค์ชายใหญ่น่าจะเปราะบางมากกว่าข้า แต่ขนาดเขายังไม่ร้อนใจเลย เหตุใดข้าต้องร้อนใจด้วย”
ตอนนี้หวังซีไม่เข้าใจอะไรแล้ว นางกล่าว “เช่นนั้นเจ้า…”
เฉินลั่วก้าวออกมาสองสามก้าว ก้มศีรษะลง กระซิบกล่าวที่ข้างหูนางว่า “ข้ามีความคิดหนึ่ง เกรงว่าคงต้องขอยืมคนของเจ้ามาใช้งานสักหน่อย”
ลมหายใจของเขาลอยอยู่เหนือศีรษะ น้ำเสียงประหนึ่งเสียงพิณชวนใจเต้น ทำให้นางรู้สึกเสียวซ่านที่หนังศีรษะ กว่าครู่ใหญ่นางถึงเข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่
นี่ชักจะใกล้เกินไปแล้ว
เรื่องไม่เหมาะสมไม่ดู สิ่งหยาบคายไม่ฟัง ต้องเป็นเพราะปกตินางไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษภายนอกมากขนาดนี้มาก่อนแน่ๆ ถึงได้รู้สึกอึดอัดไม่เป็นตัวเอง
หวังซีตรึกตรองอยู่ในใจ ขยับถอยหลังออกมาสองก้าวอย่างไม่ให้ซุ่มเสียง ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าขนาดนี้ เจ้ามีเรื่องอะไร เพียงสั่งการมาก็พอ”
เฉินลั่วกล่าว “ช่วงนี้ข้าอยากให้เจ้าออกไปข้างนอก เอาข่าวที่ข้าไปสังเกตการณ์ที่กรมอาญากับองค์ชายใหญ่ไปป่าวประกาศให้ทั่ว”
หวังซีไม่เข้าใจ ถามว่า “นี่เจ้าต้องการตบตาผู้ใดหรือเปล่า”
เฉินลั่วกล่าว “เจ้าลองคิดดูว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงต้องการให้ข้าไปสังเกตการณ์ที่กรมอาญากับองค์ชายใหญ่?”
หวังซีกลอกตาขาวใส่เฉินลั่วครั้งหนึ่ง
หากนางรู้ ยังจะถามเขาเพื่ออันใดอีก
เฉินลั่วหลุดหัวเราะ สีหน้ากลับดูอบอุ่นขึ้นหลายส่วน กล่าวว่า “ฮ่องเต้ทรงตรัสเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นในงานวันคล้ายวันประสูติของเจียงไท่เฟย ตามหลักแล้วถ้อยคำดังกล่าวควรจะถูกบอกเล่าต่อๆ กันไปเหมือนไฟลามทุ่ง เป็นที่ทราบกันโดยถ้วนทั่วถึงจะถูก แต่เจ้าดู มีผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้บ้าง”
หวังซีคิดตาม เป็นอย่างที่เขากล่าวมาจริงๆ
นางถามอย่างลังเลว่า “เพราะทุกคนกลัวว่าจะเกิดข้อพิพาท ก็เลยไม่อยากเอาไปเล่าต่อ? หรือเป็นเพราะไม่เชื่อว่าที่ฮ่องเต้ตรัสมาเป็นเรื่องจริง?”
“มีทั้งสองแบบ” เฉินลั่วตอบ “ทุกคนไม่อยากทำให้ชิ่งอวิ๋นโหวขุ่นเคืองเพียงเพราะได้ยินวาจาเลื่อนเปื้อนจากน้ำเมาของฮ่องเต้เพียงไม่กี่ประโยค เห็นได้ชัดว่าชิ่งอวิ๋นโหวมีอำนาจเพียงใดในราชสำนัก คาดว่าฮ่องเต้เองก็ทรงเห็นเช่นนี้เหมือนกัน ถึงได้จงใจให้ข้าไปกรมอาญาเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่”
หวังซีได้ยินแล้วสีหน้าไม่น่าดูเท่าไรนัก นางถาม “ฮ่องเต้ลากเจ้าเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย พระองค์ต้องการทำอะไรกันแน่? ทำให้เจ้ารู้สึกว่าถึงแม้องค์ชายใหญ่จะได้เป็นไท่จื่อ แต่เจ้าก็ยังมีโอกาสได้เป็นซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่อย่างนั้นหรือ”
“ไม่รู้” เฉินลั่วไม่ยี่หระ กล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ฮ่องเต้สร้างโอกาสให้พวกเราโอกาสหนึ่ง”
หวังซีตะลึงงัน
เฉินลั่วพูดว่า ‘พวกเรา’
สำหรับเขาแล้ว พวกเขาเป็นพันธมิตรกันมาตลอดใช่หรือไม่
แต่เขาปากแข็งเหลือเกิน ปกติไม่ยอมรับเลยแม้แต่ครึ่งคำ
หวังซีลอบร้องหึอยู่ในใจหลายครั้ง รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย หัวสมองก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร ให้ข้ากระจายข่าวออกไปเพื่อล่อลวงเฉินอิงหรือ”
ดวงตาของเฉินลั่วเผยคำพูด ‘เจ้าฉลาดมากอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ’ ออกมา กล่าวว่า “สิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสในงานวันคล้ายวันประสูติของเจียงไท่เฟยนั้น คนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่คนอย่างพ่อข้าหรือคนอย่างใต้เท้าอวี๋และใต้เท้าเซี่ยย่อมทราบเรื่องอย่างแน่นอน พ่อข้าอยากให้เฉินอิงเป็นซื่อจื่อมาโดยตลอด บัดนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เฉินอิงย่อมดีใจมาก”
“แต่จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าต่อให้องค์ชายใหญ่ได้เป็นไท่จื่อ แต่ภายใต้การจัดเตรียมของฮ่องเต้เจ้ากลับได้เป็นขุนนางคนสนิทขององค์ชายใหญ่” หวังซีพึมพำกล่าว “ด้วยความสามารถในการอดทนของเฉินอิงแล้ว สภาพจิตใจของเขาต้องแตกสลายอย่างแน่นอน และตอนนั้นก็เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว!”
“ไม่เลว!” เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ “ข้าอยากให้เขาทำพลาด ให้เขาสูญเสียคุณสมบัติในการเป็นซื่อจื่อ ข้าไม่อาจละเมิดกฎหมายสังหารเขา แต่ข้าทำให้เขาเลือกด้วยตัวเองได้”
เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเฉินอิงก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว
หากเขาสังหารเฉินอิงนั่นเป็นการลอบใช้อุบายอย่างลับๆ แต่ถ้าเขาสร้างกระดานหมากให้เฉินอิงเลือกทางของตัวเองกลับเป็นการใช้อุบายอย่างเปิดเผย
การลอบใช้อุบายอย่างลับๆ เป็นวิธีที่น่ารังเกียจ แต่การใช้อุบายอย่างเปิดเผยกลับสะท้อนสติปัญญาของคนคนหนึ่งได้
หวังซีรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
หากเฉินอิงมั่นคงพอ หรือหากเขามีฝีมือสืบข่าวได้ว่าความจริงเป็นอย่างไรและมีความสามารถวิเคราะห์อย่างถูกต้องได้ ผู้ใดจะสั่นคลอนตำแหน่งซื่อจื่อของเขาได้!
หวังซีมองอาการเหนื่อยล้าของเฉินลั่วพลางกล่าว “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ เรื่องนี้เจ้ามอบหมายให้ข้าก็พอ รับประกันว่าจะช่วยเจ้าจัดการให้แล้วเสร็จภายในสองสามวันนี้”
แน่นอนว่าเฉินลั่วไม่มีทางปล่อยให้หวังซีต้องรับภาระทั้งหมดเพียงลำพัง เขายังมีแผนการอื่นอยู่อีก ต้องทำให้เฉินอิงเชื่อให้ได้ว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์แต่งตั้งเขาเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเฉินอิงจะตัดสินใจเลือกอย่างไร
ถ้าเฉินอิงยังเห็นแก่ความเป็นพี่น้องอยู่จริงๆ ต่อให้ไม่ได้เป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อก็ไม่เป็นไร
เฉินลั่วกลับจวนจ่างกงจู่
หลังจากรับมื้อเย็นเสร็จแล้วหวังซีเดินย่อยอาหารอยู่ในลานบ้านไปด้วย ขบคิดเรื่องนี้ไปด้วยว่าควรจะเริ่มลงมือจากตรงไหนดี
ทันใดนั้นจู่ๆ ฉังเคอก็มาเยี่ยมนาง
หวังซีประหลาดใจเล็กน้อย
นับตั้งแต่ฉังเคอหมั้นหมายเป็นต้นมา ก็ไม่อาจไปไหนมาไหนตามใจชอบได้เหมือนก่อนหน้านี้ จึงไม่ได้หมั่นมาหาเหมือนเมื่อก่อน แต่นางก็ให้ข้ารับใช้ส่งของกินของเล่นมาให้อยู่เสมอ ทั้งสองคนมิได้เหินห่างกันไปด้วยสาเหตุดังกล่าวแม้แต่น้อย
พอนางมาถึงก็ดึงหวังซีไปคุยกันในห้อง “เจ้าได้ข่าวหรือยัง ฮ่องเต้มีพระประสงค์แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ ยังให้คุณชายรองตระกูลเฉินไปเป็นผู้ช่วยให้เขาด้วย นี่หมายความว่าต้องการแต่งตั้งคุณชายรองตระกูลเฉินเป็นซื่อจื่ออย่างนั้นหรือ”
ชั่วขณะนั้นหวังซีสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า
นางยังไม่ทันได้กระจายข่าวนี้ออกไปเลยนี่นา
นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ฉังเคอกล่าว “ข้ากลัวเจ้าจะทำอะไรไม่เหมาะสม วันนี้ท่านโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าปิดประตูคุยกันกว่าครึ่งค่อนวันมิใช่หรือ ได้ยินว่าพูดคุยถึงเรื่องพวกนี้ จากความเห็นของท่านโหวแล้ว คาดว่าคงคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน หากองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองขัดแย้งกัน ไม่ว่าผู้ใดครอบครัวของพวกเราก็ไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองใจได้ทั้งสิ้น ท่านโหวให้ฮูหยินผู้เฒ่าควบคุมไม่ให้พวกข้าออกไปข้างนอกตามใจชอบ พวกพี่ชายทั้งหลายยิ่งแล้วใหญ่ถูกเรียกตัวไปย้ำเตือนที่ห้องหนังสือครั้งหนึ่ง ถ้าหากจำเป็นต้องออกจากบ้าน ต้องได้รับการอนุญาตจากท่านโหวก่อนถึงจะออกไปได้…
…อีกประเดี๋ยวฮูหยินผู้เฒ่าคงเรียกเจ้ากับพี่สาวซือและคุณหนูพานไปคุยด้วย เจ้าเพียงรับฟังก็พอ หากมีเรื่องอะไร ข้าจะให้แม่ข้าช่วยเจ้าส่งข่าวไปให้หลงจู๊ใหญ่ของพวกเจ้า”
นายท่านสามของจวนหย่งเฉิงโหวเป็นคนดูแลกิจการของครอบครัว ซึ่งรวมถึงเป็นคนดูแลเรื่องเล็กใหญ่ต่างๆ ภายในบ้านด้วย มีนายหญิงสามให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ จวนหย่งเฉิงโหวก็ไม่เมือนสถานที่ร้างผู้คนสำหรับหวังซีอีกต่อไป
หวังซีรีบกล่าวขอบคุณฉังเคอ ส่วนฉังเคอทอดถอนหายใจให้เฉินอิง “เขาช่างโชคร้ายที่มีบิดาเช่นนี้ แต่งกับผู้ใดไม่แต่ง ต้องการแต่งกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่ เรื่องผู้สืบทอดจึงกลายเป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอนไปเสีย”
บัดนี้นางไม่ต่อว่าต่อขานเฉินลั่วแล้ว เนื่องจากนางได้ปฏิสัมพันธ์กับเฉินลั่วหลายครั้งจึงเห็นเฉินลั่วเป็นคนฝั่งเดียวกับตัวเองไปแล้ว
หวังซีกลับคิดว่าตนไม่ต้องทำอะไร เรื่องราวก็คืบหน้าไปในทิศทางที่เฉินลั่วต้องการด้วยตัวของมันเองแล้วใช่หรือไม่
นางถูกกักตัวอยู่ในจวนหย่งเฉิงโหวออกไปไหนไม่ได้ แต่นางมีหงโฉวกับชิงโฉว ทั้งยังอาศัยอยู่บนถนนเส้นเดียวกับจวนเจิ้นกั๋วกง นางจึงให้ชิงโฉวกับหงโฉวไปสืบข่าวจากหมี่เหนียงจื่อ
หมี่เหนียงจื่อย่อมรายงานทุกอย่างที่นางรู้
เรื่องที่ฮ่องเต้ประสงค์แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อปิดข่าวต่อไปไม่ได้อย่างที่เฉินลั่วกล่าวเอาไว้จริงๆ ทั่วทั้งจิงเฉิงต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ รวมถึงเรื่องที่เฉินลั่วอาจได้รับแต่งตั้งเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อด้วย
ได้ยินว่าชิ่งอวิ๋นโหวเข้าวังด้วยเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว
“แต่ฮ่องเต้ล้วนบ่ายเบี่ยงไปมา ไม่ให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ชิ่งอวิ๋นโหว” หงโฉวพาดตัวกล่าวอย่างตื่นเต้นอยู่ข้างๆ หวังซี คล้ายนางไปเห็นด้วยตาตัวเองมาก็ไม่ปาน “องค์ชายรองยิ่งแล้วใหญ่อับอายจนไม่ยอมออกจากตำหนัก ด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะสอบถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หวังซีจิ้มหน้าผากของหงโฉวแรงๆ กล่าวว่า “นี่เจ้าไปฟังมาจากผู้ใด? องค์ชายรองไม่กล้าออกจากตำหนักอันใดกัน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ผู้ใดจะกล้าถามองค์ชายรองกัน?”
ชิงโฉวยิ้มขื่นอย่างไร้ทางออก อบรมน้องสาวด้วยอีกคนหนึ่ง “ต่อไปจะพูดอะไรเจ้าต้องหัดใช้สมองกลั่นกรองก่อน”
หงโฉวยู่ปาก กล่าวว่า “ข้าก็แค่อยากทำให้คุณหนูใหญ่ดีใจเล่นสักหน่อยมิได้หรือ”
หวังซียิ้มอย่างคนไร้ทางเลือกด้วยอีกคน กล่าวว่า “หมี่เหนียงจื่อว่าอย่างไรบ้าง”
ชิงโฉวอ้าปากกำลังจะตอบ หงโฉวกลับชูมือกล่าวขึ้นก่อนว่า “คุณหนูใหญ่ ให้ข้าเล่า ให้ข้าเป็นคนเล่า”
นางเป็นคนร่าเริงสดใส นับตั้งแต่เกิดเรื่องของหลิวจ้งเป็นต้นมา ก็ติดตามอยู่ข้างกายหวังซีอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด หวังซีไปไหนนางก็ตามไปด้วยทุกที่ คงกดดันนางจนเสียคนไปแล้ว
หวังซีเองก็อยากตามใจนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าลองว่ามา แต่ต้องบอกข้ามาตามจริง หากเจ้ายังเล่าเรื่องที่เจ้าได้ยินมาให้ข้าฟังอีก ต่อไปข้ามีเรื่องอะไรข้าจะไม่ถามเจ้าอีกแล้ว จะถามแค่ชิงโฉวคนเดียว”
หงโฉวหัวเราะคิก ให้คำมั่นครั้งแล้วครั้งเล่าเสร็จแล้วถึงกล่าวขึ้นว่า “หมี่เหนียงจื่อบอกว่าเฉินอิงระงับอารมณ์ไม่อยู่อย่างที่ใต้เท้าเฉินคาดการณ์เอาไว้จริงๆ เขาไปสอบถามเจิ้นกั๋วกงก่อนเป็นอันดับแรก เพียงไม่กี่ประโยคก็ถูกเจิ้นกั๋วกงไล่ตะเพิดออกมาแล้ว เขาจึงไม่กล้าเข้าใกล้เจิ้นกั๋วกงอีก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไม่กี่วันมานี้เขายังกระทำเรื่องโง่เขลาอีกด้วย คุณหนูใหญ่ ท่านรู้หรือไม่เจ้าคะว่าเป็นเรื่องอะไร”
นางขยิบดวงตาที่เปล่งประกายขึ้นมาจากความยินดีต่อหายนะของผู้อื่น กล่าวว่า “เฉินอิงถึงกับไปหาคุณหนูซือ หมายจะให้ซือจูช่วยแนะนำคนจากกองพลต้าถงให้เขารู้จักสักคนหนึ่ง”
นี่ก็ถือเป็นวิธีการหนึ่งเช่นกัน!
หวังซีถามอย่างสนใจใคร่รู้ว่า “แล้วคุณหนูซือว่าอย่างไรบ้าง”
หงโฉวยิ้มกว้าง กล่าวว่า “คุณหนูซือไม่สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ยังบอกด้วยว่าชายหญิงไม่ชิดใกล้ หากเฉินอิงมีเรื่องอะไรให้ไปหาบิดาของนางโดยตรง แต่กลับเชิญเฉินอิงออกไปโดยไม่ให้ป้ายชื่อของแม่ทัพใหญ่ซือแก่เขาเลยแม้แต่ใบเดียวเจ้าค่ะ”
ซือจูนิสัยแข็งกระด้างมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หาได้ยากยิ่งที่หวังซีจะชื่นชมซือจูสักครั้งหนึ่ง
นางให้ชิงโฉวนำจดหมายไปส่งให้เฉินลั่ว เล่าเรื่องนี้ให้เฉินลั่วฟัง ทั้งยังให้ชิงโฉวถามเขาด้วยว่า “ควรจับตาดูคนที่มาจากกองพลต้าถงหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจได้เบาะแสอื่นด้วยก็เป็นได้”
ไม่รู้ว่าเฉินลั่วกำลังวุ่นกับอะไรอยู่ ท่าทางยุ่งมาก ไม่ได้มาพบหวังซีด้วยตัวเอง แต่ให้ชิงโฉวนำความมาแจ้งหวังซีว่า “ทราบแล้ว ข้าจะระวังเอาไว้”
หวังซีค่อนข้างเชื่อใจเฉินลั่ว เห็นเขากล่าวเช่นนี้ก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปเสีย คิดว่าควรกระทำตามแผนที่เคยหารือกันก่อนหน้านี้ นั่นก็คือกระจายข่าวออกไปว่าการที่เฉินลั่วได้รับเลือกจากฮ่องเต้ให้เป็นผู้ช่วยขององค์ชายใหญ่นั้น อาจเป็นเพราะต้องการให้เฉินลั่วมีผลงานเคียงข้างมังกร จะได้แต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อในอนาคตได้
นางเขียนจดหมายให้คุณหนูรองอู๋และลู่หลิงคนละฉบับตามลำดับ ขอให้พวกนางช่วยกระจายข่าวด้วยอีกแรง ถัดจากนั้นนางถึงกับเขียนจดหมายให้คุณหนูหกปั๋วด้วยอีกหนึ่งฉบับ ปรึกษาหารือกับนางอย่างอ้อมๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเฉินลั่วจะได้รับแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อหรือไม่
คุณหนูหกปั๋วได้รับจดหมายแล้วขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องที่หวังซีควรใส่ใจ แต่เมื่อนางขบคิดแล้ว ยังคงตอบจดหมายกลับไปให้หวังซีหนึ่งฉบับ
เพียงแต่ว่าเวลานี้ข่าวถูกแพร่กระจายออกไปเรียบร้อยแล้ว มีขุนนางที่เห็นด้วยถวายฎีกาขึ้นไปขอให้แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท
…………………………………………………………………..