เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 188 น่าสงสารเหมือนกัน
หากบอกว่าชิ่งอวิ๋นโหวไม่มีแผนตั้งรับ อย่าว่าแต่ชาวบ้านที่รอดูงิ้วไม่เชื่อเลย แม้แต่องค์ชายรองที่นอนรักษาบาดแผลเพราะถูกฮ่องเต้โบยลงโทษอยู่บนเตียงก็ไม่เชื่อ
ฤดูใบไม้ร่วงของจิงเฉิงนั้นอากาศเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นแล้ว ทว่าบนร่างขององค์ชายรองกลับคลุมด้วยผ้าห่มผืนบางเท่านั้น เขาเอียงศีรษะถามฮองเฮาเหนียงเหนียงที่มาเยี่ยมคนป่วยว่า “ท่านน้ากล่าวเช่นนี้จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ? ให้พวกเราไม่ต้องพูดและไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ต่อให้ในใจรู้สึกได้รับความอยุติธรรมมากเพียงใด ก็ไม่อาจแสดงความขุ่นแค้นออกมาได้แม้แต่ครึ่งเดียว?”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงฉลองพระองค์ด้วยชุดปกติธรรมดากลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่ง บนข้อมือขาวผ่องสวมกำไลมรกตสีเขียวแวววาวดุจน้ำหนึ่งสาย ถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ด้วยน้ำตาคลอเบ้า อยากดูอาการบาดเจ็บของบุตรชายแต่ก็กลัวทำให้โอรสหนาว กล่าวด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากใจว่า “ถูกต้อง! ท่านน้าของเจ้ากล่าวเช่นนั้น ยังย้ำกำชับข้าด้วยว่า หากเรื่องเล็กไม่อดทนจะทำลายแผนการใหญ่ได้ ให้ข้ามาบอกเจ้าด้วยตัวเองให้ได้”
กล่าวจบก็ลูบหน้าผากของบุตรชายเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ กล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “อาการบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือยัง หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง เมื่อใดถึงจะลุกจากเตียงได้”
จะไม่ให้องค์ชายรองรู้สึกขุ่นแค้นได้อย่างไร
ฮ่องเต้ในฐานะเป็นบิดา เห็นฎีกาของตระกูลซือแล้วเรียกเขาไปสอบถามเพียงสองสามประโยคก็สั่งโบยเขาแล้ว หรือเขาที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ผู้นี้จะสู้ขุนนางนอกราชสำนักยศขั้นสามบนที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดผู้หนึ่งไม่ได้
กระนั้นก็ตามก็ยากจะกล่าวเหมือนกัน
องค์ชายใหญ่กำพร้ามารดามาตั้งแต่เด็ก มิใช่ว่าอยากฆ่าก็ฆ่า อยากตีก็ตีหรอกหรือ คนขวางหูขวางตาอย่างเขาจะนับเป็นตัวอะไรได้
องค์ชายรองเอียงศีรษะเช่นนี้แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก จึงนอนลงไปบนหมอนใบใหญ่อีกครั้ง กล่าวว่า “เสด็จแม่ ท่านวางพระทัยเถิด นอกจากสำนักหมอหลวงแล้ว ท่านอาหญิงก็นำยารักษาบาดแผลเข้ามาให้ข้าด้วยเช่นกัน บอกว่าเป็นยาที่สืบทอดกันมาของจวนชิงผิงโหว ยาที่ข้าใช้เป็นยาที่ท่านอาหญิงเอาเข้ามาให้ รู้สึกดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ส่วนเรื่องลุกจากเตียง…
เขาจะลุกจากเตียงไปทำไม
ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกโบยโดยไร้เหตุผลเช่นเขา เกรงว่าล้วนไม่มีใครหายดีอย่างรวดเร็วกระมัง
จะให้เขารีบหายแล้วรีบลุกจากเตียงไปถูกโบยอีกครั้งหรือกระไร
องค์ชายรองนึกถึงเฉินลั่ว
ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
จะว่าไปแล้ว พวกเขาต่างน่าสงสารเหมือนกัน
ต่างมีชาติกำเนิดสูงส่งแต่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากบิดาเหมือนกัน
ทันใดนั้นเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นเฉินลั่วถึงไม่ค่อยอยากสนใจเขานัก
หากเขามีลุงเช่นนี้ผู้หนึ่ง เขาก็ไม่อยากสุงสิงกับลูกพี่ลูกน้องเหล่านี้เหมือนกัน
มีประโยชน์อันใดเล่า
ยามคับขันมีแต่ถูกเล่นงานและถูกละทิ้ง
เขารู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อยกล่าวกับฮองเฮาเหนียงเหนียงว่า “เสด็จแม่ ข้าไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ท่านยังถูกฝ่าบาทกักบริเวณอยู่มิใช่หรือ อย่ามาหาข้าตามพระทัยดีกว่า พวกเราสองแม่ลูกก็เหมือนเป็นตะปูในตาและหนามในเนื้อของผู้อื่น อย่ายั่วยุให้ฝ่าบาททรงกริ้วจะดีกว่า ข้าจะเชื่อฟังท่านน้า ท่านอย่าห่วงข้าเลย ข้าทราบแล้ว รู้หนักเบาและรู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงได้ยินแล้วประหนึ่งหัวใจถูกกรีดแทงด้วยมีด สะอื้นไห้ออกมาเบาๆ “ล้วนเป็นเพราะแม่ไม่ดี ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
“ท่านตรัสเช่นนี้ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองปลอบฮองเฮา “ท่านดูหลินหลาง มิใช่ว่ายังสบายดีหรอกหรือ ข้าจะสู้หลินหลางมิได้เชียวหรือ” ยังกล่าวอีกว่า “หากท่านไม่มีธุระอะไร ก็เชิญท่านอาหญิงเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน ท่านอาหญิงก็เป็นคนชะตาอาภัพผู้หนึ่งเช่นกัน”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงได้ยินเช่นนั้นแล้วบังเกิดความเกลียดชังต่อฮ่องเต้ขึ้นมาอีกหลายส่วน
ที่บุตรชายของนางตกลงมาอยู่ในจุดนี้ได้ก็เป็นเพราะฮ่องเต้
หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก นางไม่มีทางเป็นคนดีแสนซื่อขนาดนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม บุตรชายกล่าวได้ถูกต้อง บัดนี้นางกับจ่างกงจู่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน จึงต้องสมัครสมานสามัคคีกันเอาไว้ ของบางอย่าง อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้คนนอกเอาไปได้
ฮองเฮาเหนียงเหนียงเช็ดน้ำตา กล่าวกับองค์ชายรองเสียงค่อยว่า “สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เจ้าพักฟื้นร่างกายให้สบายใจเถอะ ในวังมีแม่ นอกวังก็มีท่านน้าของเจ้า ข้าไม่ปล่อยให้มีเรื่องเกิดขึ้นกับเจ้าอย่างแน่นอน”
ขณะที่นางกล่าวนั้น ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกขยำอย่างแรงจนเป็นก้อนกลม ทว่าในดวงตากลับมีแววแน่วแน่สายหนึ่งวาบผ่าน
องค์ชายรองมิได้สังเกตเห็น หวังเพียงว่าเสด็จแม่ของเขาจะไม่ต้องเสียพระทัยอีก ได้ยินเช่นนั้นจึงขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ” ไม่หยุด
***
เวลานี้เฉินลั่วกลับนั่งอยู่หน้าเตาไฟเจ็ดดาราในเรือนครัวของสวนร่มหลิว
เตาไฟแดงฉานส่องสะท้อนจนดวงหน้าของเขาแดงปลั่ง ประหนึ่งหยกขาวอาบไล้ด้วยแสงแห่งรุ่งอรุณ ทำให้สว่างกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
ส่วนหวังซียืนอยู่ด้านข้างดูแม่ครัวใช้น้ำตาลทรายคั่วเกาลัดไปด้วย กล่าวกับเฉินลั่วไปด้วยว่า “เกาลัดนี้ดีมาก ถึงแม้ลูกเล็ก แต่สีแดงเรื่อ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเกาลัดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ในภูเขา มีเนื้อเต็มแน่นทุกลูก ต้องมีรสชาติหวานมากอย่างแน่นอน เจ้าไปได้มาจากที่ใด นี่ยังไม่ถึงฤดูกาลของเกาลัดเลยนี่นา”
“รองผู้บังคับบัญชากองพลภายใต้สังกัดข้าผู้หนึ่งมอบให้” เฉินลั่วหยิบเหล็กคีบที่อยู่ข้างเตาไฟขึ้นมาหมายจะเติมฟืนเข้าไปอีกสักหน่อย ทว่าชั่วพริบตานั้นนึกถึงท่าทางตระหนกตกใจและไร้ทางเลือกของแม่ครัวตอนที่เห็นเขาจะเติมฟืนเมื่อครู่แล้ว จำต้องพักความคิดเติมฟืนเอาไว้ ใช้เหล็กคีบดันฟืนในเตาเล็กน้อย พลางกล่าว “อาของเขาเป็นหัวหน้ากองพันคนหนึ่งของค่ายชังผิง ได้ยินว่ามีภูเขาหลายลูก นอกจากเกาลัดป่าแล้ว ยังมีซานจาป่าด้วย ลูกเล็กกว่าซานจาทั่วไป ทว่ารสชาติดียิ่ง เหมาะเอามาทำถังหูลู่ในหน้าหนาวเป็นที่สุด”
เขายังติดหนี้มื้ออาหารหวังซีอยู่อีกหนึ่งมื้อ จึงรู้สึกอยู่ตลอดว่าต้องหาของดีๆ มาให้ถึงจะชดเชยความผิดของตัวเองได้
หวังซีคิดว่าเมื่อถึงฤดูหนาวแล้วไม่รู้ว่าตัวเองยังอยู่จิงเฉิงอยู่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้บรรยากาศกำลังดี และนางยังไม่ได้กำหนดวันเดินทางกลับ คงไม่อาจเอาแต่พูดเรื่องจะจากไปหรือไม่จากไปอยู่ตลอด ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย? สายสัมพันธ์ในกองทัพเมืองหลวงซับซ้อนมากและบุตรหลานของกองทัพรอบข้างก็มีมากมายเป็นพิเศษใช่หรือไม่ เจ้าเป็นขุนนางที่เข้าไปจัดระเบียบองค์กรใหม่ ทว่าเขากลับส่งของท้องถิ่นมาให้เจ้า เป็นเพราะเจ้าบอกว่าไม่รับของขวัญหรือ”
แน่นอนว่าไม่ใช่
ไม่รับของขวัญ มิเท่ากับต้องบาดหมางกับคนจำนวนมากหรอกหรือ
เขาก็แค่ไม่รับของขวัญราคาแพงก็เท่านั้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่อาจระบุเกาลัดลงในรายการของขวัญได้ และเกาลัดนี้ เขาเป็นคนลอบบอกเป็นนัยแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเองว่าตนชอบของกินของเลิศรสของแต่ละท้องที่ รองผู้บังคับบัญชากองพลผู้นั้นถึงได้ลองส่งมาให้สองกระสอบเป็นการหยั่งเชิงดู
บัดนี้กองพลทองคำคงรู้กันหมดแล้วว่าเขาชื่นชอบการกิน เกรงว่าหลังจากนี้ของที่มอบให้เขาคงหลากหลายและมากมายกว่านี้มาก
แต่เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้หวังซีฟัง นางแค่ต้องรับผิดชอบหน้าที่เป็นคนกินก็พอ
เฉินลั่วกล่าว “กองทัพในเมืองหลวงมีเงื่อนไขการรับคนที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึงรูปร่างหน้าตาด้วย คนทางใต้โดยทั่วไปเป็นคนรูปร่างเล็ก ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกจากทางเหนือจึงมีมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจากเส้นชังผิง เยียนซาน และต้าถง มีค่อนข้างมากเป็นพิเศษ”
หวังซีพยักหน้า นึกถึงเรื่องเมื่อครู่ที่เฉินลั่วบอกว่าองค์ชายรองถูกฮ่องเต้สั่งโบยและบัดนี้ยังรักษาบาดแผลอยู่ในวังเรื่องนั้นขึ้นมา จึงถามว่า “เจ้าอยากส่งเกาลัดคั่วไปให้สักหน่อยหรือไม่” กล่าวจบถึงได้รู้สึกตัวว่าพูดผิดไป รีบกล่าวต่อว่า “ข้าลืมไปว่าส่งของกินเข้าไปในวังไม่ได้ นี่หากกินแล้วเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นมา คงยากจะกล่าวให้แน่ชัดได้”
“มีเรื่องเข้มงวดอย่างที่เจ้าว่าที่ไหนกัน” เฉินลั่วหัวเราะออกมา กล่าวว่า “เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่สะดวกส่งไปให้ก็เท่านั้น ก่อนนี้มารดาข้าก็มักจะส่งของกินเข้าไปให้ในวังบ่อยๆ เช่นกัน”
คงเป็นเพราะฮ่องเต้กระมัง
หวังซีจึงถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นคงทำได้แค่ส่งไปให้จวนชิงผิงโหวและจวนเจียงชวนป๋อเท่านั้นแล้ว”
เฉินลั่วชะงักงัน มองหน้าหวังซีกว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
หวังซีถามอย่างสงสัยว่า “เป็นอะไรไปหรือ”
เฉินลั่วหัวเราะ พึมพำกล่าวว่า “ประเดี๋ยวเจ้าห่อให้ข้าเอากลับไปกินด้วยสักหน่อย”
เขาตั้งใจจะมอบให้จ่างกงจู่
จะให้รับอนุคนอุ่นเตียงอะไรนั้นคงเป็นไปไม่ได้
หวังซีไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าแล้วสั่งการคนในครัวเอาไว้ จากนั้นนั่งอยู่หน้าเตากับเฉินลั่ว
ไม่นาน เกาลัดคั่วกระทะแรกก็ออกมาจากเตา
ทั้งสองคนจึงกินเกาลัดในขณะที่ยังร้อนลวกมือไปหลายลูก
หวังซีพรูลมหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ กล่าวว่า “ประเดี๋ยวเจ้าอย่าลืมให้คนส่งไปให้อาหลีด้วยสักถุงหนึ่ง เขาต้องชอบกินอย่างแน่นอน”
เจ้าเด็กน้อยคนนั้น ยามได้กินของอร่อยจะหลับตาพริ้มด้วยท่าทางมีความสุขเหลือจะกล่าว
เฉินลั่วมองหวังซีที่กินอย่างเอร็ดอร่อยจนดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมใจ ประหนึ่งบ่อน้ำที่เติมน้ำเอาไว้จนเต็มนั้นแล้ว รู้สึกอิ่มเอมใจตามไปด้วย เอ่ยถามว่า “พี่ชายใหญ่ของเจ้าจะเดินทางมาจิงเฉิงเมื่อใดหรือ”
หวังซีรีบกลืนเกาลัดในปากลงไป ตอบว่า “บอกว่าอีกไม่กี่วันนี้ อย่างไรก็ตาม เขามักจะเจอกับเหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วนอยู่เสมอ ผู้ใดจะรู้ว่าจะมาถึงตามกำหนดได้หรือไม่”
เฉินลั่วพยักหน้า รู้สึกว่าเรื่องในวังหลวงนั้นต้องจัดการให้แล้วเสร็จโดยเร็วถึงจะถูก หาไม่แล้วไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็เหมือนน้ำเหมือนพระจันทร์ ทำให้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย
หวังซีจึงถามว่า “ต้องการส่งไปที่จวนองค์ชายใหญ่สักหน่อยหรือไม่ ส่งไปให้เขาน่าจะไม่เป็นอะไรกระมัง”
เฉินลั่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตอบว่า “เช่นนั้นก็ส่งไปให้เขาสักหน่อยก็แล้วกัน ส่งไปพร้อมกับขนมอื่นๆ ด้วยอีกสักเล็กน้อย”
เขาเองก็มีเรื่องต้องการย้ำเตือนองค์ชายใหญ่ด้วยพอดี
หวังซีคิดว่านี่เป็นเรื่องของน้ำใจ ส่งไปให้เร็วเรื่องก็จะได้เสร็จสิ้นเร็ว จึงเรียกไป๋กั่วเข้ามา นอกจากเกาลัดแล้ว ยังเลือกขนมขึ้นชื่อของที่บ้านอีกหลายอย่าง บรรจุรวมกันในกล่องแล้วให้นางมอบให้เฉินอวี้
กระทั่งตอนที่เฉินอวี้เข้ามารับเกาลัดนั้น เฉินลั่วก็สั่งการอีกครั้งว่า “เตรียมแบบเดียวกันนี้ส่งไปให้องค์ชายสี่ด้วยหนึ่งชุด”
เฉินลั่วกับองค์ชายสี่มีสัมพันธ์ฉันมิตรเช่นนี้ต่อกันด้วยหรือ เขาได้รับบาดเจ็บ องค์ชายสี่ส่งเพียงขันทีข้างกายมาดูครั้งหนึ่งเท่านั้น ยาสมุนไพรดีๆ ยังไม่ส่งมาให้เลยแม้แต่อย่างเดียว
หวังซีคิด ดวงหน้าเผยความไม่พอใจออกมาให้เห็นหลายส่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้
รอจนเฉินอวี้เดินจากไปแล้ว เฉินลั่วถึงได้กระซิบกล่าวกับหวังซีว่า “ข้าให้คนจับตาดูตระกูลซือเอาไว้ อย่างมากอีกสามถึงสี่วันพวกเขาก็น่าจะเดินทางมาถึงจิงเฉิงแล้ว เจ้ารอดูเถิด พอพวกเขามาถึงจิงเฉิง จะต้องมีเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จะให้มีแค่องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง องค์ชายสามและองค์ชายห้าเท่านั้นที่ลงสนาม ส่วนองค์ชายสี่คิดจะยืนดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ อย่างเดียวนั้นคงเป็นไปไม่ได้”
ตอนเขากล่าวถ้อยคำนี้ นัยน์ตามีแสงเยียบเย็นสายหนึ่งวาบผ่าน ทำให้หวังซีสงสัยว่าตัวเองดูผิดไปหรือไม่
เฉินลั่วเห็นนางไม่พูดอะไร คิดว่านางยังไม่เข้าใจ จึงกล่าวต่อว่า “ข้าสืบมาแน่ชัดแล้ว เดิมทีแล้วฮ่องเต้ประสงค์ให้คุณหนูสี่ถานหมั้นหมายกับองค์ชายเจ็ด แต่ก็รู้สึกว่าถึงแม้คุณหนูถานจะเป็นตัวเลือกที่ดี ทว่าไม่แน่ว่าอาจยังมีคนที่ดีกว่าคุณหนูถานอยู่อีกก็เป็นได้ จึงรู้สึกลังเลพระทัยเล็กน้อย และเพราะความลังเลพระทัยของฮ่องเต้นี้ คุณหนูถานจึงได้หมั้นหมายกับองค์ชายสี่แทน…
…หากในเรื่องนี้ไม่มีการใช้อุบายอะไรแทรกแซงถึงจะเป็นเรื่องแปลก!…
…เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสี่เองก็ไม่ธรรมดา…
…ตอนนี้จวนชิ่งอวิ๋นโหวถูกถามหาความรับผิดชอบ องค์ชายรองถูกโบยลงโทษ เจ้ารอดูเถอะ หลังจากที่ตระกูลซือเดินทางเข้าเมืองหลวงแล้ว ต้องมีฝ่ายร้องเรียนถวายฎีกาขึ้นไปให้ฮ่องเต้แต่งตั้งไท่จื่ออย่างแน่นอน…”
หวังซีกล่าวคล้อยตามสิ่งที่เฉินลั่วคิด “เจ้าหมายความว่าจะมีคนขอให้แต่งตั้งองค์ชายสี่อย่างนั้นหรือ ไม่ถูกต้องนี่นา! ก่อนหน้าองค์ชายสี่ยังมีองค์ชายสามอยู่”
“แน่นอนว่าเป็นการขอแต่งตั้งองค์ชายสาม” เฉินลั่วมองหวังซียิ้มๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าคิดอันใดกัน โอกาสดีปานนี้ แม้นซูเฟยเหนียงเหนียงจะรู้ว่ามีความเสี่ยง แต่ตำแหน่งรัชทายาทเย้ายวนใจคน นางย่อมอยากลองเสี่ยงดูสักครั้ง ฮ่องเต้จะปล่อยให้เหล่าขุนนางบังเกิดความหวังเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร! ถึงเวลาย่อมตำหนิซูเฟย จวนชิ่งอวิ๋นโหวและองค์ชายรองเองก็จะถูกตำหนิไปด้วยเช่นกัน”
“นกกับหอยทะเลาะกัน คนตกปลาได้ประโยชน์” หวังซีขมวดคิ้วมุ่น กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าองค์ชายสี่จะลงมือ?”
เฉินลั่วส่ายศีรษะ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่รู้ว่าเขาจะตัดสินใจเลือกอย่างไร จะติดตามอยู่ข้างวรกายฮ่องเต้เพื่อแสวงหาผลที่ตามมาภายหลังหรือจะฉวยโอกาสนี้ผลักดันตัวเองออกมา แต่ไม่ว่าเขาจะมีแผนการอะไร ในเมื่อข้าเข้าไปอยู่ในกระดานหมากแล้ว ผู้ใดก็อย่าหวังจะวิ่งหนี…
…ฮ่องเต้ประสงค์สลัดพลทหารทิ้งและเก็บนายพลไว้ ข้าจะทำให้เขาเก็บใครไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว!”
ขณะที่เขากล่าวนั้น นัยน์ตาประหนึ่งกลั่นน้ำแข็งออกมาได้ก็ไม่ปาน
หวังซีอดไม่ได้ร้องออกมาเบาๆ เสียงหนึ่งอย่างตื่นตระหนก กล่าวประโยคหนึ่งว่า “เจ้าระมัดระวังสักหน่อย”
การสู้รบตบมือกับราชวงศ์นั้น มีไม่กี่คนที่กลับออกมาได้อย่างปลอดภัย
…………………………………………………………………….