เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 212 ชะดีชะร้าย
เฉินลั่วมองหวังซีนิ่งอย่างลึกล้ำ ไม่กล่าวสิ่งใด
หัวใจของหวังซีกลับเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
หรือว่า หรือว่า…จะเหมือนแม่สามีลูกสะใภ้ของตระกูลเหยียนคู่นั้น? จ่างกงจู่เคยเจอนางโดยบังเอิญมาก่อน? รู้สึกว่านางดีก็เลยอยากทาบทามให้เฉินลั่ว?
เช่น เช่นนั้นในสายตาของจ่างกงจู่นางเองก็นับได้ว่าเป็นคนใช้ได้ทีเดียวกระมัง
ไม่สิ สมควรพูดว่าเป็นคนใช้ได้เป็นอย่างมาก
หาไม่แล้วคงไม่พูดด้วยตัวเองว่าต้องการให้นางเป็นบุตรสะใภ้
หวังซีคิดเช่นนี้แล้ว พลันรู้สึกหัวใจเต็มไปด้วยความเบิกบาน ดวงหน้าไม่เพียงแต้มรอยยิ้มหวานหยดเท่านั้น แม้แต่หลังยังยืดตรงกว่าปกติด้วย แน่นอนว่าดวงหน้าย่อมร้อนผ่าว รู้สึกขัดเขินกว่าปกติมาก
นางกระแอมไอเบาๆ อย่างทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
เฉินลั่วเห็นด้วยตาตัวเองว่าใบหน้าขาวนวลดุจหยกของนางค่อยๆ อาบย้อมด้วยสีแดงเรื่อของสีก้อนเมฆชมพูยามอรุณรุ่ง รู้สึกว่ามันน่าสนใจยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นยังงดงามมากอีกด้วย
นางคงเข้าใจความรู้สึกของเขาแล้วกระมัง
ในเมื่อไม่ปฏิเสธ เช่นนั้นก็แสดงว่าตอบตกลงแล้ว
งานแต่งของบุตรชายหญิงล้วนเป็นคำสั่งของบิดามารดาและการชักนำของแม่สื่อ เขาไม่จำเป็นต้องถามว่าหวังซีรู้สึกอย่างไรเขาก็สัมผัสได้แล้วว่าหวังซีประทับใจในตัวเขามาก ไม่เพียงเคยช่วยชีวิตเขามาก่อนเท่านั้น ยังยอมให้เขามาขอข้าวกินด้วย แต่ความรู้สึกจากสัญชาตญาณ สุดท้ายแล้วก็สู้การแสดงออกที่ชัดเจนไม่ได้
ก็เหมือนกับตอนนี้ หวังซีกระแอมไอเบาๆ ออกมาเสียงหนึ่ง พยายามแสร้งทำท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งมันน่ารักมาก ทำให้เขาอยากแกล้งนางสักหน่อยอย่างอดไม่ได้
“เช่นนั้นเจ้าอย่าลืมว่าเวลาอยู่ต่อหน้ามารดาข้าต้องเชื่อฟังสักหน่อยถึงจะถูก” เฉินลั่วกล่าว ในน้ำเสียงปิดความยินดีเอาไว้ไม่มิด “มารดาข้าผู้นี้ชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ตอนที่ข้าเอ่ยถึงเจ้า ตอนนั้นน้ำเสียงแข็งยิ่ง หากต่อหน้าเจ้านางทำเรื่องอะไรหรือพูดจาอะไรไม่ถูกใจเจ้าไปบ้าง เจ้าก็เห็นแก่หน้าข้า อดทนเอาไว้ อย่ามีเรื่องกับนางตรงๆ ต่อหน้าผู้อื่นก็พอ เสร็จเรื่องแล้วข้าจะไปคุยกับมารดาของข้าเอง…”
หวังซีฟังแล้วดวงหน้าพลันเปลี่ยนสี
“หยุดก่อน” นางกล่าว “เจ้าหมายความว่า เจ้าเป็นคนเอ่ยเรื่องทาบทามขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”
ไม่ใช่เขาแล้วยังมีผู้อื่นอีกอย่างนั้นหรือ
แล้วหวังซีคิดว่าเป็นผู้ใด
สีหน้าของเฉินลั่วเองก็พลันไม่น่าดูเล็กน้อยตามไปด้วย
หวังซีเห็นแล้วด่าตัวเองอยู่ในใจไปกว่าแปดร้อยรอบ
นางก็ว่าแล้ว จู่ๆ จ่างกงจู่จะอยากให้นางเป็นบุตรสะใภ้ได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นความคิดของเฉินลั่วนี่เอง ยังเป็นเฉินลั่วที่ขอร้องแกมบังคับมาอีกด้วย เช่นนี้นางจะต่างอะไรกับสตรีที่ล่อลวงจนผู้อื่นไม่เอาครอบครัว ไม่ต้องการอนาคตและต่อต้านผู้อาวุโสเหล่านั้น? เช่นนี้ผู้ใหญ่จะชอบนางได้อย่างไร
นางไม่ได้เตรียมตัวกับการที่แต่งงานกับใครสักคนแล้ว ยังต้องไปสู้รบตบมือกับญาติพี่น้องของพวกเขาด้วยหรอกนะ
หวังซีมองเฉินลั่วครั้งหนึ่ง
เฉินลั่วที่กำลังโกรธสายตาคมกริบ ดึงหน้าจนตึง ทว่าองคาพยพทั้งห้ากลับยิ่งดูเด่นชัด ยิ่งห้าวหาญมากขึ้น เหมือนกระบี่ที่ถูกดึงออกจากฝัก เป็นความหล่อเหลาที่ดูดกลืนวิญญาณคนได้
หวังซีอดดูแคลนตัวเองไม่ได้
ทว่าก็อดคิดไม่ได้เช่นกันว่า ได้บุรุษหล่อเหล่าขนาดนี้มาเป็นสามีของตัวเอง ให้กำเนิดลูกน้อยมาสักคนหนึ่งจะต้องน่ารักน่าชังมากแน่ๆ!
พอได้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้ว สมองของนางก็หยุดคิดไปเรื่อยๆ ไม่ได้
สามีภรรยา ภายภาคหน้าทั้งสองคนต้องใช้ชีวิตด้วยกัน กินอยู่ร่วมกัน ถ้าหน้าตาไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจกัน เช่นนั้นคงเป็นทุกข์ไม่น้อย
หากได้อยู่กับเฉินลั่ว อย่างน้อยหน้าตาก็ถูกตาต้องใจ เช่นนั้นก็น่าจะมีชีวิตที่มีความสุขอยู่บ้าง
ต่อหน้าจ่างกงจู่เขาแข็งกร้าวมาก ต้องเป็นเพราะจ่างกงจู่รู้สึกว่านางไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมเป็นแน่
เช่นนั้นเพื่อเฉินลั่วแล้วควรต่อต้านจ่างกงจู่ จะคุ้มค่าหรือไม่?
หวังซีสับสนยิ่งนัก
เฉินลั่วโกรธเหลือจะกล่าว
สรุปแล้วการที่เขาเป็นคนขอให้มารดาเขาไปทาบทามเรื่องงานแต่ง สำหรับหวังซีแล้วเป็นเรื่องที่ทำให้นางลำบากใจอย่างนั้นหรือ
มีสามีรักใคร่ นางยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก
เฉินลั่วคิดแล้วก็กระโดดพรวดลุกขึ้นมา
หวังซีตกใจมาก หลุดปากถามไปว่า “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
เฉินลั่วอยากสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองทำเช่นนั้นดูไร้ความอดทนและไร้ความคิดมากเกินไป แต่จะให้เขาทำหน้ายิ้มแย้มกับหวังซีต่อไป ก็ออกจะยากเกินไปเหมือนกัน
เขาได้แต่กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเรียกข้ามาเพราะเรื่องนี้หรือ”
หวังซีมองเขาอย่างประหลาดใจ ถามว่า “แล้วเรื่องนี้ไม่สำคัญหรือ”
สำหรับหวังซี นี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ แต่สำหรับเฉินลั่ว กลับดูไม่สำคัญขนาดนั้น
เฉินลั่วเข้าใจความหมายของนางแล้ว กล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง จะไม่ให้คนพวกนั้นวิพากษ์วิจารณ์เจ้าอีก”
แต่เขายังคงรู้สึกอายเล็กน้อย คิดในใจว่า เขาเป็นคนขอแต่งงาน และเขาเองก็เป็นคนถูกปฏิเสธ หากมารดาเขารู้ต้องหัวเราะจนฟันร่วงแน่ เขาจะคุยกับมารดาเขาอย่างไรดีนะ?
เฉินลั่วขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิดยุ่งยากใจ
หวังซีพยักหน้า รู้สึกว่าเช่นนี้ดีที่สุด
ผู้ใดเป็นคนก่อก็ให้ผู้นั้นเป็นคนจัดการเก็บกวาด นี่สมเหตุสมผลและยุติธรรมที่สุดแล้ว
เฉินลั่วกล่าวอย่างกระด้างเสียงหนึ่งว่า “ข้าขอตัว” จากนั้นก็ออกจากลานบ้านหลักไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันมามองหวังซีแม้แต่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่ให้หวังซีไปส่งเขาเหมือนปกติอีกด้วย
หวังซีงุนงง
นี่นางไปสะกิดต่อมตรงไหนของเฉินลั่วหรือเปล่านะ?
เหตุใดเขาต้องโกรธขนาดนั้นด้วย
หวังซีนึกถึงคำที่ท่านปู่สอนสั่งนาง มีอะไรที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ควรจะพูดให้กระจ่างอย่างทันท่วงทีเป็นดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย นอกจากนี้อาจทำให้ความเข้าใจผิดนั้นยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจะสูญเสียมิตรคู่คิดดีๆ เสียผู้จัดการร้านดีๆ หรือเสียพันธมิตรดีๆ ไปได้
นางกับเฉินลั่วก็นับได้ว่าเป็นพันธมิตรกันกระมัง
หวังซีถามตัวเอง แล้วก็ตรึกตรองครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็วิ่งตามออกไป
ส่วนเฉินลั่วพอเดินออกมาจากเรือนหลักก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา
ถ้าเขาสู่ของหวังซีไม่ได้ ต่อไปคงมาขอข้าวกินไม่ได้อีกแล้วกระมัง
ที่สำคัญที่สุดก็คือหวังซีอาจเดินทางกลับสู่จง อยู่ในที่ที่เขามองไม่เห็นและแต่งงานกับผู้อื่น อาจส่งยิ้มหัวเราะกับผู้อื่น จัดหาของกินจากทุกที่มาทำให้ผู้อื่น…ยังอาจวางแผนการเพื่ออนาคตของผู้อื่นด้วย
แค่คิดเฉินลั่วก็รู้สึกไม่ดีไปทั้งร่างแล้ว
เขาหยุดฝีเท้าลง
เหตุใดหวังซีถึงไม่ยอม?
เพราะจ่างกงจู่หรือ?
กลัวว่ามารดาของเขาจะกลั่นแกล้งนาง?
แต่เขาก็บอกแล้วว่า มีเรื่องอะไรให้นางไม่ต้องปะทะกับมารดาเขาโดยตรง ให้กลับมาบอกเขา เขาจะแก้ปัญหาให้เอง
เช่นนั้นเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้นะ?
มิใช่ว่านางเคยแอบส่องตนรำกระบี่หรอกหรือ
เช่นนั้นหลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เฉินลั่วเริ่มหวนรำลึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองคนติดต่อกันแล้วทีละเรื่องๆ
หวังซีเห็นเฉินลั่วยืนนิ่งอยู่ข้างกำแพงใต้ต้นหลิว ไม่ขยับกว่าครู่ใหญ่
มีเสียงเครื่องดนตรีซือจู๋ลอยมาให้ได้ยิน ทว่าเขากลับยืนอยู่เพียงลำพัง
วันนี้เป็นวันแต่งงานของเฉินอิง
เสียงอึกทึกครื้นเครงนั่น ยิ่งทำให้เฉินลั่วดูเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น
จมูกของหวังซีเสียวแปลบ รู้สึกว่าเฉินลั่วน่าสงสารเล็กน้อย
นางเรียกเฉินลั่วเสียงหนึ่ง
เฉินลั่วหมุนกายกลับมา
คิ้วโก่งโค้งของหวังซีขมวดมุ่นเล็กน้อย ในดวงตากระจ่างใสเจือความเป็นห่วงเอาไว้
นางกล่าว “นี่เจ้าเป็นอะไรไปหรือ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าเจ้าเหมือนมีเรื่องอยากพูดแต่ยังพูดไม่จบ เจ้าเองก็รู้จักข้าผู้นี้ดี กลัวเวลาผู้อื่นพูดอะไรเพียงครึ่งๆ กลางๆ เป็นที่สุด ข้าอาจจะพลิกตัวไปมานอนไม่หลับไปกว่าครึ่งค่อนคืน เจ้าไม่ควรทำเช่นนี้ ทำเกินไปแล้วกระมัง”
กล่าวถึงประโยคสุดท้าย นางยู่ปากเล็กน้อย น้ำเสียงเจือการพร่ำบ่นอย่างเอาแต่ใจอยู่ด้วยหลายส่วน
เฉินลั่วก้มหน้าลงกลั้นขำเอาไว้อย่างยากเย็น
จริงด้วย! เหตุใดเขาต้องไม่พอใจด้วย หวังซีเป็นคนตรงไปตรงมาและชอบเจื้อยแจ้วผู้หนึ่ง ให้นางเดาไปเดามาหรืออยากให้นางเลิกพูดนั้น เกรงว่าคงยากอยู่บ้างกระมัง
นี่เป็นสาเหตุที่เขาชอบนางไม่ใช่หรือ
เฉินลั่วพลันรู้สึกว่าท้องฟ้าของเขากลับมาสว่างไสวอีกครั้ง
เขาเดินเข้าไปหาหวังซีช้าๆ กล่าวว่า “เจ้าไม่ยินดีแต่งกับข้าหรือ ไม่ยินดีกับการทาบทามครั้งนี้หรือ”
“หา!” หวังซีอ้าปากค้าง
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เหตุใดเฉินลั่วถึงถามอย่างมั่นใจเช่นนี้
ผู้ใดบอกกันว่านางไม่ยินดีกับการทาบทามในครั้งนี้ และไม่ยินดีแต่งกับเขา?
แต่นางก็ยังคิดไม่ตกจริงๆ ว่าควรตอบรับการทาบทามนี้หรือไม่ ควรแต่งกับเขาหรือไม่!
หวังซีอยากถูจมูกเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าเฉินลั่วเช่นนี้มันดูเสียกิริยาไปหน่อย จึงกระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง อยากพูดอะไรสักหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเอ่ยปากอย่างไรหรือยืนอยู่ตรงไหนดี
เฉินลั่วเองก็ไม่รีบร้อน
เขาเคยได้รับความสนใจจากเด็กสาวมามากมาย เด็กสาวเหล่านั้นไม่ว่าในใจจะรู้สึกอย่างไร ทว่าอากัปกิริยาภายนอกกลับพยายามแสดงออกมาอย่างเป็นปกติเหมือนไม่มีเรื่องเช่นนั้นอยู่
แม้นกล่าวว่าหวังซีเป็นคนฉลาดปราดเปรียว แต่เรื่องเช่นนี้นางก็คงไม่อาจตอบได้ง่ายๆ เหมือนกันกระมัง
หาไม่แล้วก่อนหน้านี้นางคงไม่หน้าแดง
เฉินลั่วคิด ยืนมองหวังซีนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
หวังซีที่อยู่ในสายตาของเขาสงบลงมาในไม่ช้า เริ่มตรึกตรองสิ่งที่เฉินลั่วเสนอมาอย่างจริงจัง
เรื่องงานแต่งของนาง คนที่บ้านย่อมเคารพการตัดสินใจของนาง จึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องคนที่บ้าน สิ่งสำคัญอยู่ที่นางเองมากกว่าว่าอยากแต่งกับเฉินลั่วหรือไม่ ยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตายกับเขาหรือไม่
หวังซีรู้สึกว่าให้นางตอบตอนนี้ทันทีออกจะเป็นเรื่องยากเล็กน้อย
เฉินลั่วกับนางเข้ากันได้ดี นอกจากนี้เขายังหน้าตาหล่อเหลา แต่งกับคนเช่นนี้ย่อมดีอยู่แล้ว แต่ระหว่างพวกเขานั้นนอกจากแบ่งแยกกันด้วยสถานะครอบครัวแล้ว ยังมีเรื่องแย่งชิงฐานะภรรยาเอกขวางเอาไว้อีกหนึ่งอย่างด้วย
นางไม่อยากให้ตัวเองลำบากต้องไปพะเน้าพะนอผู้อื่น
ยิ่งไม่อยากให้คนที่บ้านลำบากเพราะเฉินลั่วไปด้วย
แต่ให้นางยอมแพ้ไปเช่นนี้…
แค่คิดนางก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างท่วมท้นไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
เหตุใดนางถึงรู้สึกเป็นทุกข์
หวังซีเองก็บอกไม่ได้ แต่ที่บ้านสอนนางมาว่า ยิ่งเป็นเวลาเช่นนี้ ยิ่งไม่ควรตัดสินใจ ยิ่งต้องสงบและมีเหตุผล
ระหว่างที่ยังสับสนนั้น นางกล่าวกับเฉินลั่วอย่างจริงใจว่า “ให้ข้าไปตรึกตรองสักสองสามวันก่อนได้หรือไม่ การแต่งงานคือการดองกันเพื่อประโยชน์ของทั้งสองครอบครัว ข้าไม่อาจตอบเจ้าในเวลานี้ได้”
ความมีเหตุผลของเฉินลั่วกลับมาแล้ว รู้สึกว่าหวังซีกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก ตอบว่า “ย่อมได้! ข้าจะรอข่าวจากเจ้า”
หวังซีพยักหน้า สัมผัสได้ว่าเฉินลั่วเหมือนจะกลับมาอารมณ์ดีแล้ว
เฉินลั่วเดินออกจากประตูหลังไป
หวังซีนั่งอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง มองต้นไม้เขียวขจีและดอกไม้สีสันสดใสในลานบ้าน มองสวนร่มหลิวที่สุกใสสวยงามประหนึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิทั้งที่อยู่ในหน้าหนาว เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสความรู้สึกยุ่งยากใจกับการต้องเลือกอะไรสักอย่าง
นางกินข้าวเย็นไปเพียงนิดเดียว
หวังหมัวมัวถามนางอย่างเป็นห่วงว่า “ใต้เท้าเฉินว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ ให้ข้าไปหาหลงจู๊ใหญ่อีกครั้งดีหรือไม่ ให้คุณชายใหญ่เดินทางมาจิงเฉิงเร็วขึ้นอีกสักหน่อย!”
ในความคิดของนาง หวังเฉินจัดการได้ทุกอย่าง
หวังซีส่ายศีรษะ จับมือหวังหมัวมัวไว้เล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟัง
หวังหมัวมัวตะลึงงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา รอจนนางมั่นใจว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงแน่ๆ แล้ว นางก็ลุกขึ้นมาอย่างเบิกบานใจ กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งจริงๆ คุณชายใหญ่มาแล้วก็ยังไม่พอ ต้องบอกนายท่าน นายท่านผู้เฒ่าและนายหญิงผู้เฒ่าด้วยถึงจะถูก”
จากนั้นก็ดึงหวังซีไปมองสำรวจขึ้นลง ความปลาบปลื้มยินดีเอ่อล้นอยู่บนใบหน้า “คุณหนูใหญ่ของพวกเราโตแล้วจริงๆ บ้านไหนมีบุตรสาวย่อมมีคนมาสู่ขอเป็นร้อย แม้แต่คุณชายรองจวนเจิ้นกั๋วกงก็ยังเอ่ยปากเรื่องทาบทามกับผู้อาวุโสของพวกเขาด้วยตัวเอง นี่ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ!”
หวังซีประหลาดใจยิ่งกว่าหวังหมัวมัวเสียอีก ถามว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกหรือ”
หวังหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กโง่ มีใต้เท้าเฉินมาทาบทาม ผู้ใดยังจะกล้าว่าท่านไม่ดีอีกบ้าง! ถึงแม้ว่าเรื่องของคุณชายหกปั๋วจะถูกจัดการไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ตกไปเป็นขี้ปากของชาวบ้าน ถูกผู้คนหัวเราะเยาะไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกเมื่อไรก็ได้ รอพวกเราปฏิเสธใต้เท้าเฉินแล้ว คุณหนู ท่านคอยดูเถิดเจ้าค่ะ ทีนี้ไม่ว่าท่านจะแต่งให้ผู้ใด ตระกูลสามีในอนาคตล้วนไม่มีใครกล้ารังแกท่านแล้วอย่างแน่นอน”
……………………………………………………………..