เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 216 เอาชนะใจ
หลิวจ้งรีบกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเราเตรียมการเอาไว้อย่างดี จะเกิดข้อผิดพลาดกับงานของใครก็ได้แต่ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดกับงานของตระกูลหวังอย่างแน่นอน! เป็นคุณชายใหญ่สกุลหวังเองที่พอได้ยินเรื่องงานแต่งของคุณหนูหวังแล้ว ก็ทิ้งเรื่องในมือเร่งเดินทางมาจิงเฉิงทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ปล่อยให้ล่าช้าแม้แต่เค่อเดียว”
นี่เป็นเรื่องที่ผู้ใดก็คาดไม่ถึง
การส่งเสบียงให้จวนชิงผิงโหว มิใช่เรื่องทำเงินค้ากำไรเท่านั้น แต่นับจากนี้ไปจะได้ติดต่อกับราชสำนักด้วย ภายภาคหน้ามีโอกาสทำเงินได้มากกว่านี้อีก
ไม่คิดว่าพอหวังเฉินบอกทิ้งก็ทิ้งไปเลยจริงๆ เพิ่งจะเจรจากันได้แค่ครึ่งเดียว เขาก็วิ่งหนีมาเสียแล้ว
หากมิใช่เพราะวันนี้ได้รับข่าวจากม้าด่วนทางด้านโน้นตั้งแต่เช้า เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าหวังเฉินมาถึงจิงเฉิงแล้ว
เขารู้สึกว่าการที่เฉินลั่วอยากสู่ขอหวังซีนั้นคงเป็นเรื่องไม่ง่ายแล้ว
หลิวจิ้งอดลูบศีรษะไม่ได้ กล่าวอย่างตรึกตรองว่า “เรื่องงานแต่งของคุณหนูหวัง เกรงว่าคงต้องใช้เวลาถกมากกว่านี้ ตระกูลหวังให้ความสำคัญกับคุณหนูหวังมากขนาดนี้ ไม่มีทางปล่อยให้นางแต่งออกไปอย่างไม่เอาใจใส่แน่นอน”
ไม่แน่ว่าผู้อื่นก็อาจมีเงื่อนไขของผู้อื่นด้วยก็ได้ หากเฉินลั่วไม่ตรงกับเงื่อนไขของผู้อื่น ต่อให้มีพื้นเพครอบครัวดีเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
เฉินลั่วเองก็รู้สึกเช่นกันว่าสถานการณ์ค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อย
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง
หลิวจ้งไม่กล่าวอะไร นอกจากอยากหัวเราะ
เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วจะชอบคุณหนูหวัง ยังฝ่าฟันไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมเหลียวหลังด้วย
ว่ากันตามจริงแล้ว คุณหนูหวังกับเฉินลั่วไม่ค่อยเหมาะสมกันนัก
สถานะของตระกูลหวังต่ำไปเล็กน้อย นอกจากนี้ยังช่วยอะไรเฉินลั่วไม่ได้ในเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักอีกด้วย แต่ตระกูลหลิวของพวกเขามีชีวิตอย่างยากลำบากลุ่มๆ ดอนๆ มานานหลายปี มีเรื่องในโลกมนุษย์อะไรที่ยังไม่เคยประสบมาอีกบ้าง เขาจึงไม่คิดว่าสถานะครอบครัวเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการดองกันของทั้งสองตระกูล กลัวก็แต่ว่าผู้อื่นจะไม่คิดเช่นนี้
แต่เขาก็ไม่คิดจะหว่านล้อมเฉินลั่ว
บางเรื่อง ต้องตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองถึงจะดี
หลิวจ้งค่อยๆ จิบชาอย่างสบายอารมณ์ ได้ยินเฉินลั่วพึมพำกล่าวกับตัวเองอยู่ตรงนั้นว่า “อยู่ไกลกันขนาดนี้ เขารู้ได้อย่างไรนะ ดูแล้วแผนของข้ายังใช้ไม่ได้ ต้องคิดแผนใหม่…แม้แต่การค้าหวังเฉินก็ไม่สนใจ แม้แต่เงินก็ไม่ต้องการแล้ว นั่นเป็นเพราะเห็นความสำคัญของญาติพี่น้องมากกว่าเงินทอง…ไม่กลัวว่าเขาจะเก่งกาจ กลัวเขาไม่มีจุดอ่อนมากกว่า”
ยิ่งคิดเฉินลั่วก็ยิ่งรู้สึกว่าหวังเฉินเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว
แม้จะเป็นพ่อค้าแต่ก็รู้จักละเว้นบางสิ่งเพื่อให้บรรลุอีกสิ่งหนึ่ง ยอมทิ้งโอกาสทำเงินมหาศาลเพื่อพี่น้องในครอบครัว ดีกว่าคนที่ยอมขายคนในครอบครัวเพื่อเงินทองร้อยเท่าพันเท่า
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็รู้สึกค่อยๆ สงบใจลงมาได้
หลิวจ้งก้มหน้าลงหัวเราะเงียบๆ
นับตั้งแต่ที่เฉินลั่วล้มเลิกความคิดจะฟื้นความสัมพันธ์กับฮ่องเต้เป็นต้นมา เขาก็เปลี่ยนไปมาก
เปลี่ยนเป็นวางแผนเก่งมากขึ้น รวมถึงสุขุมและควบคุมอารมณ์เก่งมากขึ้นด้วย
ถึงเขาจะดีใจที่เฉินลั่วเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน กลัวว่าเมื่อปักษาตายหมดแล้วคันธนูจะไม่สำคัญอีกต่อไป อนาคตของตนอาจไม่มีจุดจบที่ดีนัก
ไม่คิดว่าเฉินลั่วกลับยังรับมือกับเรื่องของหวังซีเหมือนเมื่อก่อน
คนที่เห็นใจผู้อื่นย่อมทำให้คนรู้สึกน่าเข้าหาและควรค่าแก่การไว้ใจมากกว่าคนจิตใจเย็นชา
หลิวจ้งตัดสินใจช่วยเฉินลั่ว
เขากระแอมไอดังๆ เสียงหนึ่ง กำลังจะเสนอความคิดให้เฉินลั่ว เฉินลั่วกลับหมุนกายมาตามเสียงไอของเขา มองเขาด้วยแววตาระยิบระยับกล่าวขึ้นก่อนว่า “ข้าคิดว่าผู้ใดเป็นคนผูกผู้นั้นก็ต้องเป็นคนแก้ แทนที่พวกเราจะคิดแผนรับมือคุณชายใหญ่สกุลหวังเช่นนี้ ไม่สู้ไปเยี่ยมเขาแล้วอธิบายให้เขาเข้าใจตรงๆ ไปเลยดีกว่า ทำให้เขาวางใจลงได้ด้วย”
ยอมให้หวังซีแต่งกับเขาอย่างวางใจ
หลิวจ้งตะลึงงัน
เฉินลั่วตะโกนเรียกเฉินอวี้อย่างร่าเริง ให้เขาช่วยเปลี่ยนอาภรณ์ให้ตน เพื่อไปคารวะหวังเฉิง
เฉินอวี้ถามอย่างไม่แน่ใจว่า “เช่นนี้เหมาะสมหรือขอรับ”
ปกติต้องส่งป้ายชื่อไปก่อน จากนั้นค่อยไปคารวะทีหลัง
“มีอะไรไม่เหมาะสม” เฉินลั่วหน้าเปี่ยมไปความยินดี เนื่องจากดวงหน้าเผยความมั่นใจออกมาอย่างเต็มเปี่ยมทำให้เขาดูหล่อเหลามากเป็นพิเศษ “ข้าต้องทำให้แตกต่างไปจากปกติ เช่นนี้ถึงจะดึงความสนใจของคนสกุลหวังได้!”
เฉินอวี้ไม่กล้าถามมาก
หลิวจ้งพอจะคาดเดาได้หลายส่วน
เฉินลั่วบอกหลิวจ้งว่า “เจ้าไปกับข้าด้วย ตอนที่ข้าคุยกับคุณชายใหญ่สกุลหวัง เจ้าไปหยั่งเชิงดูท่าทีของหลงจู๊ใหญ่หวัง ดูว่าพวกเขากังวลเรื่องอะไร”
หลิวจ้งพยักหน้า
เฉินลั่วพาเขาไปยังร้านค้าในจิงเฉิงของตระกูลหวัง
หวังเฉินเพิ่งจะได้พลิกเปิดสมุดบัญชี คนยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็ได้ยินว่าเฉินลั่วมาหา บ่าวชายเด็กผู้นั้นยังกล่าวด้วยว่า “ใต้เท้าเฉินยืนรออยู่หน้าประตูขอรับ!”
ตระกูลหวังทำการค้า ยึดถือ ‘ความปรองดองเป็นหลัก’ หากเป็นเวลาปกติ หวังเฉินคงทิ้งสมุดบัญชีออกไปต้อนรับคนเข้ามาด้วยตัวเองไปนานแล้ว แต่จ่างกงจู่ผู้นั้นคิดจะหาประโยชน์จากหวังซีอยู่มิใช่หรือ
สู่ขอภรรยาต่ำศักดิ์กว่า แต่งสามีสูงศักดิ์กว่า
ไม่ว่างานแต่งของหวังซีจะเป็นจ่างกงจู่ยินยอมฝ่ายเดียว หรือเฉินลั่วเองก็เห็นดีด้วยก็ตาม บัดนี้ในฐานะคนสกุลหวัง และยังเป็นพี่ชายที่ต้องตัดสินใจแทนหวังซีด้วย เขาจึงไม่อาจทำลายศักดิ์ศรีของครอบครัวได้
เขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เอาเทียบมาให้ข้าดูก่อน”
บ่าวชายผู้นั้นรีบยื่นเทียบส่งให้เขา
หวังเฉิงกวาดตาอ่านครั้งหนึ่ง ในเทียบใช้ภาษาอย่างสุภาพ นับเป็นการให้เกียรติ
เขามั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ถือเทียบนั้นเอาไว้ในมือกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้สั่งการบ่าวชายคนนั้นไปว่า “บอกว่าข้ากำลังคุยกับหลงจู๊ใหญ่และคนอื่นๆ อยู่ ต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วยามถึงจะมีเวลาว่าง ขอให้ใต้เท้าเฉินมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ถึงเวลาข้าจะจัดอาหารต้อนรับเขา”
บ่าวชายผู้นั้นรีบวิ่งออกไปให้คำตอบเฉินลั่ว
เฉินลั่วมาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เดิมทีก็ถือว่าไม่ค่อยมีมารยาทนัก แต่หวังเฉินเพิกเฉยเขาเช่นนี้ ก็ถือว่าไม่มีมารยาทเช่นกัน
นี่เป็นเพราะรู้ท่าทีของเขาแล้ว ฉะนั้นถึงได้กลั่นแกล้งเขาอย่างนั้นหรือ
เฉินลั่วหัวเราะฮ่า กล่าวกับบ่าวชายเด็กผู้นั้นว่า “ได้! เจ้าไปบอกคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าสักคำว่าข้าจะรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
ร้านที่จิงเฉิงของตระกูลหวังตั้งอยู่กลางใจเมือง ตัวเขาเองก็เป็นคนคุ้นหน้าของคนที่นี่ผู้หนึ่ง ยืนอยู่ตรงนี้สักสองชั่วยาม ถึงเวลาหากตระกูลหวังไม่ให้หวังซีแต่งกับเขา ก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
เฉินลั่วยินดีทำตามเป็นอย่างยิ่ง
หวังเฉินปล่อยให้เฉินลั่วรอไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ได้สติกลับมา
เขาลอบร้องออกมาว่าฉิบหายแล้ว
แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วจะหน้าไม่อายขนาดนี้ และยอมก้มศีรษะลงให้เช่นนี้ด้วย
เขาอดสงสัยไม่ได้ถามหลงจู๊ใหญ่ว่า “ช่วงนี้เฉินลั่วเงินขาดมือหรือ”
“น่าจะไม่นะขอรับ!” หลงจู๊ใหญ่ไม่กล้ารับประกัน กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ไม่เคยได้ยินว่าใต้เท้าเฉินกู้เงินประทับตรามาก่อน แล้วก็ไม่เคยเห็นเขาค้างชำระมาก่อนด้วย”
แน่นอน ถ้าเฉินลั่วมีปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นติดหนี้กรมคลัง ก็ใช่ว่าพวกเขาจะสืบให้กระจ่างไม่ได้ เพียงแต่ว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปเสียเวลากับเรื่องนี้เท่านั้น
หวังเฉินสั่งการหลงจู๊ใหญ่ว่า “เจ้ารีบไปสืบความมาให้กระจ่าง”
จากนั้นเรียกบ่าวชายเด็กผู้หนึ่งเข้ามา ให้เขาไปเชิญเฉินลั่วเข้ามานั่งข้างใน ส่วนตัวเองจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องบัญชีไปต้อนรับเฉินลั่วราวกับไม่รู้เรื่องอะไร
เฉินลั่วมองสำรวจหวังเฉิน นึกถึงใบหน้างดงามของหวังซีขึ้นมา คาดเดาอยู่ในใจว่าหวังเฉินเหมือนผู้ใดกัน? ไม่รู้ว่าพี่ชายรองของหวังซีหน้าตาเป็นอย่างไร ดูจากรูปลักษณ์ของหวังซีแล้วก็ไม่ค่อยเหมือนคนจวนหย่งเฉิงโหวสักเท่าใดนัก
ไม่รู้ว่านางหน้าตาเหมือนใคร
เฉินลั่วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า ทำความเคารพหวังเฉินอย่างให้เกียรติ กล่าวกับหวังเฉินถึงเรื่องที่เขาเดินทางมาจิงเฉิงอย่างตรงประเด็นว่า “เดิมคิดว่าท่านจะอยู่ที่เจียงหนานอีกสักระยะหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าท่านจะเข้าเมืองหลวงเร็วขนาดนี้ เรื่องงานของกรมกลาโหมทางด้านโน้น ต้องการให้ข้าหาใครสักคนมาช่วยพูดให้ท่านหรือไม่”
หวังเฉินทิ้งการค้าที่เจรจาได้เพียงครึ่งเดียวเอาไว้แล้ววิ่งหนีมาเช่นนี้ ย่อมมีผลกระทบต่อการค้าที่ร่วมมือกับจวนชิงผิงโหว อย่างน้อยความน่าเชื่อถือก็ลดลงไปมาก
หวังเฉินได้ยินแล้วรู้สึกเข็ดฟันเล็กน้อย
นี่หมายความว่าไม่คิดจะปิดบังแล้ว ที่ครอบครัวพวกเขาได้ร่วมทำการค้ากับจวนชิงผิงโหวในครั้งนี้ มีความเกี่ยวพันกับเฉินลั่วอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉินลั่วผู้นี้มีแผนการอะไร ถึงต้องถ่วงเขาไว้ที่เจิ้นเจียงตั้งแต่เนิ่นๆ ขนาดนั้น
เขาเลิกคิ้วขึ้น กล่าวอย่างไม่ปิดบังว่า “การค้าไม่ใช่ปัญหาอะไร ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล เสียงานนี้ไปก็ยังมีงานหน้า นอกจากนี้ครอบครัวพวกข้าก็ไม่ได้ร่ำรวยที่สุด เหตุใดต้องกระเสือกกระสนขนาดนั้นด้วย ใต้เท้าเฉินมากกว่า มารดาท่านพูดกับคนภายนอกว่าอยากให้น้องสาวของข้าไปเป็นบุตรสะใภ้ของนาง ไม่รู้ว่าเป็นแค่ข่าวลือหรือเรื่องจริง จ่างกงจู่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ต้องรู้ว่า ชื่อเสียงของสตรีมิใช่เรื่องตลก บ่อยไปก็เป็นเรื่องที่ผู้อื่นเอาไปพูดหนึ่งประโยคสองประโยคเหมือนกัน”
เฉินลั่วได้ยินแล้วรีบลุกขึ้นหันไปโค้งคำนับหวังเฉิน กล่าวอย่างขออภัยว่า “เรื่องนี้เป็นเพราะมารดาข้าควบคุมคนข้างกายได้ไม่ดีพอ ข้ากลับไปจะลงโทษอย่างเข้มงวดแน่นอน แต่มารดาข้าก็ชอบคุณหนูหวังจริงๆ ประสงค์สู่ขอคุณหนูสกุลหวังให้ข้า เพียงแต่ว่าคนจวนหย่งเฉิงโหวมากความ มารดาข้าตั้งใจว่ารอท่านเข้าเมืองหลวงแล้วค่อยหารือเรื่องนี้กับท่านอีกครั้ง…
…ท่านเข้าเมืองหลวงก่อนกำหนด ก็นับเป็นเรื่องประจวบเหมาะพอดี! จากความหมายของมารดาข้าแล้ว ในสองสามวันนี้อยากเชิญท่านกินข้าวสักมื้อ ท่านคิดว่าท่านพอจะมีเวลาว่างช่วงไหนบ้าง”
หวังเฉินตะลึงงันไปกับถ้อยคำดังกล่าว
การแต่งงานถือเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง ปกติแล้วทุกคนจะเจ้ามาหาข้าข้าไปหาเจ้าเพื่อเจรจากันหลายครั้ง
แต่เฉินลั่วกลับกุลีกุจอเอาเรื่องนี้ออกมาพูดอย่างกระตือรือร้น
หรือว่าจ่างกงจู่จะโปรดหวังซีมากจริงๆ? ไม่อย่างนั้นเขาที่เพิ่งก้าวเท้ามาเหยียบจิงเฉิง เฉินลั่วจะตามมาหาแล้วได้อย่างไร…
เฉินลั่วกลับคิดคำนวณอยู่ในใจ ไม่ว่าหลังจากนี้อีกไม่กี่วันมารดาเขาต้องทำอะไรก็ตาม ก็ต้องเชิญหวังเฉินกินข้าวสักมื้อหนึ่งก่อนถึงจะใช้ได้ หากจัดการเรื่องหมั้นหมายให้เขาเสร็จก่อนปีใหม่ได้เป็นดีที่สุด
เขาจึงเชื้อเชิญหวังเฉินอย่างกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น “ตามความคิดของมารดาข้าแล้ว อยากจัดงานเลี้ยงท่านที่จวนจ่างกงจู่ อย่างไรก็ตาม หากท่านมีสถานที่ที่ดีกว่าก็ย่อมได้ ถึงเวลาพวกเราไปเจอกันที่นั่นก็ไม่ต่างกัน”
หวังเฉินมุมปากกระตุกเล็กน้อย
นี่เขาเพิ่งจะถามเรื่องานแต่งเอง เฉินลั่วก็กระโดดไปถึงเรื่องให้สองครอบครัวพบหน้ากันแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเฉินลั่วผู้นี้ชอบหวังซีมาก
หวังเฉินถึงได้มองสำรวจเฉินลั่วอย่างละเอียด
ก่อนหน้านี้แค่รู้สึกว่าเขาหล่อเหลา เปี่ยมไปด้วยความเก่งกล้าของวีรบุรุษ เป็นบุรุษรูปงามที่พบเห็นได้น้อยผู้หนึ่ง เวลานี้มองอีกครั้งแล้วกลับพบว่าเขาเหมือนนกอินทรีที่กางปีกพร้อมทะยานขึ้นสูง แต่อยู่ต่อหน้าเขาพยายามเก็บปีกเอาไว้เพื่อขอให้เขายอมรับ
เวลาใดที่ทำให้บุรุษเป็นเช่นนี้ได้?
แน่นอนว่าย่อมเป็นตอนเผชิญหน้ากับสตรีที่ตัวเองชอบ
หวังเฉินพลันตระหนักได้ว่าเฉินลั่วชอบหวังซี!
สำหรับตระกูลหวังแล้วสิ่งนี้สำคัญกว่าพื้นเพของครอบครัว รูปลักษณ์หน้าตาและพรสวรรค์อันล้นเหลือเสียอีก
ผู้ใดชอบมากกว่า ก็ต้องจ่ายออกไปมากกว่า และต้องเสียเปรียบมากกว่า
ถัดจากนั้นหวังเฉินก็ไม่ค่อยมีกะใจคุยกับเฉินลั่วแล้ว สิ่งที่เฉินลั่วกล่าวมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินข้าวก็ดี เรื่องพบจ่างกงจู่ก็ดี หรือไปคารวะจวนชิงผิงโหวก็ดี เขาล้วนตอบไปอย่างพอเป็นพิธีเท่านั้น กระทั่งเฉินลั่วมีสีหน้าหมอง ลากลับไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้งแล้ว เขาก็ไม่รอช้าแม้แต่เค่อเดียว ลอบไปที่จวนหย่งเฉิงโหวอีกครั้งในทันที
“ข้าคิดไปคิดมาแล้ว ข้ายังมีคู่หมายที่เหมาะสมกับเจ้ามากกว่าอยู่อีกคนหนึ่ง” หวังเฉินที่พบหวังซีแล้วยืนคุยกับน้องสาวอยู่ใต้ซุ้มองุ่นในลานบ้านที่ถูกตัดกิ่งไปเรียบร้อยแล้วท่ามกลางอากาศหนาวจัด “เจ้าสนใจอยากพบหน้าสักครั้งหรือไม่”
ในเมื่อพี่ชายใหญ่บอกว่าเหมาะสม เช่นนั้นย่อมต้องมีส่วนที่เหมาะสมเป็นแน่
หวังซีนึกถึงเฉินลั่ว ลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายยังคงตอบตกลง ถามขึ้นว่า “คนผู้นั้นอายุเท่าไร แล้วหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
นางอยากหาใครสักคนที่อายุใกล้เคียงกับตน หน้าตาหล่อเหลาโดดเด่น และเป็นเพื่อนเล่นกับนางได้
หวังเฉินหัวเราะดังลั่น ตอบหวังซีอย่างไม่ตรงคำถามและยังเหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่งว่า “ข้าคิดว่าเด็กหนุ่มอย่างเฉินลั่วผู้นั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน!”
…………………………………………………………