เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 219 อักษรแปดชะตา
มนุษย์เรานี้หากพอใจผู้ใดแล้ว อะไรก็รู้สึกว่าดีไปหมดทุกอย่าง
จ่างกงจู่ในเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น สายตาที่มองหวังเฉินดูเป็นมิตรขึ้นไม่น้อย จวบจนกระทั่งทั้งแขกและเจ้ามือต่างออกมาจากหอสายลมวสันต์ด้วยความสำราญใจแล้ว จ่างกงจู่ก็ตรงไปที่วัดต้าเจวี๋ย
นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับวัดหลิงกวงเป็นต้นมา ทุกคนต่างรู้สึกว่าวัดต้าเจวี๋ยได้รับการปกปักรักษาจากพระพุทธองค์มากกว่า ผู้มาสักการะวัดต้าเจวี๋ยจึงเพิ่มจำนวนเฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้ง
วัดต้าเจวี๋ยไม่ทันได้ปิดวัด เจ้าอาวาสวัดมาต้อนรับจ่างกงจู่ที่ประตูชั้นในด้วยตัวเอง
เฉินลั่วได้ยินแล้วรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี
เขาเป็นคนไม่เชื่อทั้งพระพุทธพระเต๋า ตั้งแง่สงสัยบรรดาพระที่ไม่รู้จักแม้แต่ตัวอักษรแต่ดูดวงชะตาให้ผู้อื่นเหล่านั้นมาโดยตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องลวงหลอกที่วัดจำนวนมากมักจะกระทำเช่นการทำลายบุพเพสันนิวาสหรือทำลายชะตาชีวิตของผู้คนเหล่านั้นเลย
โหรหลวงของสำนักโหราศาสตร์เหล่านั้นสู้พระที่วัดต้าเจวี๋ยไม่ได้หรืออย่างไร?
เฉินลั่วลอบทอดถอนใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่ามารดาของเขาเองก็มีช่วงเวลาที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลเหมือนกัน
แต่บัดนี้ในหนึ่งร้อยก้าวเดินมาถึงก้าวที่เก้าสิบเก้าแล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้คนไปทำลายเรื่องมงคลของเขาได้
เขารีบมุ่งหน้าไปพบเจ้าอาวาสของวัดต้าเจวี๋ย
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยกำลังสนทนากับจ่างกงจู่อยู่
เมื่อทราบว่าจ่างกงจู่มาเพื่อให้คำนวณอักษรแปดชะตางานแต่งของเฉินลั่ว ชั่วขณะนั้นเจ้าอาวาสพลันไม่รู้จะพูดอะไรดี
พวกเขาดูฤกษ์งามวันมงคลให้ผู้คนอยู่บ่อยๆ แต่การคำนวณอักษรแปดชะตานี้ พวกเขาไม่เชี่ยวชาญจริงๆ!
กระนั้นก็ตามเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยเป็นคนรับมือกับสถานการณ์เก่งที่เจอมนุษย์ก็คุยภาษามนุษย์เจอวิญญาณก็คุยภาษาวิญญาณได้ บัดนี้วัดต้าเจวี๋ยอยากเอาชนะวัดเจินอู่ จึงยิ่งต้องการการสนับสนุนจากสตรีชั้นสูงในวังมากกว่าเมื่อก่อน ก็เลยจำเป็นต้องทำให้สตรีชั้นสูงในวังพึงพอใจในตัวพวกเขามากขึ้น
จ่างกงจู่ปรารถนาให้เป็นอย่างไร พวกเขาก็จะพูดตามนั้นและกระทำตามนั้น
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยรีบไปหาพระชราที่พอจะมีความรู้เรื่องคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลงมาคุยกับจ่างกงจู่ ส่วนตัวเองแอบออกจากห้องข้างไปอย่างเงียบๆ สั่งการให้พระใต้บังคับบัญชาของตัวเองไปสืบดูว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่
เพียงแต่ว่าพระเหล่านั้นยังไม่ทันได้กลับมารายงาน เขาก็ได้เจอกับเฉินลั่วเสียก่อน
เฉินลั่วรู้จักพฤติกรรมอันน่าละอายของพวกเขาดีเกินไป มาถึงก็เปิดอกพูดวัตถุประสงค์การมาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด
เขายังรู้สึกเคืองเฉินลั่วอยู่เล็กน้อย รู้สึกว่าหากตอนนั้นเฉินลั่วไม่พาองค์ชายใหญ่ไปหลบภัยที่วัดเจินอู่ วัดเจินอู่ก็ไม่มีทางเหนือกว่าวัดต้าเจวี๋ย จนบัดนี้กลายเป็นวัดคู่แข่งในระดับเดียวกับวัดต้าเจวี๋ยไปได้
เฉินลั่วมองเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยแล้วได้แต่แสยะยิ้มเย็น กล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้แต่ครึ่งเดียวว่า “เจ้าเองก็อย่าเอาแต่คิดเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นกับข้าอยู่ตรงนั้นเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าไม่เชื่อถือพระในวัดพวกเจ้าที่พูดจาเหลวไหลเหล่านั้นเลย ต่อให้ข้าเชื่อ เจ้าคิดว่าหากข้าพาองค์ชายใหญ่มาที่นี่จริงๆ พวกเจ้าจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้หรือ…
…นอกจากนี้ พวกเจ้ายินดีเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องลอบสังหารองค์ชายใหญ่หรือ”
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยสะอึกจนพูดอะไรไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน
เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “บัดนี้จะแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาทก็ยังไม่มีข้อสรุป หากวัดต้าเจวี๋ยอยากมีผลงานเคียงข้างมังกร ข้าก็พอจะช่วยเหลือได้”
หน้าผากของเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยพลันมีเหงื่อซึมออกมา
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเฉินลั่วนั้นไร้เทียมทาน ถึงขั้นที่ว่ายืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังเหมือนมีอะไรต้องหลบเลี่ยง จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่กล้าลงดาบจัดการเขาจริงๆ เสียที แค่นี้ก็ทำให้คนต้องคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว
กว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาวัดต้าเจวี๋ยยอมรับเพียงสายตรงที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าผู้ใดได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้พวกเขาก็จะติดตามผู้นั้น ส่วนคนอื่นล้วนไม่แตะต้อง
หากเขาจะแหกกฎดังกล่าวก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือเขาต้องยืนให้ถูกฝั่ง
สถานการณ์ในจิงเฉินสลับซับซ้อนปานนี้ ตอนนี้แม้แต่จวนชิ่งอวิ๋นป๋อเขาก็ยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีแผนการอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดสถานการณ์ในวังหลวงเลย
“ใต้เท้าเฉินกล่าวหนักไปแล้ว” เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยรีบเปลี่ยนความคิดในทันที รู้ว่าตัวเองควรจะตัดสินใจเลือกอย่างไรแล้ว “นี่ล้วนเป็นเรื่องในบ้านของท่านกับจ่างกงจู่ ไหนเลยจะสลับซับซ้อนเพียงนั้น! คำโบราณช่างกล่าวได้ดี ทำลายวัดสิบแห่งยังกรรมหนักไม่เท่าทำลายงานแต่งเพียงหนึ่ง หากพวกข้าเป็นเหตุให้งานแต่งของใต้เท้าเฉินถือกำเนิดขึ้นได้ หวังว่าใต้เท้าเฉินจะอนุญาตให้ข้าไปกล่าวแสดงความยินดีในงานแต่งของใต้เท้าเฉินสักครั้งหนึ่ง”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออยากฉวยเอางานแต่งของเฉินลั่วชำระล้างวัดต้าเจวี๋ยให้ขาวสะอาดขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินลั่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “นั่นก็ต้องดูว่างานแต่งครั้งนี้จะสำเร็จลงได้หรือไม่!”
โดยไม่ได้รับปากพวกเขาอย่างชัดแจ้งว่าเป็นไปได้หรือไม่
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยกลับเข้าใจผิดคิดว่านี่คือการต่อรองราคากัน รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมก็เป็นคู่ที่สวรรค์กำหนดมาแล้ว มีเหตุผลให้ไม่สำเร็จที่ไหนกัน”
“จงจำที่เจ้าพูดเอาไว้” เฉินลั่วกล่าว ยกน้ำชาขึ้นส่งแขก
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยจึงไปคุยกับจ่างกงจู่ บอกว่าอักษรแปดชะตาของหวังซีแข็งแกร่งและรุ่งโรจน์มาก ไม่ว่าผู้ใดได้พบนาง ล้วนเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี แคล้วคลาดภยันตรายได้ “…ควบคุมเอาไว้ได้”
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วดีใจมาก รู้สึกว่าลางสังหรณ์ของนางยังใช้ได้อยู่ตามที่คาดไว้
นางตกรางวัลให้พระของวัดต้าเจวี๋ยอย่างงาม กลับออกไปด้วยความชื่นชมยินดี
เฉินลั่วเองก็กลับจวนจ่างกงจู่ไปอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน
แต่จ่างกงจู่กลับมิได้กลับจวน
ด้วยอารามตื่นเต้นดีใจ เมื่อกลับออกมาจากวัดต้าเจวี๋ย นางก็ตรงไปที่จวนเจียงชวนป๋อโดยไม่สนใจว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว เพื่อเชิญฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อไปทาบทามงานแต่งที่ตระกูลหวัง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อรู้สึกว่า ‘ร้อยปีกว่าจะได้ย้อนมาพานพบบนเรือลำเดียวกัน พันปีกว่าจะได้บรรจบมาร่วมเรียงเคียงหมอน’ การได้เป็นแม่สื่อให้คนอื่น โดยเฉพาะเป็นแม่สื่อให้คู่ที่ทั้งสองครอบครัวต่างยินยอมพร้อมใจนั้นถือเป็นการทำความดีเรื่องหนึ่ง
นางรับปากด้วยความยินดี วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปที่ร้านค้าหลักของสกุลหวังประจำจิงเฉิงตามที่อยู่ที่จ่างกงจู่ได้ให้ไว้เพื่อทาบทามงานแต่งให้เฉินลั่ว
ก่อนหน้านี้หวังเฉินยังเป็นกังวลอยู่บ้างที่จ่างกงจู่มีต้นกำเนิดสูงส่งเกินไป กลัวว่าจะหยิ่งยโสหรือเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ทว่าหลังจากเจอกันแล้วค้นพบว่าถึงแม้จ่างกงจู่จะถือตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยินดีกับการเกี่ยวดองนี้ด้วยใจจริง เขาจึงวางความกังวลใจเล็กน้อยนั้นลงมาได้ การมาทาบทามของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อจึงเป็นเพียงการมาตามพิธีสักครั้งหนึ่งเท่านั้น เพียงไม่นานก็ได้อักษรแปดชะตาของหวังซีกลับไปด้วยแล้ว
เนื่องจากตอนที่นำอักษรแปดชะตาของหวังซีไปให้พระที่วัดต้าเจวี๋ยคำนวณดวงชะตาเป็นการส่วนตัวอย่างลับๆ ในครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจกล่าวออกมาอย่างโจ้งแจ้งได้ ครั้งนี้จ่างกงจู่จึงให้สำนักโหราศาสตร์เป็นคนคำนวณอักษรแปดชะตาให้หวังซีกับเฉินลั่ว
เฉินลั่วได้ทำการไปแจ้งให้สำนักโหราศาสตร์ทราบเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เพียงแต่เฉินลั่วไม่คาดคิดว่าจ่างกงจู่จะไปหาวัดต้าเจวี๋ยก่อนแล้วค่อยมาหาสำนักโหราศาสตร์ นอกจากนี้อักษรแปดชะตานี้ก็ไม่มีอะไรไม่ถูกไม่ควร สิ่งที่ทางสำนักโหราศาสตร์กล่าวมาจึงล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น
จ่างกงจู่จึงยิ่งยินดีมากขึ้น ให้เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่านำความไปแจ้ง อยากถือโอกาสตอนที่หวังเฉินยังอยู่จิงเฉิงจัดการเรื่องหมั้นหมายระหว่างสองครอบครัวให้แล้วเสร็จ
หวังเฉินรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้ รอให้พี่สะใภ้ของหวังซีเดินทางมาถึงเมืองหลวงช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก่อนก็ยังไม่สาย
ก่อนหน้านี้ตระกูลหวังไม่คาดคิดว่าหวังซีจะได้แต่งมาอยู่จิงเฉิง จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสินเจ้าสาวบางส่วนใหม่ และมีบางส่วนที่จำเป็นต้องจัดเตรียมกันใหม่ด้วย หากหมั้นหมายกันทันที เวลาจะกระชั้นชิดเกินไป
จ่างกงจู่กลับรู้สึกว่ายิ่งเร็วยิ่งดี
เฉินลั่วอายุไม่น้อยแล้ว หวังซีเองก็เคยเป็นอีสุกอีใสแล้ว หมั้นหมายกันเร็วก็จะได้แต่งงานกันเร็วขึ้นอีกสักหน่อย
ทั้งสองครอบครัวผลัดกันเจ้าไปหาข้าข้ามาหาเจ้า เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าออกจากบ้านอยู่บ่อยครั้ง และเวลานี้ก็เป็นช่วงที่กำลังมีเรื่องวุ่นวายด้วยเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทพอดี จึงเป็นธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของตระกูลชั้นสูงทรงอิทธิพลในจิงเฉิง
จวบจนตอนที่พวกเขารู้ว่าเป็นการวุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของเฉินลั่ว และคนที่เขาต้องการสู่ขอยังเป็นคุณหนูใหญ่สกุลหวังที่ถือกำเนิดมาจากครอบครัวพ่อค้าของสู่จงด้วยนั้น ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกันจนคางแทบจะร่วงหล่นลงพื้น
และคนที่ตกใจหนักกว่าใครเพื่อนก็คือจวนเซียงหยางโหว
ครอบครัวพวกเขาพยายามตามหาคู่ครองดีๆ ให้คุณหนูห้าของพวกเขามาโดยตลอด และแน่นอนว่าเฉินลั่วเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง แต่พวกเขาคิดว่าหลายปีมานี้ฮ่องเต้และจ่างกงจู่ต่างจับเรื่องแต่งงานของเฉินลั่วเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้แต่การแต่งกับองค์หญิงยังรู้สึกว่าดีไม่พอ พวกเขาจึงยิ่งไม่อาจปีนป่ายขึ้นไป ก็เลยได้แต่คิดเท่านั้น แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจ่างกงจู่จะถูกใจตระกูลหวังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวโกรธจนล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บนเตียง ระบายอารมณ์กับโหวฮูหยินผู้เป็นสะใภ้ว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ผล แล้วพวกเจ้าตอบข้าว่าอย่างไร บัดนี้ช่างดีเหลือเกิน ปล่อยให้ตระกูลหวังได้ไปครอบครอง ปล่อยให้จวนหย่งเฉิงโหวค้ำอยู่บนศีรษะของพวกเรา พวกเจ้าต่างรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญใช่หรือไม่”
โหวฮูหยินรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก คุณหนูหวังหน้าตางดงาม เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งของทั้งจิงเฉิง เรื่องสินเจ้าสาวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่ากันว่านางมาอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวชั่วคราว จวนหย่งเฉิงโหวอาศัยมือของนางปรับปรุงเรือนชั้นในใหม่ทั้งหมดไปรอบหนึ่ง คุณหนูห้าของพวกเขาจะเอาอะไรไปสู้คุณหนูหวังของผู้อื่นได้?
สิ่งเดียวที่เอาชนะคุณหนูหวังได้ก็เห็นจะมีแต่เรื่องต้นกำเนิดเท่านั้นแล้ว
แต่ในจิงเฉิงคนที่มีต้นกำเนิดดีกว่าคุณหนูห้าไม่รู้ว่ามีมากมายเพียงใด
โหวฮูหยินกลับเรือนของตัวเองไปด้วยอาการห่อเหี่ยว
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ยินยอม ลุกขึ้นมาให้หมัวมัวคนสนิทนำเทียบไปส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหว “ข้าต้องไปต่อว่านางดีๆ สักครั้ง สองครอบครัวมีสัมพันธ์ต่อกันดีขนาดนี้ นางกลับไม่บอกกล่าวข้าสักคำ นี่กลัวข้าจะไปฉกเอางานแต่งดีๆ ของพวกนางไปหรืออย่างไร”
ช่วงนี้หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ามีหันซื่อสะใภ้ที่แต่งเข้ามาใหม่ของบ้านรองคอยหยอกเย้าให้มีความสุขจนแม้แต่ซือจูนางก็โยนทิ้งไปชั่วขณะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกเลย
ตอนที่ได้รับเทียบของเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่านางยังดีอกดีใจเป็นอย่างมาก เล่าให้หันซื่อฟังว่าทั้งสองคนสนิทสนมกันอย่างไรบ้าง ถึงเวลาให้หันซื่อคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ยังกล่าวอีกว่า “เจ้าเองก็ทำความรู้จักเอาไว้ ครอบครัวพวกเขามีญาติที่ดองกันเป็นจำนวนมาก ได้รู้จักพวกเขาหนึ่งครอบครัวก็เท่ากับรู้จักครอบครัวชั้นสูงทั้งหมดของจิงเฉิง หากเข้ากันได้ดี นั่นก็ยิ่งดีแล้ว”
หันซื่ออยากอาศัยอำนาจของฮูหยินผู้เฒ่าหนีออกจากการกดทับของโหวฮูหยินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บัดนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายินดีแนะนำคนจากจวนเซียงหยางโหวให้นางรู้จักก่อนด้วยตัวเอง นี่ทันท่วงทียิ่งกว่าความช่วยเหลือในยามจำเป็นเสียอีก
นางพรมคำประจบเยินยอที่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งใส่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่หวงของ ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะอย่างมีความสุขไม่หยุด
แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวทราบวัตถุประสงค์การมาของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวแล้วก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
นางไม่ทันได้สนใจด้วยซ้ำว่าจะเป็นการเสียหน้าหรือไม่ เบิกดวงตาโพลงเอ่ยถามซือหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างว่า “เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่สกุลหวังเดินทางมาถึงจิงเฉิงแล้ว ท่านโหวไม่ได้ให้เขามาคารวะข้าหรือ แล้วงานแต่งระหว่างหวังซีกับเฉินลั่วนั่นอีกเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงไม่ได้ยินคนพูดถึงเลย?”
ถามเสร็จ นางยังมองหันซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ นางด้วยความสงสัยครั้งหนึ่งอีกด้วย
หันซื่อเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน รีบกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า ข้าเองก็ไม่ทราบเรื่องเช่นกันเจ้าค่ะ ข้ามาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านทุกวัน ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปสนใจเรื่องอื่นได้” กล่าวจบก็ตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของตนไม่ค่อยดีนัก จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ให้ข้าไปสอบถามดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
ให้หลานสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ไปสืบเรื่องเช่นนี้ดูไม่ค่อยดีนัก แต่เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว จึงเร่งให้นางรีบไปสอบถาม ยังให้ซือหมัวมัวไปเรียกโหวฮูหยินมาด้วย กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “ข้าต้องถามนางสักหน่อยว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
เห็นว่าบุตรชายไม่เคารพนางแล้ว ก็เลยอวดดีตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ
นางแค่ไม่อยากเป็นแม่สามีที่รังแกคนรุ่นเด็กกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีวิธีจัดการบุตรสะใภ้
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ารู้จักนิสัยของหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าดี ดูจากท่าทีนี้ของนางแล้ว รู้ว่านางไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ ชั่วขณะนั้นบังเกิดความรู้สึกดูแคลนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เป็นคนเลอะเลือนมาถึงขั้นนี้ได้ ช่างทำให้คนอัศจรรย์ใจได้มากจริงๆ
นางยังคงคอยเติมเชื้อไฟอยู่ด้านข้างโดยกล่าวขึ้นว่า “เจ้านี่น้า เพราะนิสัยอ่อนปวกเปียกเกินไป หาไม่แล้ว ตอนท่านโหวผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่จะมีอนุภรรยาและบุตรอนุมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร!”
……………………………………………………………… มนุษย์เรานี้หากพอใจผู้ใดแล้ว อะไรก็รู้สึกว่าดีไปหมดทุกอย่าง
จ่างกงจู่ในเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น สายตาที่มองหวังเฉินดูเป็นมิตรขึ้นไม่น้อย จวบจนกระทั่งทั้งแขกและเจ้ามือต่างออกมาจากหอสายลมวสันต์ด้วยความสำราญใจแล้ว จ่างกงจู่ก็ตรงไปที่วัดต้าเจวี๋ย
นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับวัดหลิงกวงเป็นต้นมา ทุกคนต่างรู้สึกว่าวัดต้าเจวี๋ยได้รับการปกปักรักษาจากพระพุทธองค์มากกว่า ผู้มาสักการะวัดต้าเจวี๋ยจึงเพิ่มจำนวนเฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้ง
วัดต้าเจวี๋ยไม่ทันได้ปิดวัด เจ้าอาวาสวัดมาต้อนรับจ่างกงจู่ที่ประตูชั้นในด้วยตัวเอง
เฉินลั่วได้ยินแล้วรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี
เขาเป็นคนไม่เชื่อทั้งพระพุทธพระเต๋า ตั้งแง่สงสัยบรรดาพระที่ไม่รู้จักแม้แต่ตัวอักษรแต่ดูดวงชะตาให้ผู้อื่นเหล่านั้นมาโดยตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องลวงหลอกที่วัดจำนวนมากมักจะกระทำเช่นการทำลายบุพเพสันนิวาสหรือทำลายชะตาชีวิตของผู้คนเหล่านั้นเลย
โหรหลวงของสำนักโหราศาสตร์เหล่านั้นสู้พระที่วัดต้าเจวี๋ยไม่ได้หรืออย่างไร?
เฉินลั่วลอบทอดถอนใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่ามารดาของเขาเองก็มีช่วงเวลาที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลเหมือนกัน
แต่บัดนี้ในหนึ่งร้อยก้าวเดินมาถึงก้าวที่เก้าสิบเก้าแล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้คนไปทำลายเรื่องมงคลของเขาได้
เขารีบมุ่งหน้าไปพบเจ้าอาวาสของวัดต้าเจวี๋ย
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยกำลังสนทนากับจ่างกงจู่อยู่
เมื่อทราบว่าจ่างกงจู่มาเพื่อให้คำนวณอักษรแปดชะตางานแต่งของเฉินลั่ว ชั่วขณะนั้นเจ้าอาวาสพลันไม่รู้จะพูดอะไรดี
พวกเขาดูฤกษ์งามวันมงคลให้ผู้คนอยู่บ่อยๆ แต่การคำนวณอักษรแปดชะตานี้ พวกเขาไม่เชี่ยวชาญจริงๆ!
กระนั้นก็ตามเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยเป็นคนรับมือกับสถานการณ์เก่งที่เจอมนุษย์ก็คุยภาษามนุษย์เจอวิญญาณก็คุยภาษาวิญญาณได้ บัดนี้วัดต้าเจวี๋ยอยากเอาชนะวัดเจินอู่ จึงยิ่งต้องการการสนับสนุนจากสตรีชั้นสูงในวังมากกว่าเมื่อก่อน ก็เลยจำเป็นต้องทำให้สตรีชั้นสูงในวังพึงพอใจในตัวพวกเขามากขึ้น
จ่างกงจู่ปรารถนาให้เป็นอย่างไร พวกเขาก็จะพูดตามนั้นและกระทำตามนั้น
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยรีบไปหาพระชราที่พอจะมีความรู้เรื่องคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลงมาคุยกับจ่างกงจู่ ส่วนตัวเองแอบออกจากห้องข้างไปอย่างเงียบๆ สั่งการให้พระใต้บังคับบัญชาของตัวเองไปสืบดูว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่
เพียงแต่ว่าพระเหล่านั้นยังไม่ทันได้กลับมารายงาน เขาก็ได้เจอกับเฉินลั่วเสียก่อน
เฉินลั่วรู้จักพฤติกรรมอันน่าละอายของพวกเขาดีเกินไป มาถึงก็เปิดอกพูดวัตถุประสงค์การมาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด
เขายังรู้สึกเคืองเฉินลั่วอยู่เล็กน้อย รู้สึกว่าหากตอนนั้นเฉินลั่วไม่พาองค์ชายใหญ่ไปหลบภัยที่วัดเจินอู่ วัดเจินอู่ก็ไม่มีทางเหนือกว่าวัดต้าเจวี๋ย จนบัดนี้กลายเป็นวัดคู่แข่งในระดับเดียวกับวัดต้าเจวี๋ยไปได้
เฉินลั่วมองเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยแล้วได้แต่แสยะยิ้มเย็น กล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้แต่ครึ่งเดียวว่า “เจ้าเองก็อย่าเอาแต่คิดเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นกับข้าอยู่ตรงนั้นเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าไม่เชื่อถือพระในวัดพวกเจ้าที่พูดจาเหลวไหลเหล่านั้นเลย ต่อให้ข้าเชื่อ เจ้าคิดว่าหากข้าพาองค์ชายใหญ่มาที่นี่จริงๆ พวกเจ้าจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้หรือ…
…นอกจากนี้ พวกเจ้ายินดีเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องลอบสังหารองค์ชายใหญ่หรือ”
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยสะอึกจนพูดอะไรไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน
เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “บัดนี้จะแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาทก็ยังไม่มีข้อสรุป หากวัดต้าเจวี๋ยอยากมีผลงานเคียงข้างมังกร ข้าก็พอจะช่วยเหลือได้”
หน้าผากของเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยพลันมีเหงื่อซึมออกมา
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเฉินลั่วนั้นไร้เทียมทาน ถึงขั้นที่ว่ายืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังเหมือนมีอะไรต้องหลบเลี่ยง จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่กล้าลงดาบจัดการเขาจริงๆ เสียที แค่นี้ก็ทำให้คนต้องคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว
กว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาวัดต้าเจวี๋ยยอมรับเพียงสายตรงที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าผู้ใดได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้พวกเขาก็จะติดตามผู้นั้น ส่วนคนอื่นล้วนไม่แตะต้อง
หากเขาจะแหกกฎดังกล่าวก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือเขาต้องยืนให้ถูกฝั่ง
สถานการณ์ในจิงเฉินสลับซับซ้อนปานนี้ ตอนนี้แม้แต่จวนชิ่งอวิ๋นป๋อเขาก็ยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีแผนการอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดสถานการณ์ในวังหลวงเลย
“ใต้เท้าเฉินกล่าวหนักไปแล้ว” เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยรีบเปลี่ยนความคิดในทันที รู้ว่าตัวเองควรจะตัดสินใจเลือกอย่างไรแล้ว “นี่ล้วนเป็นเรื่องในบ้านของท่านกับจ่างกงจู่ ไหนเลยจะสลับซับซ้อนเพียงนั้น! คำโบราณช่างกล่าวได้ดี ทำลายวัดสิบแห่งยังกรรมหนักไม่เท่าทำลายงานแต่งเพียงหนึ่ง หากพวกข้าเป็นเหตุให้งานแต่งของใต้เท้าเฉินถือกำเนิดขึ้นได้ หวังว่าใต้เท้าเฉินจะอนุญาตให้ข้าไปกล่าวแสดงความยินดีในงานแต่งของใต้เท้าเฉินสักครั้งหนึ่ง”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออยากฉวยเอางานแต่งของเฉินลั่วชำระล้างวัดต้าเจวี๋ยให้ขาวสะอาดขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินลั่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “นั่นก็ต้องดูว่างานแต่งครั้งนี้จะสำเร็จลงได้หรือไม่!”
โดยไม่ได้รับปากพวกเขาอย่างชัดแจ้งว่าเป็นไปได้หรือไม่
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยกลับเข้าใจผิดคิดว่านี่คือการต่อรองราคากัน รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมก็เป็นคู่ที่สวรรค์กำหนดมาแล้ว มีเหตุผลให้ไม่สำเร็จที่ไหนกัน”
“จงจำที่เจ้าพูดเอาไว้” เฉินลั่วกล่าว ยกน้ำชาขึ้นส่งแขก
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยจึงไปคุยกับจ่างกงจู่ บอกว่าอักษรแปดชะตาของหวังซีแข็งแกร่งและรุ่งโรจน์มาก ไม่ว่าผู้ใดได้พบนาง ล้วนเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี แคล้วคลาดภยันตรายได้ “…ควบคุมเอาไว้ได้”
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วดีใจมาก รู้สึกว่าลางสังหรณ์ของนางยังใช้ได้อยู่ตามที่คาดไว้
นางตกรางวัลให้พระของวัดต้าเจวี๋ยอย่างงาม กลับออกไปด้วยความชื่นชมยินดี
เฉินลั่วเองก็กลับจวนจ่างกงจู่ไปอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน
แต่จ่างกงจู่กลับมิได้กลับจวน
ด้วยอารามตื่นเต้นดีใจ เมื่อกลับออกมาจากวัดต้าเจวี๋ย นางก็ตรงไปที่จวนเจียงชวนป๋อโดยไม่สนใจว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว เพื่อเชิญฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อไปทาบทามงานแต่งที่ตระกูลหวัง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อรู้สึกว่า ‘ร้อยปีกว่าจะได้ย้อนมาพานพบบนเรือลำเดียวกัน พันปีกว่าจะได้บรรจบมาร่วมเรียงเคียงหมอน’ การได้เป็นแม่สื่อให้คนอื่น โดยเฉพาะเป็นแม่สื่อให้คู่ที่ทั้งสองครอบครัวต่างยินยอมพร้อมใจนั้นถือเป็นการทำความดีเรื่องหนึ่ง
นางรับปากด้วยความยินดี วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปที่ร้านค้าหลักของสกุลหวังประจำจิงเฉิงตามที่อยู่ที่จ่างกงจู่ได้ให้ไว้เพื่อทาบทามงานแต่งให้เฉินลั่ว
ก่อนหน้านี้หวังเฉินยังเป็นกังวลอยู่บ้างที่จ่างกงจู่มีต้นกำเนิดสูงส่งเกินไป กลัวว่าจะหยิ่งยโสหรือเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ทว่าหลังจากเจอกันแล้วค้นพบว่าถึงแม้จ่างกงจู่จะถือตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยินดีกับการเกี่ยวดองนี้ด้วยใจจริง เขาจึงวางความกังวลใจเล็กน้อยนั้นลงมาได้ การมาทาบทามของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อจึงเป็นเพียงการมาตามพิธีสักครั้งหนึ่งเท่านั้น เพียงไม่นานก็ได้อักษรแปดชะตาของหวังซีกลับไปด้วยแล้ว
เนื่องจากตอนที่นำอักษรแปดชะตาของหวังซีไปให้พระที่วัดต้าเจวี๋ยคำนวณดวงชะตาเป็นการส่วนตัวอย่างลับๆ ในครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจกล่าวออกมาอย่างโจ้งแจ้งได้ ครั้งนี้จ่างกงจู่จึงให้สำนักโหราศาสตร์เป็นคนคำนวณอักษรแปดชะตาให้หวังซีกับเฉินลั่ว
เฉินลั่วได้ทำการไปแจ้งให้สำนักโหราศาสตร์ทราบเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เพียงแต่เฉินลั่วไม่คาดคิดว่าจ่างกงจู่จะไปหาวัดต้าเจวี๋ยก่อนแล้วค่อยมาหาสำนักโหราศาสตร์ นอกจากนี้อักษรแปดชะตานี้ก็ไม่มีอะไรไม่ถูกไม่ควร สิ่งที่ทางสำนักโหราศาสตร์กล่าวมาจึงล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น
จ่างกงจู่จึงยิ่งยินดีมากขึ้น ให้เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่านำความไปแจ้ง อยากถือโอกาสตอนที่หวังเฉินยังอยู่จิงเฉิงจัดการเรื่องหมั้นหมายระหว่างสองครอบครัวให้แล้วเสร็จ
หวังเฉินรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้ รอให้พี่สะใภ้ของหวังซีเดินทางมาถึงเมืองหลวงช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก่อนก็ยังไม่สาย
ก่อนหน้านี้ตระกูลหวังไม่คาดคิดว่าหวังซีจะได้แต่งมาอยู่จิงเฉิง จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสินเจ้าสาวบางส่วนใหม่ และมีบางส่วนที่จำเป็นต้องจัดเตรียมกันใหม่ด้วย หากหมั้นหมายกันทันที เวลาจะกระชั้นชิดเกินไป
จ่างกงจู่กลับรู้สึกว่ายิ่งเร็วยิ่งดี
เฉินลั่วอายุไม่น้อยแล้ว หวังซีเองก็เคยเป็นอีสุกอีใสแล้ว หมั้นหมายกันเร็วก็จะได้แต่งงานกันเร็วขึ้นอีกสักหน่อย
ทั้งสองครอบครัวผลัดกันเจ้าไปหาข้าข้ามาหาเจ้า เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าออกจากบ้านอยู่บ่อยครั้ง และเวลานี้ก็เป็นช่วงที่กำลังมีเรื่องวุ่นวายด้วยเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทพอดี จึงเป็นธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของตระกูลชั้นสูงทรงอิทธิพลในจิงเฉิง
จวบจนตอนที่พวกเขารู้ว่าเป็นการวุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของเฉินลั่ว และคนที่เขาต้องการสู่ขอยังเป็นคุณหนูใหญ่สกุลหวังที่ถือกำเนิดมาจากครอบครัวพ่อค้าของสู่จงด้วยนั้น ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกันจนคางแทบจะร่วงหล่นลงพื้น
และคนที่ตกใจหนักกว่าใครเพื่อนก็คือจวนเซียงหยางโหว
ครอบครัวพวกเขาพยายามตามหาคู่ครองดีๆ ให้คุณหนูห้าของพวกเขามาโดยตลอด และแน่นอนว่าเฉินลั่วเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง แต่พวกเขาคิดว่าหลายปีมานี้ฮ่องเต้และจ่างกงจู่ต่างจับเรื่องแต่งงานของเฉินลั่วเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้แต่การแต่งกับองค์หญิงยังรู้สึกว่าดีไม่พอ พวกเขาจึงยิ่งไม่อาจปีนป่ายขึ้นไป ก็เลยได้แต่คิดเท่านั้น แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจ่างกงจู่จะถูกใจตระกูลหวังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวโกรธจนล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บนเตียง ระบายอารมณ์กับโหวฮูหยินผู้เป็นสะใภ้ว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ผล แล้วพวกเจ้าตอบข้าว่าอย่างไร บัดนี้ช่างดีเหลือเกิน ปล่อยให้ตระกูลหวังได้ไปครอบครอง ปล่อยให้จวนหย่งเฉิงโหวค้ำอยู่บนศีรษะของพวกเรา พวกเจ้าต่างรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญใช่หรือไม่”
โหวฮูหยินรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก คุณหนูหวังหน้าตางดงาม เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งของทั้งจิงเฉิง เรื่องสินเจ้าสาวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่ากันว่านางมาอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวชั่วคราว จวนหย่งเฉิงโหวอาศัยมือของนางปรับปรุงเรือนชั้นในใหม่ทั้งหมดไปรอบหนึ่ง คุณหนูห้าของพวกเขาจะเอาอะไรไปสู้คุณหนูหวังของผู้อื่นได้?
สิ่งเดียวที่เอาชนะคุณหนูหวังได้ก็เห็นจะมีแต่เรื่องต้นกำเนิดเท่านั้นแล้ว
แต่ในจิงเฉิงคนที่มีต้นกำเนิดดีกว่าคุณหนูห้าไม่รู้ว่ามีมากมายเพียงใด
โหวฮูหยินกลับเรือนของตัวเองไปด้วยอาการห่อเหี่ยว
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ยินยอม ลุกขึ้นมาให้หมัวมัวคนสนิทนำเทียบไปส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหว “ข้าต้องไปต่อว่านางดีๆ สักครั้ง สองครอบครัวมีสัมพันธ์ต่อกันดีขนาดนี้ นางกลับไม่บอกกล่าวข้าสักคำ นี่กลัวข้าจะไปฉกเอางานแต่งดีๆ ของพวกนางไปหรืออย่างไร”
ช่วงนี้หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ามีหันซื่อสะใภ้ที่แต่งเข้ามาใหม่ของบ้านรองคอยหยอกเย้าให้มีความสุขจนแม้แต่ซือจูนางก็โยนทิ้งไปชั่วขณะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกเลย
ตอนที่ได้รับเทียบของเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่านางยังดีอกดีใจเป็นอย่างมาก เล่าให้หันซื่อฟังว่าทั้งสองคนสนิทสนมกันอย่างไรบ้าง ถึงเวลาให้หันซื่อคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ยังกล่าวอีกว่า “เจ้าเองก็ทำความรู้จักเอาไว้ ครอบครัวพวกเขามีญาติที่ดองกันเป็นจำนวนมาก ได้รู้จักพวกเขาหนึ่งครอบครัวก็เท่ากับรู้จักครอบครัวชั้นสูงทั้งหมดของจิงเฉิง หากเข้ากันได้ดี นั่นก็ยิ่งดีแล้ว”
หันซื่ออยากอาศัยอำนาจของฮูหยินผู้เฒ่าหนีออกจากการกดทับของโหวฮูหยินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บัดนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายินดีแนะนำคนจากจวนเซียงหยางโหวให้นางรู้จักก่อนด้วยตัวเอง นี่ทันท่วงทียิ่งกว่าความช่วยเหลือในยามจำเป็นเสียอีก
นางพรมคำประจบเยินยอที่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งใส่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่หวงของ ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะอย่างมีความสุขไม่หยุด
แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวทราบวัตถุประสงค์การมาของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวแล้วก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
นางไม่ทันได้สนใจด้วยซ้ำว่าจะเป็นการเสียหน้าหรือไม่ เบิกดวงตาโพลงเอ่ยถามซือหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างว่า “เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่สกุลหวังเดินทางมาถึงจิงเฉิงแล้ว ท่านโหวไม่ได้ให้เขามาคารวะข้าหรือ แล้วงานแต่งระหว่างหวังซีกับเฉินลั่วนั่นอีกเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงไม่ได้ยินคนพูดถึงเลย?”
ถามเสร็จ นางยังมองหันซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ นางด้วยความสงสัยครั้งหนึ่งอีกด้วย
หันซื่อเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน รีบกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า ข้าเองก็ไม่ทราบเรื่องเช่นกันเจ้าค่ะ ข้ามาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านทุกวัน ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปสนใจเรื่องอื่นได้” กล่าวจบก็ตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของตนไม่ค่อยดีนัก จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ให้ข้าไปสอบถามดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
ให้หลานสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ไปสืบเรื่องเช่นนี้ดูไม่ค่อยดีนัก แต่เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว จึงเร่งให้นางรีบไปสอบถาม ยังให้ซือหมัวมัวไปเรียกโหวฮูหยินมาด้วย กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “ข้าต้องถามนางสักหน่อยว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
เห็นว่าบุตรชายไม่เคารพนางแล้ว ก็เลยอวดดีตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ
นางแค่ไม่อยากเป็นแม่สามีที่รังแกคนรุ่นเด็กกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีวิธีจัดการบุตรสะใภ้
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ารู้จักนิสัยของหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าดี ดูจากท่าทีนี้ของนางแล้ว รู้ว่านางไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ ชั่วขณะนั้นบังเกิดความรู้สึกดูแคลนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เป็นคนเลอะเลือนมาถึงขั้นนี้ได้ ช่างทำให้คนอัศจรรย์ใจได้มากจริงๆ
นางยังคงคอยเติมเชื้อไฟอยู่ด้านข้างโดยกล่าวขึ้นว่า “เจ้านี่น้า เพราะนิสัยอ่อนปวกเปียกเกินไป หาไม่แล้ว ตอนท่านโหวผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่จะมีอนุภรรยาและบุตรอนุมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร!”
……………………………………………………………… มนุษย์เรานี้หากพอใจผู้ใดแล้ว อะไรก็รู้สึกว่าดีไปหมดทุกอย่าง
จ่างกงจู่ในเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น สายตาที่มองหวังเฉินดูเป็นมิตรขึ้นไม่น้อย จวบจนกระทั่งทั้งแขกและเจ้ามือต่างออกมาจากหอสายลมวสันต์ด้วยความสำราญใจแล้ว จ่างกงจู่ก็ตรงไปที่วัดต้าเจวี๋ย
นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับวัดหลิงกวงเป็นต้นมา ทุกคนต่างรู้สึกว่าวัดต้าเจวี๋ยได้รับการปกปักรักษาจากพระพุทธองค์มากกว่า ผู้มาสักการะวัดต้าเจวี๋ยจึงเพิ่มจำนวนเฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้ง
วัดต้าเจวี๋ยไม่ทันได้ปิดวัด เจ้าอาวาสวัดมาต้อนรับจ่างกงจู่ที่ประตูชั้นในด้วยตัวเอง
เฉินลั่วได้ยินแล้วรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี
เขาเป็นคนไม่เชื่อทั้งพระพุทธพระเต๋า ตั้งแง่สงสัยบรรดาพระที่ไม่รู้จักแม้แต่ตัวอักษรแต่ดูดวงชะตาให้ผู้อื่นเหล่านั้นมาโดยตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องลวงหลอกที่วัดจำนวนมากมักจะกระทำเช่นการทำลายบุพเพสันนิวาสหรือทำลายชะตาชีวิตของผู้คนเหล่านั้นเลย
โหรหลวงของสำนักโหราศาสตร์เหล่านั้นสู้พระที่วัดต้าเจวี๋ยไม่ได้หรืออย่างไร?
เฉินลั่วลอบทอดถอนใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่ามารดาของเขาเองก็มีช่วงเวลาที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลเหมือนกัน
แต่บัดนี้ในหนึ่งร้อยก้าวเดินมาถึงก้าวที่เก้าสิบเก้าแล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้คนไปทำลายเรื่องมงคลของเขาได้
เขารีบมุ่งหน้าไปพบเจ้าอาวาสของวัดต้าเจวี๋ย
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยกำลังสนทนากับจ่างกงจู่อยู่
เมื่อทราบว่าจ่างกงจู่มาเพื่อให้คำนวณอักษรแปดชะตางานแต่งของเฉินลั่ว ชั่วขณะนั้นเจ้าอาวาสพลันไม่รู้จะพูดอะไรดี
พวกเขาดูฤกษ์งามวันมงคลให้ผู้คนอยู่บ่อยๆ แต่การคำนวณอักษรแปดชะตานี้ พวกเขาไม่เชี่ยวชาญจริงๆ!
กระนั้นก็ตามเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยเป็นคนรับมือกับสถานการณ์เก่งที่เจอมนุษย์ก็คุยภาษามนุษย์เจอวิญญาณก็คุยภาษาวิญญาณได้ บัดนี้วัดต้าเจวี๋ยอยากเอาชนะวัดเจินอู่ จึงยิ่งต้องการการสนับสนุนจากสตรีชั้นสูงในวังมากกว่าเมื่อก่อน ก็เลยจำเป็นต้องทำให้สตรีชั้นสูงในวังพึงพอใจในตัวพวกเขามากขึ้น
จ่างกงจู่ปรารถนาให้เป็นอย่างไร พวกเขาก็จะพูดตามนั้นและกระทำตามนั้น
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยรีบไปหาพระชราที่พอจะมีความรู้เรื่องคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลงมาคุยกับจ่างกงจู่ ส่วนตัวเองแอบออกจากห้องข้างไปอย่างเงียบๆ สั่งการให้พระใต้บังคับบัญชาของตัวเองไปสืบดูว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่
เพียงแต่ว่าพระเหล่านั้นยังไม่ทันได้กลับมารายงาน เขาก็ได้เจอกับเฉินลั่วเสียก่อน
เฉินลั่วรู้จักพฤติกรรมอันน่าละอายของพวกเขาดีเกินไป มาถึงก็เปิดอกพูดวัตถุประสงค์การมาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด
เขายังรู้สึกเคืองเฉินลั่วอยู่เล็กน้อย รู้สึกว่าหากตอนนั้นเฉินลั่วไม่พาองค์ชายใหญ่ไปหลบภัยที่วัดเจินอู่ วัดเจินอู่ก็ไม่มีทางเหนือกว่าวัดต้าเจวี๋ย จนบัดนี้กลายเป็นวัดคู่แข่งในระดับเดียวกับวัดต้าเจวี๋ยไปได้
เฉินลั่วมองเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยแล้วได้แต่แสยะยิ้มเย็น กล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้แต่ครึ่งเดียวว่า “เจ้าเองก็อย่าเอาแต่คิดเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นกับข้าอยู่ตรงนั้นเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าไม่เชื่อถือพระในวัดพวกเจ้าที่พูดจาเหลวไหลเหล่านั้นเลย ต่อให้ข้าเชื่อ เจ้าคิดว่าหากข้าพาองค์ชายใหญ่มาที่นี่จริงๆ พวกเจ้าจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้หรือ…
…นอกจากนี้ พวกเจ้ายินดีเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องลอบสังหารองค์ชายใหญ่หรือ”
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยสะอึกจนพูดอะไรไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน
เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “บัดนี้จะแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาทก็ยังไม่มีข้อสรุป หากวัดต้าเจวี๋ยอยากมีผลงานเคียงข้างมังกร ข้าก็พอจะช่วยเหลือได้”
หน้าผากของเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยพลันมีเหงื่อซึมออกมา
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเฉินลั่วนั้นไร้เทียมทาน ถึงขั้นที่ว่ายืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังเหมือนมีอะไรต้องหลบเลี่ยง จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่กล้าลงดาบจัดการเขาจริงๆ เสียที แค่นี้ก็ทำให้คนต้องคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว
กว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาวัดต้าเจวี๋ยยอมรับเพียงสายตรงที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าผู้ใดได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้พวกเขาก็จะติดตามผู้นั้น ส่วนคนอื่นล้วนไม่แตะต้อง
หากเขาจะแหกกฎดังกล่าวก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือเขาต้องยืนให้ถูกฝั่ง
สถานการณ์ในจิงเฉินสลับซับซ้อนปานนี้ ตอนนี้แม้แต่จวนชิ่งอวิ๋นป๋อเขาก็ยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีแผนการอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดสถานการณ์ในวังหลวงเลย
“ใต้เท้าเฉินกล่าวหนักไปแล้ว” เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยรีบเปลี่ยนความคิดในทันที รู้ว่าตัวเองควรจะตัดสินใจเลือกอย่างไรแล้ว “นี่ล้วนเป็นเรื่องในบ้านของท่านกับจ่างกงจู่ ไหนเลยจะสลับซับซ้อนเพียงนั้น! คำโบราณช่างกล่าวได้ดี ทำลายวัดสิบแห่งยังกรรมหนักไม่เท่าทำลายงานแต่งเพียงหนึ่ง หากพวกข้าเป็นเหตุให้งานแต่งของใต้เท้าเฉินถือกำเนิดขึ้นได้ หวังว่าใต้เท้าเฉินจะอนุญาตให้ข้าไปกล่าวแสดงความยินดีในงานแต่งของใต้เท้าเฉินสักครั้งหนึ่ง”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออยากฉวยเอางานแต่งของเฉินลั่วชำระล้างวัดต้าเจวี๋ยให้ขาวสะอาดขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินลั่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “นั่นก็ต้องดูว่างานแต่งครั้งนี้จะสำเร็จลงได้หรือไม่!”
โดยไม่ได้รับปากพวกเขาอย่างชัดแจ้งว่าเป็นไปได้หรือไม่
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยกลับเข้าใจผิดคิดว่านี่คือการต่อรองราคากัน รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมก็เป็นคู่ที่สวรรค์กำหนดมาแล้ว มีเหตุผลให้ไม่สำเร็จที่ไหนกัน”
“จงจำที่เจ้าพูดเอาไว้” เฉินลั่วกล่าว ยกน้ำชาขึ้นส่งแขก
เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยจึงไปคุยกับจ่างกงจู่ บอกว่าอักษรแปดชะตาของหวังซีแข็งแกร่งและรุ่งโรจน์มาก ไม่ว่าผู้ใดได้พบนาง ล้วนเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี แคล้วคลาดภยันตรายได้ “…ควบคุมเอาไว้ได้”
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วดีใจมาก รู้สึกว่าลางสังหรณ์ของนางยังใช้ได้อยู่ตามที่คาดไว้
นางตกรางวัลให้พระของวัดต้าเจวี๋ยอย่างงาม กลับออกไปด้วยความชื่นชมยินดี
เฉินลั่วเองก็กลับจวนจ่างกงจู่ไปอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน
แต่จ่างกงจู่กลับมิได้กลับจวน
ด้วยอารามตื่นเต้นดีใจ เมื่อกลับออกมาจากวัดต้าเจวี๋ย นางก็ตรงไปที่จวนเจียงชวนป๋อโดยไม่สนใจว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว เพื่อเชิญฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อไปทาบทามงานแต่งที่ตระกูลหวัง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อรู้สึกว่า ‘ร้อยปีกว่าจะได้ย้อนมาพานพบบนเรือลำเดียวกัน พันปีกว่าจะได้บรรจบมาร่วมเรียงเคียงหมอน’ การได้เป็นแม่สื่อให้คนอื่น โดยเฉพาะเป็นแม่สื่อให้คู่ที่ทั้งสองครอบครัวต่างยินยอมพร้อมใจนั้นถือเป็นการทำความดีเรื่องหนึ่ง
นางรับปากด้วยความยินดี วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปที่ร้านค้าหลักของสกุลหวังประจำจิงเฉิงตามที่อยู่ที่จ่างกงจู่ได้ให้ไว้เพื่อทาบทามงานแต่งให้เฉินลั่ว
ก่อนหน้านี้หวังเฉินยังเป็นกังวลอยู่บ้างที่จ่างกงจู่มีต้นกำเนิดสูงส่งเกินไป กลัวว่าจะหยิ่งยโสหรือเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ทว่าหลังจากเจอกันแล้วค้นพบว่าถึงแม้จ่างกงจู่จะถือตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยินดีกับการเกี่ยวดองนี้ด้วยใจจริง เขาจึงวางความกังวลใจเล็กน้อยนั้นลงมาได้ การมาทาบทามของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อจึงเป็นเพียงการมาตามพิธีสักครั้งหนึ่งเท่านั้น เพียงไม่นานก็ได้อักษรแปดชะตาของหวังซีกลับไปด้วยแล้ว
เนื่องจากตอนที่นำอักษรแปดชะตาของหวังซีไปให้พระที่วัดต้าเจวี๋ยคำนวณดวงชะตาเป็นการส่วนตัวอย่างลับๆ ในครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจกล่าวออกมาอย่างโจ้งแจ้งได้ ครั้งนี้จ่างกงจู่จึงให้สำนักโหราศาสตร์เป็นคนคำนวณอักษรแปดชะตาให้หวังซีกับเฉินลั่ว
เฉินลั่วได้ทำการไปแจ้งให้สำนักโหราศาสตร์ทราบเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เพียงแต่เฉินลั่วไม่คาดคิดว่าจ่างกงจู่จะไปหาวัดต้าเจวี๋ยก่อนแล้วค่อยมาหาสำนักโหราศาสตร์ นอกจากนี้อักษรแปดชะตานี้ก็ไม่มีอะไรไม่ถูกไม่ควร สิ่งที่ทางสำนักโหราศาสตร์กล่าวมาจึงล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น
จ่างกงจู่จึงยิ่งยินดีมากขึ้น ให้เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่านำความไปแจ้ง อยากถือโอกาสตอนที่หวังเฉินยังอยู่จิงเฉิงจัดการเรื่องหมั้นหมายระหว่างสองครอบครัวให้แล้วเสร็จ
หวังเฉินรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้ รอให้พี่สะใภ้ของหวังซีเดินทางมาถึงเมืองหลวงช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก่อนก็ยังไม่สาย
ก่อนหน้านี้ตระกูลหวังไม่คาดคิดว่าหวังซีจะได้แต่งมาอยู่จิงเฉิง จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสินเจ้าสาวบางส่วนใหม่ และมีบางส่วนที่จำเป็นต้องจัดเตรียมกันใหม่ด้วย หากหมั้นหมายกันทันที เวลาจะกระชั้นชิดเกินไป
จ่างกงจู่กลับรู้สึกว่ายิ่งเร็วยิ่งดี
เฉินลั่วอายุไม่น้อยแล้ว หวังซีเองก็เคยเป็นอีสุกอีใสแล้ว หมั้นหมายกันเร็วก็จะได้แต่งงานกันเร็วขึ้นอีกสักหน่อย
ทั้งสองครอบครัวผลัดกันเจ้าไปหาข้าข้ามาหาเจ้า เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าออกจากบ้านอยู่บ่อยครั้ง และเวลานี้ก็เป็นช่วงที่กำลังมีเรื่องวุ่นวายด้วยเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทพอดี จึงเป็นธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของตระกูลชั้นสูงทรงอิทธิพลในจิงเฉิง
จวบจนตอนที่พวกเขารู้ว่าเป็นการวุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของเฉินลั่ว และคนที่เขาต้องการสู่ขอยังเป็นคุณหนูใหญ่สกุลหวังที่ถือกำเนิดมาจากครอบครัวพ่อค้าของสู่จงด้วยนั้น ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกันจนคางแทบจะร่วงหล่นลงพื้น
และคนที่ตกใจหนักกว่าใครเพื่อนก็คือจวนเซียงหยางโหว
ครอบครัวพวกเขาพยายามตามหาคู่ครองดีๆ ให้คุณหนูห้าของพวกเขามาโดยตลอด และแน่นอนว่าเฉินลั่วเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง แต่พวกเขาคิดว่าหลายปีมานี้ฮ่องเต้และจ่างกงจู่ต่างจับเรื่องแต่งงานของเฉินลั่วเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้แต่การแต่งกับองค์หญิงยังรู้สึกว่าดีไม่พอ พวกเขาจึงยิ่งไม่อาจปีนป่ายขึ้นไป ก็เลยได้แต่คิดเท่านั้น แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจ่างกงจู่จะถูกใจตระกูลหวังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวโกรธจนล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บนเตียง ระบายอารมณ์กับโหวฮูหยินผู้เป็นสะใภ้ว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ผล แล้วพวกเจ้าตอบข้าว่าอย่างไร บัดนี้ช่างดีเหลือเกิน ปล่อยให้ตระกูลหวังได้ไปครอบครอง ปล่อยให้จวนหย่งเฉิงโหวค้ำอยู่บนศีรษะของพวกเรา พวกเจ้าต่างรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญใช่หรือไม่”
โหวฮูหยินรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก คุณหนูหวังหน้าตางดงาม เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งของทั้งจิงเฉิง เรื่องสินเจ้าสาวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่ากันว่านางมาอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวชั่วคราว จวนหย่งเฉิงโหวอาศัยมือของนางปรับปรุงเรือนชั้นในใหม่ทั้งหมดไปรอบหนึ่ง คุณหนูห้าของพวกเขาจะเอาอะไรไปสู้คุณหนูหวังของผู้อื่นได้?
สิ่งเดียวที่เอาชนะคุณหนูหวังได้ก็เห็นจะมีแต่เรื่องต้นกำเนิดเท่านั้นแล้ว
แต่ในจิงเฉิงคนที่มีต้นกำเนิดดีกว่าคุณหนูห้าไม่รู้ว่ามีมากมายเพียงใด
โหวฮูหยินกลับเรือนของตัวเองไปด้วยอาการห่อเหี่ยว
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ยินยอม ลุกขึ้นมาให้หมัวมัวคนสนิทนำเทียบไปส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหว “ข้าต้องไปต่อว่านางดีๆ สักครั้ง สองครอบครัวมีสัมพันธ์ต่อกันดีขนาดนี้ นางกลับไม่บอกกล่าวข้าสักคำ นี่กลัวข้าจะไปฉกเอางานแต่งดีๆ ของพวกนางไปหรืออย่างไร”
ช่วงนี้หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ามีหันซื่อสะใภ้ที่แต่งเข้ามาใหม่ของบ้านรองคอยหยอกเย้าให้มีความสุขจนแม้แต่ซือจูนางก็โยนทิ้งไปชั่วขณะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกเลย
ตอนที่ได้รับเทียบของเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่านางยังดีอกดีใจเป็นอย่างมาก เล่าให้หันซื่อฟังว่าทั้งสองคนสนิทสนมกันอย่างไรบ้าง ถึงเวลาให้หันซื่อคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ยังกล่าวอีกว่า “เจ้าเองก็ทำความรู้จักเอาไว้ ครอบครัวพวกเขามีญาติที่ดองกันเป็นจำนวนมาก ได้รู้จักพวกเขาหนึ่งครอบครัวก็เท่ากับรู้จักครอบครัวชั้นสูงทั้งหมดของจิงเฉิง หากเข้ากันได้ดี นั่นก็ยิ่งดีแล้ว”
หันซื่ออยากอาศัยอำนาจของฮูหยินผู้เฒ่าหนีออกจากการกดทับของโหวฮูหยินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บัดนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายินดีแนะนำคนจากจวนเซียงหยางโหวให้นางรู้จักก่อนด้วยตัวเอง นี่ทันท่วงทียิ่งกว่าความช่วยเหลือในยามจำเป็นเสียอีก
นางพรมคำประจบเยินยอที่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งใส่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่หวงของ ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะอย่างมีความสุขไม่หยุด
แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวทราบวัตถุประสงค์การมาของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวแล้วก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
นางไม่ทันได้สนใจด้วยซ้ำว่าจะเป็นการเสียหน้าหรือไม่ เบิกดวงตาโพลงเอ่ยถามซือหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างว่า “เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่สกุลหวังเดินทางมาถึงจิงเฉิงแล้ว ท่านโหวไม่ได้ให้เขามาคารวะข้าหรือ แล้วงานแต่งระหว่างหวังซีกับเฉินลั่วนั่นอีกเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงไม่ได้ยินคนพูดถึงเลย?”
ถามเสร็จ นางยังมองหันซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ นางด้วยความสงสัยครั้งหนึ่งอีกด้วย
หันซื่อเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน รีบกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า ข้าเองก็ไม่ทราบเรื่องเช่นกันเจ้าค่ะ ข้ามาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านทุกวัน ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปสนใจเรื่องอื่นได้” กล่าวจบก็ตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของตนไม่ค่อยดีนัก จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ให้ข้าไปสอบถามดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
ให้หลานสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ไปสืบเรื่องเช่นนี้ดูไม่ค่อยดีนัก แต่เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว จึงเร่งให้นางรีบไปสอบถาม ยังให้ซือหมัวมัวไปเรียกโหวฮูหยินมาด้วย กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “ข้าต้องถามนางสักหน่อยว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
เห็นว่าบุตรชายไม่เคารพนางแล้ว ก็เลยอวดดีตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ
นางแค่ไม่อยากเป็นแม่สามีที่รังแกคนรุ่นเด็กกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีวิธีจัดการบุตรสะใภ้
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ารู้จักนิสัยของหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าดี ดูจากท่าทีนี้ของนางแล้ว รู้ว่านางไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ ชั่วขณะนั้นบังเกิดความรู้สึกดูแคลนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เป็นคนเลอะเลือนมาถึงขั้นนี้ได้ ช่างทำให้คนอัศจรรย์ใจได้มากจริงๆ
นางยังคงคอยเติมเชื้อไฟอยู่ด้านข้างโดยกล่าวขึ้นว่า “เจ้านี่น้า เพราะนิสัยอ่อนปวกเปียกเกินไป หาไม่แล้ว ตอนท่านโหวผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่จะมีอนุภรรยาและบุตรอนุมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร!”
………………………………………………………………