เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 227 ส่งท้ายปี
จ่างกงจู่ได้ยินคำถามของเฉินลั่วแล้วหัวเราะร่วนไม่หยุด สุดท้ายตบบ่าของบุตรชายอย่างอารมณ์ดีพลางกล่าวว่า “เรื่องที่เจ้าไม่รู้ยังมีอีกมาก!”
คนเป็นเถ้าแก่ไม่อาจเชิญสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ต้องเป็นคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับคนในครอบครัวถึงจะได้รับเชิญมาเป็นเถ้าแก่ บัดนี้สถานการณ์ในราชสำนักไม่ปกติ เมื่อใดที่อวี๋จงอี้กับเจียงชวนป๋อมาเป็นเถ้าแก่ให้ ก็เท่ากับเป็นการบอกคนภายนอกว่าพวกเขาทั้งสองกับเฉินลั่วหรือไม่ก็จ่างกงจู่มีความสัมพันธ์ต่อกันดีมาก
อวี๋จงอี้ยังพออธิบายได้ เพราะชื่นชมเขาจากเรื่องขององค์ชายใหญ่ จึงยินดีเป็นเถ้าแก่ให้เขา ช่วยเหลือเขาสักครั้ง เรื่องนี้เขาพอจะเข้าใจได้ แต่เจียงชวนป๋อ…สนิทสนมกับบ้านพวกเขาขนาดนี้เชียวหรือ?
ต้องรู้ว่า บางครั้งเพื่อไม่ให้เป็นการเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียวแล้ว บุรุษจากเรือนชั้นนอกกับสตรีในเรือนชั้นในอาจเดินบนเส้นสายคนละเส้นกัน นอกจากนี้จวนเจียงชวนป๋อไม่มีป๋อฮูหยินมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าอยากคบค้ากับใครเจียงชวนป๋อไม่อาจควบคุมได้ จึงยิ่งอธิบายกับคนภายนอกได้ง่าย
เจียงชวนป๋อทำเช่นนี้ เท่ากับเอาตัวเองมาผูกอยู่บนเรือลำเดียวกับจ่างกงจู่และเขาแล้ว
หรือบางที ตระกูลหวังอาจหว่านล้อมเจียงชวนป๋อได้?
วันรุ่งขึ้นเฉินลั่วจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ตอนที่นำรากบัวไปส่งให้หวังซี
หวังซีเองก็ประหลาดใจเช่นกัน กล่าวว่า “ข้าจะให้คนไปถามพี่ใหญ่ข้าดู”
ไป๋กั่วรับงานนี้ไปจัดการ
หวังซีจึงสาละวนดูรากบัวที่ยังมีโคลนติดอยู่หลายท่อนนั้นไปมา พลางกล่าว “ไม่แปลกที่จิงเฉิงเป็นศูนย์กลางของประเทศ แม้แต่ฤดูกาลนี้ก็ยังมีรากบัว ต้องมิใช่ของบรรณาการแน่นอน หาไม่แล้วต้องทำให้คนถึงตายได้แน่ แต่ก็มิใช่ของที่ใครก็หาได้ นี่ส่งไปให้จวนเจิ้นกั๋วกงหรือว่าจวนจ่างกงจู่?”
ครัวหลวงทำเฉพาะของที่ทำออกมาได้ตลอดทั้งปีเท่านั้น สิ่งที่ชอบมากที่สุดก็คือไก่เป็ดปลาและเนื้อ ของอย่างผักสดตามฤดูกาลนั้นเป็นอะไรที่ไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าทำเป็นอันขาด เพราะถ้าหากว่าฤดูหนาวฮ่องเต้เกิดอยากเสวยผักโขมที่มีเฉพาะในหน้าร้อนขึ้นมา ขันทีใหญ่ประจำครัวหลวงคงไปหาซื้อมาให้ไม่ได้
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดต้องเป็นจวนเจิ้นกั๋วกงหรือจวนจ่างกงจู่เท่านั้นเล่า? นี่เป็นของที่นายกองผู้หนึ่งในกองพลทองคำซ้ายส่งมาให้ บ้านเกิดเขาอยู่ที่หูเป่ย”
ไม่แปลกใจแล้ว ปกติหารากบัวดีขนาดนี้ไม่ได้
หวังซีจึงให้แม่ครัวมาดู หากรากบัวนี้ยังเก็บเอาไว้ได้อีก จะเอาไว้ทำน้ำแกงกระดูกหมูรากบัวในคืนข้ามปี แต่ถ้าเก็บต่อไปไม่ได้แล้ว ก็เอามาทำรากบัวปั้นชุบข้าวเหนียวนึ่งก็แล้วกัน “ประเดี๋ยวเอามาให้เจ้ากินแกล้มเหล้า! อร่อยอย่าบอกใครเชียว กรุบๆ กรอบๆ”
เฉินลั่วเห็นหวังซีเอาวัตถุดิบไปทำเป็นอาหารเลิศรสได้หลากหลายประเภทจนชินตาแล้ว เดินตรงไปยังห้องโถงหลักไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “เจ้ายังอยากได้วัตถุดิบอะไรอีกบ้าง ถือโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังส่งของขวัญมาให้ตามเทศกาลนี้ ข้าจะหาทางเอามาให้เจ้าสักเล็กน้อย”
หวังซีอมยิ้ม กล่าวว่า “คุณหนูรองอู๋ส่งส้มมาให้จากเจียงหนาน เจ้าอยากเอากลับไปสักตะกร้าหรือไม่ ข้าชิมดูแล้ว รสชาติหวานสดชื่น อร่อยกว่าส้มทั่วไปมากนัก”
เฉินลั่วค่อนข้างประหลาดใจ ถามว่า “นางส่งของขวัญปีใหม่มาให้เจ้าแล้ว?”
“อื้อ!” หวังซีพยักหน้า ไปนั่งบนตั่งตัวใหญ่ริมหน้าต่างที่อยู่ทางทิศตะวันออกของห้อง กล่าวว่า “มิใช่แค่ส่งให้ข้าเท่านั้น ยังส่งให้จวนเจียงชวนป๋อด้วย ข้าคิดไม่ถึงเลย เกรงว่าของขวัญตอบแทนของปีนี้คงล่าช้าเล็กน้อยแล้ว”
“ก็ไม่เป็นไร ปีหน้าค่อยว่ากัน” เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ที่ข้ามาหาเพราะอยากบอกเจ้าเอาไว้สักคำหนึ่ง พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าต้องเข้าวังแล้ว ต้องรอกินเลี้ยงที่วังหลวงในวันที่สามสิบให้เสร็จก่อนถึงกลับออกมาได้ วันที่หนึ่งก็ต้องเข้าวังอีกครั้งไปถวายพระพรฮ่องเต้กับไท่เฟย วันที่สองถึงจะมีเวลาว่าง ถึงเวลานั้นข้าจะไปไหว้ปีใหม่พี่ใหญ่”
นี่ยังไม่ได้เขียนหนังสือแต่งกันเลย ก็ทำตัวเสมือนเป็นบุตรเขยไปแล้ว
ความจริงหวังซีอยากปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ไป ภายหลังคิดอีกทีแล้วปล่อยตามใจเขาดีกว่า จวนจ่างกงจู่ก็ดี จวนเจิ้นกั๋วกงก็ดี ล้วนมีจำนวนคนน้อย เรื่องก็น้อย แต่ตระกูลหวังของพวกนางเป็นครอบครัวใหญ่ทรัพย์สมบัติมาก สมาชิกในตระกูลก็ก่ายกอง เรื่องราวย่อมมากตามไปด้วย จะต้องมีวาระที่จำเป็นต้องใช้บุตรเขยอย่างเฉินลั่วผู้นี้อีกมาก ในเมื่อเขายินดีสนิทสนมกับตระกูลหวัง เช่นนั้นก็ให้เขามาสนิทสนมด้วยก็แล้วกัน
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลาเจ้าอย่าลืมเอาสุราชั้นดีไปด้วยสักสองสามไห พี่ใหญ่ข้าไม่มีงานอดิเรกอื่น มีแค่ชอบดื่มสุราบ้างเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพอมีสุราดีแล้วยังชอบเชิญสหายมาสังสรรค์กันอีกด้วย”
“ข้าทราบแล้ว” เฉินลั่วได้รับคำบอกเล่าแล้วรีบกล่าวว่า “ข้าจะเอาสุราจากวังหลวงไปด้วยเล็กน้อย อาจไม่ได้เลิศรสไปกว่าสุราข้างนอก แต่เอาไว้รับรองสหายกลับมีเกียรติยิ่งนัก”
ดูแล้วคงเข้าใจความหมายของนางจริงๆ
หวังซีเลิกคิ้ว ทั้งสองคนรับมื้อเที่ยงด้วยกัน
ไป๋กั่วกระหืดกระหอบกลับเข้ามา บอกว่าตระกูลหวังกับเจียงชวนป๋อหาได้สนิทสนมกัน เป็นเถ้าแก่ที่จ่างกงจู่เชิญมาผู้นั้นแนะนำเจียงชวนป๋อให้หวังเฉินรู้จัก รอจนกระทั่งเฉินลั่วกลับไปแล้ว นางยังกระซิบบอกหวังซีด้วยว่า “คุณชายใหญ่บอกว่า ภายหลังเจียงชวนป๋อยังชวนเขาไปดื่มสุราด้วยครั้งหนึ่ง ถามว่ายานวดบรรเทาปวดของพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง บอกว่ากองทัพต้องการเป็นจำนวนมาก หากยานวดบรรเทาปวดของพวกเราใช้ได้ เข้าวสันตฤดูปีหน้าก็เตรียมเอกสารไปส่งที่กรมกลาโหมได้ ภายหน้าเมื่อถึงโอกาสเปลี่ยนสรรพาวุธใหม่ จะได้ทำการค้ากับกรมกลาโหม”
หวังซีนวดขมับ ไม่แปลกใจเลยที่ตระกูลค้าขายเหล่านั้นจะชอบดองกับตระกูลขุนนาง ดูอย่างการทำการค้านี้ สามารถขจัดพ่อค้าคนที่จัดหายานวดบรรเทาปวดคนก่อนหน้าออกไปได้อย่างง่ายดาย
นางถาม “แล้วคุณชายใหญ่ว่าอย่างไร”
ไป๋กั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายใหญ่ตอบรับไปอย่างคลุมเครือ บอกว่าถึงเวลาดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากันอีกที”
กลัวแต่ว่าจะปฏิเสธการค้านี้ไม่ได้ หากเจียงชวนป๋อรู้สึกว่าตนอุตส่าห์ลงเรี่ยวแรงอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปตั้งมากแต่ตระกูลหวังยังไม่รับเอาไว้ นี่มิเท่ากับเป็นการทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองโดยไร้เหตุผลหรอกหรือ
หวังซีเองก็ทำได้แต่ทอดถอนใจตามไปด้วยเท่านั้น
เพียงพริบตาเดียวก็ถึงวันปีใหม่ใหญ่วันที่ยี่สิบเก้า จวนหย่งเฉิงโหวเริ่มเตรียมอาหารสำหรับคืนข้ามปีกันแล้ว หย่งเฉิงโหวกับโหวฮูหยินต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงของวังหลวง ฮูหยินผู้เฒ่านำสตรีในบ้านมาเฝ้าคืนข้ามปีที่เรือนหยกวสันต์ อาหารสำหรับคืนข้ามปีก็ตั้งโต๊ะที่นี่ด้วยเช่นกัน
ช่วงเช้าตอนที่หวังซีไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่านั้น เบาะรองนั่งและเสื่อปูตั่งต่างๆ ล้วนเปลี่ยนเป็นสีแดงสด บนบานหน้าต่างยังแปะกระดาษตกแต่งสีแดงสดเอาไว้ด้วย ดูแล้วอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความชื่นชมยินดี
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มีชีวิตชีวามากเช่นกัน จับมือหวังซีเอาไว้มองฉังหนิง ฉังเหยียนและฉังเคอสามพี่น้องพลางกล่าวอย่างปลาบปลื้มว่า “พริบตาเดียวพวกเจ้าก็โตกันหมด ถึงเวลาออกเรือนกันแล้ว ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วที่พวกเจ้าจะได้ฉลองปีใหม่ที่บ้านด้วยกัน ภายหน้าไปอยู่บ้านผู้อื่น ก็กลายเป็นสะใภ้ของผู้อื่นแล้ว ต้องรักษากฎระเบียบของผู้อื่น ต้องเชื่อฟังรู้ความ อย่าให้แม่สามีของผู้อื่นติฉินนินทาและเอามาฟ้องถึงบ้านเดิมได้”
ฉังเหยียนและฉังเคอฟังด้วยอาการขัดเขิน ขานรับเจ้าค่ะกันอย่างนอบน้อมเชื่อฟัง มีเพียงฉังหนิงเท่านั้นที่กลอกตามองบน ท่าทางเหมือนกำลังพูดว่า ‘ท่านช่างกล่าวคำไร้สาระมากความเสียจริง’
หวังซีมองแล้วลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
โชคดีที่นางแต่งกับคนที่ต้องการพึ่งพาจวนหย่งเฉิงโหว หาไม่แล้วด้วยนิสัยของนางนี้ แต่งไปแล้วไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องอะไรออกมาบ้าง อย่างไรก็ตาม คนที่สู่ขอนางกลับไปก็โชคร้ายมากเช่นกัน
แต่ก็พูดยากเหมือนกัน ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจสนใจแค่อำนาจของตระกูลนาง ส่วนนิสัยจะดีหรือไม่นั้นอาจไม่สำคัญอะไรก็เป็นได้
หวังซีคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างนั่งดื่มชาอยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่ากับพี่น้องตระกูลฉังทั้งสาม เสร็จแล้วถึงลุกขึ้นกล่าวขอตัวลาออกมา
ทั้งสี่คนเดินร่วมทางกันมาช่วงถนนหนึ่ง
ฉังหนิงมองหวังซีแล้วคล้ายอยากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
หวังซีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พูดแต่กับฉังเคอว่า “ได้ยินว่าวันที่เก้าจะมีหิมะ ข้าว่าจะไม่ออกจากบ้าน แต่ช่วงเทศกาลโคมไฟข้าอยากไปเดินดูงานโคมไฟ เจ้าไปหรือไม่”
ฉังเคอรู้ว่านางไม่อยากคุยกับฉังหนิงและฉังเหยียน จึงคุยสัพเพเหระกับนางยิ้มๆ ว่า “เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่อนุญาต พวกเราแขวนโคมไฟที่จวนสักหลายๆ อันแทนดีหรือไม่! ซื้อโคมไฟแต่ละแบบกลับมามากหน่อยก็ใช้ได้แล้ว…”
ฉังเหยียนเห็นเหตุการณ์แล้วมองฉังหนิง จากนั้นก็มองหวังซี ค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลงอย่างเงียบเชียบ เดินอยู่ด้านหลังของพวกนาง
สุดท้ายแล้วพวกนางพี่น้องก็ทะเลาะกัน แม้แต่หน้าตาก็ไม่คิดจะรักษาเอาไว้แล้ว
นางถอนหายใจเงียบๆ
คิดไม่ถึงว่าการที่นางฉกฉวยเอางานมงคลของตระกูลหวงมานั้น ผลที่ตามมาจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ จนถึงบัดนี้ฉังเคอกับหวังซีก็ยังไม่ยอมให้อภัยนาง
นางเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน
ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว
เหมือนพี่ชายสามของนางกับหันซื่อที่รักใคร่กันและกันประหนึ่งน้ำผึ้งกับน้ำมัน ตระกูลหันยังคิดจะช่วยเปลี่ยนสถานที่ทำงานให้พี่ชายสามของนางด้วย
นางเดินไปด้วยสีหน้าราบเรียบไม่แสดงความรู้สึก
ส่วนหวังซีกับฉังเคอเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงทางแยก ต่างคนต่างเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “พรุ่งนี้เจอกัน” แล้วก็ต่างแยกย้ายกันไป
ฉังหนิงถึงได้ดึงฉังเคอเอาไว้ เอ่ยถามว่า “ได้ยินว่านางกำลังจะแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
ฉังเคอจะรื้อทำลายเวทีของหวังซีได้อย่างไร นางแสร้งทำเป็นตกใจกล่าวว่า “ข้าไม่รู้เรื่องเลย! เจ้าได้ยินผู้ใดพูดมา? ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กักบริเวณให้เจ้าอยู่แต่ในบ้านเพื่อทำงานเย็บปักมิใช่หรือ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้ข่าวไวกว่าข้าเสียอีก”
“จริงหรือ” คำพูดของฉังเคอทำให้ฉังหนิงไม่ค่อยมั่นใจแล้ว นางพึมพำกล่าวว่า “ข้าเองก็แค่ได้ยินมาเท่านั้น อาจจะฟังผิดไปก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ซือจูแต่งไปแล้วชีวิตนางเป็นอย่างไรบ้าง คราวก่อนได้ยินว่านางกลับมา แต่เพียงไม่นานก็กลับไปแล้ว นางได้บอกหรือไม่ว่าจะกลับมาไหว้ปีใหม่ที่บ้านวันที่เท่าไร”
วันที่สองกลับบ้านเดิม วันที่สามไปบ้านลุง แต่โดยปกติแล้วบ้านเดิมกับบ้านลุงล้วนไม่ค่อยแยกออกจากกันอย่างชัดเจนนัก ตอนไปส่งของขวัญตามเทศกาลล้วนบอกกล่าวกันสักคำและปรึกษาหารือกันให้เรียบร้อย เพื่อที่ผู้อื่นก็จะได้เตรียมตัวรับรองแขกได้
ฉังเคอกล่าว “ข้าจะรู้ได้อย่างไร! แม้แต่เรื่องของหวังซีข้ายังเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลย!”
ฉังหนิงย่นคิ้ว ไม่กล่าวอะไรอีก ทว่ากลับเรือนไปถามโหวฮูหยินว่า “ตอนที่จวนเจิ้นกั๋วกงมาส่งของขวัญป้ารับใช้ผู้นั้นได้บอกหรือไม่เจ้าคะว่าซือจูจะมาวันที่เท่าไร”
หย่งเฉิงโหวฮูหยินได้ยินแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “นานๆ ทีกว่าเจ้าจะได้ออกจากเรือนไปครั้งหนึ่ง นี่ผู้ใดมาพูดอะไรให้เจ้าฟังอีกแล้ว ซือจูจะมาหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
ฉังหนิงก็แค่อยากรู้ว่าหวังซีกำลังจะแต่งกับเฉินลั่วจริงหรือไม่เท่านั้น
ก่อนจะมีการวางของหมั้นอย่างเป็นทางการ ต่อให้นางถามมารดาของนาง มารดานางก็ไม่มีทางบอกนาง มิสู้ถามซือจูดีกว่า
นางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ข้าถามสักคำก็ไม่ได้เชียวหรือ”
โหวฮูหยินรู้ดีว่าบุตรสาวของตนผู้นี้ดื้อดึงเพียงใด หากนางไม่บอก ไม่แน่ว่านางอาจไปถามใครอีกและอาจสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาก็เป็นได้ จึงกล่าวว่า “ปีนี้นางคงไม่ได้มาไหว้ปีใหม่ เห็นบอกว่าหลายวันก่อนต้องลมหนาวก็เลยเป็นไข้ จนบัดนี้ก็ยังไม่หาย แม้แต่งานเลี้ยงส่งท้ายปีของวังหลวงนางก็ไม่ได้เข้าร่วม”
แม้แต่สถานะบุตรชายคนโตของเจิ้นกั๋วกงยังไม่เพียงพอให้เฉินอิงได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงในวันที่สามสิบเลย นับประสาอะไรกับซือจู แต่เฉินอิงเป็นลูกเลี้ยงของจ่างกงจู่มิใช่หรือ จารีตของประเทศไม่ได้แต่จารีตครอบครัวได้ ซือจูเองก็เลยมีคุณสมบัติไปด้วย
ฉังหนิงขาน “อ้อ” เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นท่านแม่ต้องส่งคนไปเยี่ยมนางหรือไม่ ต้องส่งยาไปให้สักหน่อยหรือเปล่าเจ้าคะ”
โหวฮูหยินกล่าวอย่างอดทนไม่ได้อีกแล้วว่า “ข้าไม่รู้มารยาทพวกนี้หรืออย่างไร เจ้าดูแลเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องให้เจ้ามาเป็นห่วงหรอก”
ฉังหนิงเดินกระฟัดกระเฟียดจากไปด้วยความโกรธ
โหวฮูหยินมองเงาหลังของบุตรสาวตัวเองแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ
นี่จะทำอย่างไรดี
ตนตามใจนางมากเกินไปแล้ว
ผู้อื่นต่างไม่ถามถึงซือจู มีเพียงนางเท่านั้นที่ยังเอาแต่คำนึงถึงซือจูอยู่
ซือจูป่วยไข้ที่ไหนกัน เห็นๆ อยู่ว่าถูกกักบริเวณ แม้แต่เรื่องพวกนี้ยังแยกแยะไม่ได้ ไปอยู่บ้านสามีแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร
ดูแล้วคงต้องหาป้ารับใช้ที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่งไปกับนางในฐานะสินเจ้าสาวด้วยถึงจะใช้การได้!
โหวฮูหยินคิดแล้วรู้สึกเหนื่อยใจยิ่งนัก
………………………………………………………………..