เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 234 งานเลี้ยงต้อนรับ
งานเลี้ยงของจ่างกงจู่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
เจิ้นกั๋วกงไม่โผล่หน้าออกมาเลย
จ่างกงจู่เชิญองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองมาอยู่เป็นเพื่อนแขกบุรุษ ส่วนแขกฝั่งสตรีเชิญสตรีจวนชิงผิงโหวและจวนหลินอานต้าจ่างกงจู่กับลู่หลิงมาอยู่เป็นเพื่อน
บรรทัดฐานนี้สูงมาก แต่เฉินอิงและซือจูในฐานะบุตรชายและสะใภ้คนโตต่างไม่โผล่หน้าออกมาร่วมงาน
จ่างกงจู่ให้เหตุผลว่า “ท่านกั๋วกงมีธุระถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวัง เขาบอกเอาไว้แล้วว่าประเดี๋ยวจะรีบกลับมา แต่ถ้าวันนี้เขากลับมาหลังเที่ยง พวกเราก็ต้องรอจนหลังเที่ยงถึงจะกินข้าวได้อย่างนั้นหรือ เฉินอิงเองก็มีงานเช่นกัน ส่วนสะใภ้ใหญ่ระยะนี้ป่วยออดแอด ก็เลยไม่สร้างความลำบากให้พวกเขาแล้วดีกว่า พี่สะใภ้ของว่าที่สะใภ้ก็หาได้มาวันนี้กลับพรุ่งนี้เสียหน่อย ต่อไปยังมีเวลาได้เจอกันอีก”
คำพูดนี้ทั้งอ่อนโยนและสุภาพ ทำให้คนไม่อาจกล่าวหาอะไรได้
จินซื่อพึงพอใจมาก ใช้โอกาสตอนไปสุขากล่าวชมจ่างกงจู่ว่า “เป็นหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ นอกจากฮ่องเต้แล้วคาดว่าคงไม่เคยประจบเอาใจผู้ใดมาก่อน แต่ต่อให้เป็นฮ่องเต้ นั่นก็เป็นเชษฐาร่วมอุทรของนาง การที่พูดเช่นนี้ออกมาได้นั่นก็เป็นเพราะให้ความสำคัญกับเจ้า นางมีจิตใจเช่นนี้ เจ้าแต่งเข้าไปแล้วชีวิตก็คงไม่ลำบาก ข้าเองก็วางใจได้แล้ว”
กล่าวจบ ยังลูบศีรษะของหวังซีอย่างรักใคร่อีกด้วย
หวังซีใช้สบู่ถั่วขัดมือไปด้วย เม้มปากอมยิ้มไปด้วย
นางเองก็ประหลาดใจเล็กน้อยกับการปฏิบัติแสนพิเศษของจ่างกงจู่เช่นกัน
อาหารในงานเลี้ยงเป็นฝีมือของอาจารย์ประจำครัวหลวงที่เชิญมาจากในวัง อาหารมิได้มีรสชาติเลิศเลอไปกว่าของผู้อื่น แต่มีเกียรติยิ่ง ชุดจานชามที่ใช้รับรองแขกล้วนเป็นกระเบื้องเคลือบสีสันสดใส เป็นสีที่ใช้ในงานเลี้ยงของวังหลวงทั้งสิ้น รางวัลที่แจกให้ข้ารับใช้ของตระกูลหวังเป็นก้อนทองเท่าเมล็ดถั่วบรรจุอยู่ในถุงเงินสีฟ้าลายคลื่นสมุทรตามธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวง แม้นไม่มากแต่ก็เก็บเอาไว้ไปคุยโอ้อวดกับญาติมิตรได้
ยังแนะนำจินซื่อให้สตรีของจวนชิงผิงโหวและอื่นๆ อย่างเป็นการเป็นงานอีกด้วย
จวนชิงผิงโหวนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย อนาคตตระกูลหวังต้องรับงานส่งเสบียงให้กองทัพกับตระกูลพวกเขา ส่วนหลินอานต้าจ่างกงจู่เป็นสตรีเชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสสูงสุด และลู่หลิงก็เป็นตัวแทนของจวนเจียงชวนป๋อ เท่ากับว่าจ่างกงจู่ช่วยเปิดประตูบานใหญ่สู่แวดวงคนชั้นสูงในจิงเฉิงให้จินซื่อ นางจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคงหรือไม่ ก็ต้องรอดูฝีมือและความสามารถของจินซื่อเองแล้ว
นี่ต่างหากคือจุดที่ตระกูลหวังพึงพอใจที่สุด
นึกถึงตรงนี้แล้วจินซื่อกล่าวอีกว่า “จ่างกงจู่เอาใจใส่ ผู้อื่นให้เกียรติข้าหนึ่งคืบ ข้าให้เกียรติผู้อื่นกลับหนึ่งศอก ต่อไปเจ้าแต่งเข้าไปแล้ว ก็ต้องเคารพให้เกียรติจ่างกงจู่ด้วยถึงจะถูก”
หวังซีได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ ไม่หยุด รู้สึกว่าคนที่ควรได้รับคำขอบคุณมากที่สุดสมควรเป็นเฉินลั่ว
จากที่นางสังเกตจ่างกงจู่ดูแล้ว จ่างกงจู่หาใช่คนอบอุ่นอ่อนโยนมากนัก ที่ยอมทำถึงขั้นนี้ได้ โดยมากคงเป็นเพราะเห็นแก่เฉินลั่วมากกว่า
จินซื่อช่วยจัดเครื่องประดับบนศีรษะให้หวังซี กล่าวเสียงค่อยว่า “ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะเสียมารยาทต่อหน้าองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองหรือไม่”
ความจริงแล้วเป็นเพราะคนภายนอกต่างกำลังลือกันว่าองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองไม่ถูกกัน นางจึงกลัวว่าหวังเฉินที่คั่นอยู่ตรงกลางอาจลำบากใจ และอาจนำหายนะมาสู่ครอบครัวได้
หวังซีกลับเชื่อมั่นในตัวเฉินลั่ว “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณชายรองรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”
เป็นท่าทางที่เชื่อมั่นในเฉินลั่วเต็มร้อย
จินซื่อมองหวังซีครั้งหนึ่ง คิดอยู่ในใจว่างานมงคลของทั้งสองคนมาอย่างไม่ปกตินัก คงมิใช่ว่าตกหลุมรักกันมาก่อนหน้านี้แล้วหรอกกระมัง
เพียงแต่ว่านางในฐานะพี่สะใภ้ใหญ่นี้ต่อให้สนิทสนมกันเพียงใด หากน้องเล็กไม่พูด นางก็ไม่อาจเอ่ยปากถามได้ ยิ่งไปกว่านั้นการเกี่ยวดองนี้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว จึงยิ่งไม่อาจพูดเหลวไหลได้อีก
นางกับหวังซีแต่งหน้าแต่ตาใหม่อีกครั้ง จากนั้นพากันกลับไปที่งานเลี้ยงอย่างยิ้มแย้ม
ขณะที่กำลังกินข้าวพูดคุยกันอย่างครึกครื้นนั้น ก็มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “องค์ชายเจ็ดเสด็จมาเจ้าค่ะ” ยังกล่าวอีกว่า “ทรงตรัสว่าไม่รู้ว่าวันนี้ในบ้านมีแขก ขอจ่างกงจู่โปรดอภัยให้ด้วย พระองค์ให้คนไปสั่งขนมและของว่างที่หอสายลมวสันต์ส่งมาให้เล็กน้อย ให้ทุกคนเอาไว้ล้างปากหลังดื่มสุราเจ้าค่ะ”
ต่อให้จ่างกงจู่มีเกียรติเพียงใดก็ไม่มากไปกว่าองค์ชาย
นางได้แต่ถอนหายใจอย่างไร้ทางเลือก กล่าวว่า “บอกเขาไม่ต้องมาคารวะข้าแล้ว ช่วยข้ารับรองคนจากตระกูลสะใภ้ให้ดีก็พอ ดื่มเสร็จแล้วค่อยมาคารวะข้าก็ยังไม่สาย”
สาวใช้เด็กผู้นั้นรับคำแล้วถอยออกไป
หวังซีถือจอกสุราเอาไว้ทว่าใจลอยไปครู่หนึ่ง
นี่จะร้องงิ้วเรื่องไหนอีกแล้ว?
นางไม่เชื่อว่าองค์ชายเจ็ดบังเอิญเสด็จมาโดยไม่ตั้งใจ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าองค์ชายเจ็ดพระองค์นี้คิดอะไรอยู่กันแน่ โชคดีที่ด้านหน้ามีเฉินลั่วอยู่ด้วย ไม่น่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไม่นานนางก็ได้สติคืนกลับมา สมควรกินก็กิน สมควรดื่มก็ดื่ม ดูสงบนิ่งมาก
จ่างกงจู่มองแล้วลอบพยักหน้า จินซื่อที่ไม่รู้เรื่องอะไรผู้นี้ยังขบคิดอยู่ตรงนั้น ได้ยินว่าองค์ชายเจ็ดพระองค์นี้อายุเท่าอาซี เป็นชายหนุ่มแล้วทว่าไม่ยึดถือกฎระเบียบขนาดนี้ คงเป็นโอรสองค์เล็กที่จักรพรรดิโปรดปรานที่สุดกระมัง
แต่ญาติดีกับจวนจ่างกงจู่ได้ ก็คงนับว่าเป็นเรื่องดีกระมัง
หลังออกมาจากจวนจ่างกงจู่แล้ว นางก็หันไปสืบเรื่องขององค์ชายเจ็ดจากหวังซี
หวังซีถึงรับรู้ได้ถึงความผิดพลาด
การเดินอยู่ในแวดวงคนชั้นสูงของจิงเฉิงนี้ หากไม่ระวังตัว ความประมาทเพียงหนึ่งก็อาจนำหายนะมาสู่ตระกูลได้ ต่อให้เจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาดมากเพียงใด หากไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร ก็ล้มหัวคะมำได้เหมือนกัน
ตัวพี่ชายใหญ่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน? หรือเป็นเพราะนางเชื่อมั่นตัวเองเกินไป ก็เลยไม่ได้บอกพี่ชายใหญ่มาก่อน?
ไล่คิดดูแล้วเป็นเพราะนางทึกทักไปเองมากเกินไป คิดว่าเรื่องที่หลงจู๊ใหญ่รู้ พี่ชายใหญ่ของนางย่อมต้องรู้ด้วย และเมื่อพี่ชายใหญ่ของนางรู้แล้ว ย่อมจะอนุมานได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เมืองหลวงบ้าง
ยิ่งคิดหวังซีก็ยิ่งหวาดหวั่น อันดับแรกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้นางฟังทั้งหมดก่อน จากนั้นขณะที่จินซื่อกำลังตะลึงงันอยู่นั้นก็เปลี่ยนไปขึ้นรถม้าของหวังเฉินอย่างทนรอไม่ไหว อ้างเรื่องการปรากฏกายขององค์ชายเจ็ด เล่าสถานการณ์ของจิงเฉิงที่ตนรู้ทั้งหมดให้หวังเฉินฟัง
หวังเฉินฟังแล้วอ้าปากค้างไปครู่ใหญ่
แม้นเขาจะได้ยินอะไรมาบ้าง และพอจะอนุมานเรื่องบางอย่างได้ ทว่าไม่เหมือนหวังซีที่ได้ข่าวทุกอย่างมาจากเฉินลั่ว เทน้ำจากหลังคา ทิวทัศน์ที่มองเห็นย่อมไม่เหมือนกัน
ฮ่องเต้ไม่ประสงค์แต่งตั้งองค์ชายรองเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนดูออก ใช้องค์ชายใหญ่คานอำนาจกับองค์ชายรองก็เป็นเรื่องที่ทุกคนพอจะคาดเดาได้หลายส่วน ซึ่งอธิบายให้สามัญก็คือฮ่องเต้อายุมากแล้ว พอเผชิญหน้ากับองค์ชายที่บรรลุนิติภาวะก็เปรียบเสมือนราชสีห์ที่ระแวดระวังตัว อาจไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าองค์ชายรองมีข้อบกพร่อง แต่เพราะไม่ยอมปล่อยอำนาจในมือไปก็เท่านั้น
แต่จากคำกล่าวของหวังซีแล้วกลับเป็นเพราะฮ่องเต้ประสงค์แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นรัชทายาทแทน
ทิ้งโอรสองค์โตจากชายาเอกแต่งตั้งโอรสองค์เล็กอันเป็นที่รักแทน นี่ต้องเกิดเรื่องแน่ๆ
หวังเฉินนั่งตัวตรงขึ้นมาหลายส่วน กล่าวอย่างระแวดระวังว่า “เรื่องนี้จริงหรือ”
ถามเสร็จก็รู้สึกว่าตัวเองถามประโยคไร้สาระออกไป
หาไม่จริงเหตุใดจวนชิ่งอวิ๋นป๋อต้องตั้งเป้าโจมตีหนิงผินเหนียงเหนียงด้วย
องค์ชายรองบรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งครอบครองตำแหน่งโอรสจากชายาเอก เพียงอดทนอีกไม่กี่ปีก็ได้แล้ว เหตุใดต้องเสี่ยงในเวลานี้ด้วย
เขารีบกล่าว “เจ้านัดคุณชายรอง ไม่ เจ้านัดคงไม่เหมาะสม ข้าจะส่งเทียบไปเชิญเขามาดื่มที่บ้านลำพังสักครั้งก็แล้วกัน แม้นงานแต่งของพวกเจ้าจะกำหนดลงมาแล้ว แต่เรื่องเล็กน้อยบางอย่างยังต้องปรึกษาหารือกันอีก”
หวังซีรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
อยู่จิงเฉิง จะเป็นคนปานกลางก็ได้หรือไร้ความสามารถก็ได้ ทว่าไม่อาจเป็นคนโง่ แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าเป็นคนโง่ก็คือเป็นคนฉลาดที่ใช้ความฉลาดผิดที่
หวังซีไปเยี่ยมเยียนจวนชิงผิงโหวกับจวนเจียงชวนป๋อเป็นเพื่อนจินซื่ออย่างสบายใจ
จวนชิงผิงโหวนั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้งสุภาพมีมารยาทและให้ความสนิทสนมด้วยหลายส่วน จัดการทุกอย่างได้เหมาะสมดียิ่ง ส่วนจวนเจียงชวนป๋อต่างออกไป หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าเจอจินซื่อแล้วก็จับมือนางเอาไว้มองสำรวจขึ้นลงกว่าครู่ใหญ่ กล่าวกับหวังซีว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าพี่สะใภ้ของเจ้าหน้าตางดงามมีคุณสมบัติของสตรีงามพร้อม พูดกันไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว งดงามจริงๆ”
ลู่หลิงกลัวหวังซีกับจินซื่ออึดอัด จึงกล่าวแทรกจากด้านข้างว่า “ดูจากพี่สาวซีก็รู้แล้วเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ของนางย่อมต้องงดงามไม่ต่างกัน”
ทุกคนหัวเราะฮ่าออกมา
หวังซีกับจินซื่ออยู่รับมื้อเย็นที่จวนเจียงชวนป๋อเสร็จแล้วถึงกลับมา ภายหลังเชิญเฉพาะคนของจวนชิงผิงโหวและจวนเจียงชวนป๋อมาเป็นแขกที่ตระกูลหวังอีกครั้ง
ยุ่งวุ่นวายเช่นนี้อยู่ช่วงหนึ่งก็ถึงวันออกเรือนของฉังหนิง
ตระกูลหวังปิดบ้านเดินทางไปจวนหย่งเฉิงโหว
ภายในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ามีแขกอยู่เป็นจำนวนมาก ทุกคนพากันกล่าวเย้าหวังซีว่าเหตุใดเพิ่งมาเอาป่านนี้ พอรู้ว่าหวังซีย้ายไปอยู่ที่ซอยลิ่วเถียวแล้ว ต่างร้องอยากไปเป็นแขกที่บ้านของนาง
หวังซีขานตอบรับอย่างยิ้มแย้ม ทว่ามิได้เก็บเอาคำพูดตามมารยาทเหล่านี้มาใส่ใจ ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าโกรธที่นางย้ายออกจากจวนหย่งเฉิงโหวหรือเพราะมีแขกมากเกินไปกันแน่ เพียงพยักหน้าและกล่าวกับนางเสียงหนึ่งว่า “มาแล้วหรือ” เท่านั้น จากนั้นก็ไปวุ่นกับการคุยกับคนอื่นๆ แทน
นางกับฉังเคอถอยออกไป เห็นแดดดีมากจึงยืนคุยสัพเพเหระอยู่ใต้ต้นการบูรของลานบ้าน คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวเดินออกมาด้วยใบหน้าเจือแววกังวล ยืนทักทายพวกนางอยู่บนบันได
ทั้งสามคนจึงไปนั่งตรงที่นั่งพักตามแนวทางเดินที่อยู่ด้านข้าง
คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวถามหวังซี “ได้ยินว่าครอบครัวพวกเจ้ารับทำการค้าส่งเสบียงให้กองทัพที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ?”
จะเร็วหรือช้าย่อมมีคนรู้เรื่องนี้ จึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง
หวังซีตอบตามตรงว่า “ใช่แล้ว” กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดเจ้าถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า” คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวยิ้มอย่างกระดากเล็กน้อย กล่าวว่า “ก็แค่ได้ยินใครสักคนพูดถึงโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ได้เจอเจ้าแล้วก็เลยอยากถามเจ้าดูเท่านั้น” จากนั้นกล่าวอีกว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง หลายปีนี้ทำการค้ากับเก้าเหล่าทัพล้วนไม่แย่นัก”
หวังซีรู้สึกว่าพวกนางไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องพวกนี้กัน จึงยิ้มพลางเอ่ยถึงเรื่องที่ต้าถงขึ้นมาแทน เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่นเสีย
เพียงแต่นางไม่รู้ว่า หลังจากที่นางกับฉังเคอเดินไปแล้ว ก็มีเด็กสาวสองสามคนวิ่งเข้ามาถามคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวในทันทีว่า “เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือ ครอบครัวพวกนางรับงานส่งเสบียงให้กองทัพที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือจริงๆ? งานนี้มิใช่งานที่ใครก็กล้ารับทำ แต่ก็เป็นการค้าที่น่าเชื่อถือมากเช่นกัน ข้าว่าโดยมากต้องเป็นเพราะเดินบนเส้นสายของจวนจ่างกงจู่อย่างแน่นอน”
สีหน้าของทุกคนดูแปลกๆ ขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
มีคนกล่าวขึ้นว่า “นึกถึงตอนนั้นที่เกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวท่านตาของคุณหนูรองจวนเว่ยกั๋วกง ขอร้องให้เฉินลั่วช่วยนำสารไปให้จ่างกงจู่ อยากเดินบนเส้นสายของจ่างกงจู่ ทว่าเฉินลั่วปฏิเสธเสียงแข็ง ยังพูดอะไรทำนองว่าเรื่องของราชสำนักย่อมมีการตัดสินโดยตุลาการ เขาเป็นเพียงหลานลุงผู้หนึ่ง ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเรื่องของฝ่ายบริหาร แต่เพิ่งพูดคำดังกล่าวไปไม่กี่ปี ก็เริ่มตบปากตัวเองเสียแล้ว”
แต่ก็มีคนพูดตะกุกตะกักขึ้นว่า “พวกเราเองก็แค่คาดเดากันเท่านั้น บางทีที่ผู้อื่นได้การค้านี้มาอาจไม่เกี่ยวอะไรกับเฉินลั่วเลยก็เป็นได้”
“มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ที่ไหนกัน พวกเจ้าเชื่อ แต่ข้าไม่มีทางเชื่อ”
มีคนทอดถอนใจ “น่าเสียดายที่คุณหนูรองอู๋ไม่อยู่จิงเฉิงแล้ว หากถามนางสักประโยคได้ก็คงดี”
คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวฟังคำวิจารณ์เหล่านี้แล้วม้วนผ้าเช็ดหน้าเข้ากับนิ้วมือจนแน่น
หวังซีช่างโชคดีจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าที่บ้านจะเห็นด้วยกับการเกี่ยวดองเช่นนี้
ไม่กลัวว่าทิ้งนางไว้ที่จิงเฉิงแล้วจะไม่มีคนดูแล
อย่างไรก็ตามนี่เป็นอะไรที่พูดยาก ไม่แน่ว่าผู้อื่นอยากใช้โอกาสนี้ย้ายมาอยู่จิงเฉิงอยู่แล้วก็เป็นได้
นางกับหวังซีอายุเท่ากัน งานแต่งของหวังซีกำหนดลงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่างานแต่งของนางยังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหน
ยิ่งคิดคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวก็ยิ่งรู้สึกปวดแปลบใจ
แม้แต่ฉังเคอที่ถือกำเนิดมาจากสายของอนุภรรยายังได้คู่หมายที่ดีขนาดนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนพวกนางมักจะพูดว่ารักพวกนาง ทว่าเอาแต่คิดจะใช้ประโยชน์จากพวกนางแต่ละคนให้ได้มากที่สุด มีคนอยากจับคู่นางกับปั๋วหมิงเย่ว์ของจวนชิ่งอวิ๋นป๋อ ท่านย่าของนางกลับรู้สึกว่ามีพี่สาวใหญ่ของนางแต่งเข้าไปแล้ว หากนางแต่งเข้าไปอีกก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ความรู้สึกหมดหนทางประหนึ่งจอกแหนประเภทนี้ จะมีสตรีที่อยู่ตรงนี้สักกี่คนที่เข้าใจมัน
นางตาแดงเรื่อขึ้นมา
…………………………………………………………