เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 3 ตำแหน่งที่ตั้ง
หวังซีพยักหน้าอย่างสงบ
ไม่เหมาะสมก็เปลี่ยนคนเสีย
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องของจวนหย่งเฉิงโหว ไม่เกี่ยวอันใดกับนาง
นางจัดการไม่ได้อยู่แล้ว
นางจัดการได้แต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นนางจึงหาบ่าวหญิงสูงวัยที่เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารซื่อชวนมาให้ตัวเองสองคน
แต่ความปรารถนาดีของโหวฮูหยินนางรับเอาไว้แล้ว นางให้ไป๋จื่อสาวใช้ใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลเสื้อผ้าเครื่องประดับภายในเรือนไปหยิบกำไลหยกเลี่ยมทองมาให้โหวฮูหยินเป็นของขวัญตอบแทน และมีก้อนเงินอีกหนึ่งคู่มอบให้พานหมัวมัวเป็นรางวัลต่างหากอีกด้วย
พานหมัวมัวทำหน้าที่สำเร็จลุล่วง ทั้งยังได้รับรางวัลอีก จึงกลับออกไปอย่างเบิกบานโดยมีหวังหมัวมัวไปส่งที่ประตู
หวังซีจึงให้สาวใช้เด็กนำปลาตะลุมพุกสองตัวนั้นไปเลี้ยงไว้ในอ่างใบใหญ่ใต้ซุ้มองุ่นตรงหน้าเรือนของนาง
สาวใช้เด็กที่รับผิดชอบหน้าที่ดูแลต้นไม้ดอกไม้และเลี้ยงปลาในเรือนของนางโดยเฉพาะไม่เคยเลี้ยงปลาตะลุมพุกมาก่อน กลัวว่าปลาตะลุมพุกสองตัวนั้นจะทำร้ายปลาทองที่เลี้ยงอยู่ในอ่างใบใหญ่อยู่ก่อนแล้ว จึงเรียกสาวใช้เด็กคนอื่นๆ มาช่วยกันช้อนปลาทองในอ่างออกมาก่อนแล้วเปลี่ยนไปเลี้ยงในอ่างใบอื่น จากนั้นถึงปล่อยปลาตะลุมพุกสองตัวนั้นลงไป
หวังซีเปลี่ยนมาสวมเสื้อแขนแคบพอดีตัวผ้าไหมหังโจวสีแดงชาดไร้ลาย ถือกิ่งไผ่หยอกล้อเล่นกับปลาสองตัวนั้น
ปลาตะลุมพุกทั้งสองตัวดุร้ายยิ่ง ตอดใบของกิ่งไผ่เอาไว้ไม่ยอมปล่อย
หวังซีนึกถึงบุรุษที่รำกระบี่อยู่ในป่าไผ่ผู้นั้นขึ้นมา
ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครในจวนของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ มองจากสถานที่ตั้งนั้น ลานบ้านแห่งนั้นน่าจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจวนเป่าชิ่งจ่างกงจู่
แต่ก็ไม่แน่เสมอไป
ก่อนเดินทางมา บิดาและพี่ชายใหญ่ของนางได้สืบเรื่องราวของจวนหย่งเฉิงโหวมาอย่างละเอียดแล้ว
ถนนจวนขุนนางฝั่งซ้ายที่จวนหย่งเฉิงโหวตั้งอยู่นี้แต่เดิมมีคนอาศัยอยู่สามครอบครัว ทิศตะวันตกเป็นจวนหย่งเฉิงโหว ทิศตะวันออกเป็นจวนเจิ้นกั๋วกง ตรงกลางเป็นจวนของเสนาบดีกรมพิธีการและมหาบัณฑิตพลับพลาบูรพาหลิวจื่อยงในรัชสมัยของจักรพรรดิพระองค์ก่อน รัชศกหย่งคังปีที่ยี่สิบเจ็ด หลังจากที่หลิวจื่อยงถูกยึดทรัพย์สินเนื่องจากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตการสอบขุนนางแล้ว จวนหลิวก็ถูกปล่อยร้างเรื่อยมา จนกระทั่งจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันเถลิงราชย์ ฝ่าบาทเป็นองค์ประธานให้เป่าชิ่งจ่างกงจู่เสกสมรสอีกครั้งเป็นภริยาคนที่สองของเจิ้นกั๋วกงเฉินอวี๋ที่เป็นพ่อม่าย เปิดจวนให้เป่าชิ่งจ่างกงจู่หลังใหม่ ให้สำนักพระราชวังออกหน้า ซื้อจวนหลิวมาจากคนรุ่นหลังของหลิวจื่อยง ปรับเปลี่ยนเป็นจวนของจ่างกงจู่ ถนนจวนขุนนางฝั่งซ้ายถึงได้เปลี่ยนจากมีคนอาศัยอยู่สามครอบครัวกลายเป็นสองครอบครัวแทน
บิดาของนางยังคิดวิธีหาแผนผังบ้านทั้งสองสามครอบครัวมาให้ด้วย
แน่นอนว่ามิได้ถูกต้องแม่นยำขนาดนั้น แต่ก็พอรู้ตำแหน่งที่ตั้งโดยรวมได้
หลักใหญ่ใจความคือกลัวว่าหากนางเข้าไปอยู่จวนหย่งเฉิงโหวโดยไม่รู้อะไรแล้วจะถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก
เห็นภูมิทัศน์ย่อส่วนเหล่านั้นแล้วนางรู้สึกสนุกสนานยิ่ง ยังให้บิดาของนางทำแผนผังบ้านของตัวเองด้วย เช่นนี้แล้วต่อไปหลานชายทั้งสองคนของนางจะได้ไม่หลงทาง
ทำเอาบิดาของนางขึงตาด้วยความโมโหไม่หยุด จิ้มหน้าผากนางพลางกล่าวด้วยท่าทางขมขื่นว่า มีบุตรสาวโง่เขลาเยี่ยงเจ้าขนาดนี้ได้อย่างไร ให้ทำแผนผังบ้านของตัวเองขึ้นมา ถ้าหากตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น มิเท่ากับว่าอยากลักขโมยของอะไรจากบ้านพวกเราก็ขโมยไปได้แล้วหรอกหรือ หากหัวขโมยเหล่านั้นเห็นเจ้าล้ำค่า ขโมยตัวเจ้าไปจะทำอย่างไร เจ้าก็จะมิใช่บุตรสาวของพวกข้าอีก เจ้าไม่กลัวหรือ
นางระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
บิดาของนางยังมองนางเป็นเด็กสามขวบอยู่
นางย่อมรู้ความสำคัญของแผนผังบ้านเหล่านั้นอยู่แล้ว หาไม่แผนที่เหล่านั้นคงไม่สูงค่าถึงเพียงนั้น
ก็แค่อยากรู้เหลือเกินว่าบ้านที่ตนอาศัยอยู่มาสิบกว่าปีนี้มีขนาดกว้างใหญ่เพียงใดก็เท่านั้น
หลายปีขนาดนี้แล้วนางก็ยังไม่แจ่มแจ้งเสียทีว่าเหตุใดเวลาที่นางยืนอยู่ตรงลานบ้านหลักของพวกนาง เรือนชมภูของบิดานางจะกลายเป็นทิศตะวันออก แต่ถ้านางยืนอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลังศาลาสดับเสียงคลื่น เรือนชมภูจะกลายเป็นทิศใต้
นางจำได้ว่าตอนนั้นนางยังย่นจมูกยู่ปากเถียงบิดาของนางว่า กระนั้นแล้วท่านยังกล้าส่งคนไปสอดแนมจวนหย่งเฉิงโหว จวนจ่างกงจู่และจวนเจิ้นกั๋วกงอีก เช่นนี้จะอันตรายมากมายเพียงใด! บ้านของพวกเรานั้นผู้อื่นรู้แล้วอย่างมากก็แค่ลักขโมยสิ่งของไปบ้างเล็กน้อย แต่คนเช่นพวกเขานั้นผู้อื่นรู้แล้วอาจจะมีนักฆ่ามาก็เป็นได้!
นางทำให้บิดาโมโหจนต้องเอามือทาบอก ผู้ใดแอบพาเจ้าไปฟังคนเล่านิทานที่โรงน้ำชาเหล่านั้นพูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหลอะไรมาอีกแล้ว บ้านเมืองสันติเจริญรุ่งเรือง แม่น้ำกระจ่างใสมหาสมุทรสงบ จะมีนักฆ่าจากที่ใดกัน เจ้าอ่านหนังสือภาพเหล่านั้นให้น้อยลงหน่อยจะได้หรือไม่
หวังซีถึงมิได้บอกบิดาของนาง
ขอเพียงข้องเกี่ยวมาถึงนาง ไม่ว่าผู้ใดบิดานางก็เห็นเป็นคนหลอกลวง เป็นคนไม่ดีไปเสียหมด
โชคดีที่วันนั้นพี่ชายใหญ่ของนางมีธุระมาหาบิดานาง ไม่เพียงข่มขู่บิดาของนางเท่านั้น ยังลอบกระซิบบอกนางด้วยว่า คืนนี้เจ้ามาหาข้าที่เรือน ข้าจะให้เจ้าดูแผนผังบ้านของพวกเรา
นางลิงโลด ส่งเนื้อฝอยที่เอ่ยอ้างว่านางทำขึ้นมาด้วยตัวเองไปให้พี่ชายใหญ่เป็นของว่างหนึ่งจานเล็ก
นึกถึงเรื่องเหล่านี้ หวังซีอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ตะโกนเรียกไป๋ซู่ผู้มีหน้าที่เรียนหนังสือเป็นเพื่อนนางโดยเฉพาะว่า “พวกเราไปห้องหนังสือกัน”
สวนหิมะงามเป็นบ้านที่มีพื้นที่ไม่ถึงห้าหมู่[1] ปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้เป็นจำนวนมาก ตัวบ้านที่คนพักอาศัยอยู่จริงๆ เป็นบ้านสามทางเข้าตัวเรือนห้าเภท[2] มีเรือนปีกสิบกว่าห้อง ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางพาคนมาด้วยเพียงสิบกว่าคน บ่าวชายสองสามคนนั้นก็ต้องจัดให้พักอยู่ที่เรือนชั้นนอก จึงคิดว่าสวนหิมะงามก็น่าจะเพียงพอแล้ว
หวังซีกลับรู้สึกว่าคับแคบเกินไป เข้าไปอยู่ได้ไม่กี่วันก็ไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าอย่างอ้อมค้อมครั้งหนึ่ง สร้างเรือนครัวเล็กๆ ตรงมุมบ้านเพิ่มสองห้อง ขุดบ่อน้ำหนึ่งบ่อ ปรับเปลี่ยนห้องรับแขกหนึ่งห้องตรงสวนดอกไม้หลังเรือนประธานเป็นห้องหนังสือ ห้องริมสุดฝั่งตะวันออกของเรือนประธานที่แต่เดิมเป็นห้องหนังสือก็จัดให้เป็นห้องเก็บเสื้อผ้าเครื่องประดับที่นางใช้ในชีวิตประจำวัน และให้เรือนหลังเป็นที่เก็บหีบสัมภาระของนาง
กระนั้นแล้ว สาวใช้ใหญ่สองสามคนอย่างพวกไป๋ซู่ยังต้องเบียดเสียดอยู่รวมกันหนึ่งห้อง และสาวใช้เด็กอีกสองสามคนที่ปรนนิบัติรับใช้พวกไป๋ซู่ก็เบียดเสียดอยู่รวมกันอีกหนึ่งห้อง
หากมิใช่เพราะหวังหมัวมัวโน้มน้าวนางว่า ชีวิตในจิงเฉิงไม่ง่ายดายนัก หาไม่แล้วเมืองกว้างใหญ่อย่างจิงเฉิงหนึ่งเมือง เหตุใดเป่าชิ่งจ่างกงจู่จะเปิดจวน ยังทำได้แค่มาเบียดเสียดอยู่ตรงกลางระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงกับจวนหย่งเฉิงโหวด้วยเล่า ละก็ นางก็คงจะถลุงเงินอีกคราหนึ่ง ต่อเติมเรือนหลังเพิ่มอีกหนึ่งชั้นไปตั้งนานแล้ว
คิดถึงตรงนี้ หวังซีก็ทอดถอนใจ รู้สึกว่าจวนหย่งเฉิงโหวเองก็ไม่สบายนัก ไม่เหมือนสกุลหวัง แผ่นฟ้าอยู่สูงโอรสสวรรค์อยู่ไกลห่าง ถนนทั้งเส้นล้วนเป็นของตระกูลพวกเขาทั้งหมด หลานชายอายุเก้าขวบของนางหากไม่มีคนนำทางอาจจะหลงทางได้
เมื่อเข้าห้องหนังสือมา หวังซีก็ให้ไป๋ซู่ไปหยิบแผนผังบ้านทั้งสามหลังออกมา
ไป๋ซู่ยิ้มตาหยีเดินจากไป
หวังซีรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย
บิดาของนางมิให้นางเอาแผนผังบ้านสามหลังนี้มาด้วย นางจึงให้ไป๋ซู่วาดตามแผนผังนั้นมาหนึ่งภาพ ซ่อนไว้ในกล่องไม้สีม่วงแดงที่ใช้เก็บกระดานหมากหยกขาวชิ้นนั้นของนาง
ไป๋ซู่ไปหยิบแผนผังมาอย่างรวดเร็ว
หวังซีกางแผนผังทั้งสามภาพลงบนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่
หย่งเฉิงโหวและเจิ้นกั๋วกงต่างมีคุณูปการมาตั้งแต่ก่อตั้งแผ่นดิน คฤหาสน์ของทั้งสองครอบครัวก็ล้วนสร้างตามแบบฉบับ ทรงสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีอะไรให้น่าชมนัก ทว่าคฤหาสน์ของจ่างกงจู่นั้นทิศใต้สั้นทิศเหนือยาว คล้ายรูปทรงเงินใบมีด ลานบ้านหลักเหยียดยาวไปจนถึงสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนหย่งเฉิงโหว ขณะที่สวนดอกไม้ด้านหลังกินพื้นที่ซอยเอ้อเถียวที่ตั้งอยู่หลังจวนหย่งเฉิงโหวไปหลายหมู่
เมื่อเทียบเช่นนี้แล้ว หวังซีค้นพบว่าลานบ้านของคนรำกระบี่น่าจะอยู่ติดกับสวนร่มหลิวที่ตั้งอยู่ตรงมุมของสวนดอกไม้ด้านหลังทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจวนหย่งเฉิงโหวพอดี เป็นลานบ้านหลังที่อยู่ด้านในสุดของจวนจ่างกงจู่ และด้านหลังของบ้านก็เป็นสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนจ่างกงจู่นั่นเอง
ในจวนจ่างกงจู่ ถือว่าเป็นลานบ้านที่ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกล
หวังซีเท้าคางขบคิด
พี่ชายใหญ่นางบอกว่า จ่างกงจู่ไม่มีบุตรตอนสมรสแรก หลังจากเสกสมรสกับเจิ้นกั๋วกงแล้วให้กำเนิดบุตรชายเพียงคนเดียวนามว่าเฉินลั่ว
เฉินลั่วผู้นี้ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ผู้เป็นลุงอย่างมาก อายุสิบสองปีก็ได้เข้าร่วมกองพลส่วนพระองค์ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลม้าทะยาน เป็นนายทหารขั้นสี่บน ยังได้รับอนุญาตให้เข้าออกวังหลวง ยามเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็พกมีดได้
คนที่สวรรค์โปรดปรานเช่นเขานี้ไม่น่าจะพักอาศัยอยู่ในสถานที่ห่างไกลถึงเพียงนั้น
ถ้าเขาอาศัยอยู่ในจวนจ่างกงจู่ ย่อมต้องพักอยู่ใกล้ๆ กับลานบ้านหลักของจ่างกงจู่มากกว่า
เฉินอิงบุตรชายคนโตของเจิ้นกั๋วกงยิ่งเป็นไปไม่ได้
มิต้องพูดถึงว่าจ่างกงจู่เป็นมารดาเลี้ยงของเขา ทั้งยังมีสถานะเป็นสมาชิกราชวงศ์ แค่เรื่องความต่างระหว่างหญิงชาย เฉินอิงก็ไม่อาจเข้าไปอาศัยอยู่ในจวนจ่างกงจู่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม้นจวนเจิ้นกั๋วกงจะตั้งอยู่บนถนนจวนขุนนางฝั่งซ้ายเหมือนกัน แต่คฤหาสน์ของผู้อื่นใหญ่กว่าจวนหย่งเฉิงโหวถึงหนึ่งเท่าตัว โดยคฤหาสน์แบ่งออกเป็นตัวเรือนแถวตะวันออก แถวตะวันตก และแถวกลางสามแถว ยังมีสวนดอกไม้ล้อมด้านตะวันออกกับด้านหลังของจวนเจิ้นกั๋วกงเอาไว้อีกด้วย ส่วนจวนหย่งเฉิงโหวและจวนจ่างกงจู่นั้นเหมือนกัน มีตัวเรือนแถวตะวันออกกับแถวตะวันตกสองแถว และสวนดอกไม้ด้านหลังเพียงเท่านั้น บุตรสาวคนโตของเจิ้นกั๋วกงออกเรือนแล้ว บรรดาพี่ชายน้องชายของเจิ้นกั๋วกงก็แยกย้ายออกไปใช้ชีวิตของตัวเองนานแล้วนับตั้งแต่กั๋วกงผู้เฒ่าเสียชีวิต คฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้ มีหรือที่เฉินอิงอยู่แล้วไม่สะดวกสบาย ต้องการไปเบียดเสียดอยู่ที่จวนจ่างกงจู่
ในเมื่อมิใช่คุณชายทั้งสองท่านของตระกูลเฉิน แล้วคนผู้นั้นเป็นผู้ใดกันนะ
ญาติของจ่างกงจู่?
เมื่อความคิดนี้วาบผ่าน หวังซีก็หัวเราะ คิก ออกมา
หลานชายจากตระกูลเดิมของจ่างกงจู่หากมิใช่องค์ชายก็เป็นอ๋องศักดินา องค์ชายไม่อาจออกจากวัง อ๋องศักดินาไม่อาจเข้าเมืองหลวง ล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปอยู่ในจวนจ่างกงจู่
ไป๋ซู่เห็นแล้วรีบเอ่ยถาม “ท่านเป็นอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดีเพียงนี้!”
“เปล่า เปล่า” หวังซีโบกมือเป็นพัลวัน กลัวไป๋ซู่จะขบขันนาง
ทันใดนั้นด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หวังซีส่งสัญญาณให้ไป๋ซู่เก็บแผนผังเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เพิ่มเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อย เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เข้ามา”
คนที่เดินเข้ามาคือหวังหมัวมัวและบ่าวหญิงสูงวัยสองท่านที่เพิ่งเข้าจวนมาเมื่อหลายวันก่อน
หวังหมัวหมัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ปลาตะลุมพุกสองตัวนั้นคุณหนูใจตั้งใจจะรับประทานอย่างไรดีเจ้าคะ”
หวังซีขบคิด กล่าวว่า “ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือยัง”
ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างนางกับจวนหย่งเฉิงโหวนั้น ก่อนเดินทางมาบิดาของนางได้บอกเล่าให้นางฟังแล้ว ยังกล่าวด้วยว่า ความขุ่นแค้นของผู้ใหญ่เจ้าไม่ต้องใส่ใจ ต่อให้เจ้าอยากจัดการก็จัดการไม่ไหว ที่ข้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังก็เพราะอยากให้เจ้าไม่ต้องกลัวเมื่อไปถึง สกุลหวังของพวกเรามิได้ติดค้างอะไรพวกเขา เจ้าเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าบรรดาคุณหนูและคุณชายของจวนพวกเขา ถ้าหากพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่แย่นัก เจ้ารู้สึกสนุก ก็ถือเสียว่าเป็นการปลอบประโลมมารดาของเจ้า ทำหน้าที่แสดงความกตัญญูต่อท่านยายเจ้าแทนมารดาของเจ้า พักอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง แต่ถ้าอยู่แล้วไม่สบายใจ หรือว่าพวกเขาถือมั่นในความเป็นตระกูลชั้นสูงของตัวเอง พูดจาอะไรที่ไม่น่าฟังก็ย้ายออกมา พักอยู่ที่จิงเฉิงจนกว่ามารดาของเจ้ารู้สึกว่าเจ้าสมควรกลับมาได้แล้ว ก็ค่อยกลับมา บุตรสาวของข้าไม่จำเป็นต้องรองรับอารมณ์ของผู้ใด!
นางไม่มีทางเลือกจริงๆ
แม้นกล่าวว่าไม่มีใครในบ้านเอ่ยถึงภูมิหลังของมารดานาง แต่นางและพี่ชายรองของนางต่างทราบเรื่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว
นางรู้สึกว่าหากมิใช่เพราะมารดาของนางมีประสบการณ์อันเลวร้ายของวันวานเหล่านั้นล่ะก็ ไม่มีทางได้แต่งงานกับบิดาของนาง และถ้ามารดาของนางมิได้แต่งงานกับบิดาของนาง ก็ย่อมไม่มีนางเช่นกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ การที่มารดาของนางได้แต่งงานกับบิดาของนางช่างเป็นเรื่องดียิ่ง
ในส่วนของคนที่จวนหย่งเฉิงโหวนั้น นางไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อน พวกนางก็คงไม่อาจคบหากันประหนึ่งเป็นญาติ นางทั้งไม่รู้สึกรัก ทั้งไม่รู้สึกเกลียด
สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ พอนางได้มาเจอฮูหยินผู้เฒ่าจริงๆ นางเห็นเงาสะท้อนของมารดาผ่านรูปโฉมแก่ชราของฮูหยินผู้เฒ่า ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าโอบกอดนางพร้อมกับร่ำไห้สะอึกสะอื้น ชั่วขณะนั้นนางพลันรู้สึกว่าบางทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะผ่านพ้นมันไปได้ ตอนที่ค้นพบว่าท่านยายของนางมิได้เย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างที่พวกเขาเข้าใจ ทันใดนั้นนางพลันสัมผัสได้ถึงความผูกพันทางสายเลือดระหว่างคนทั้งสอง จึงไม่อาจปฏิบัติต่อนางเพียงแค่ชื่อหรือสมญานามหนึ่งได้อีก โดยเฉพาะตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าพานางไปแก้บนที่วัด พาไปจุดธูปที่วัดเต๋า และชวนคุยว่าถ้าจะแต่งงานก็ต้องแต่งกับคนที่ตัวเองควบคุมเขาได้ อย่าให้เหมือนนางเป็นอันขาด เนื่องจากตอนนั้นแต่งงานกับคนสูงส่ง ในบ้านก็ไม่มีสินเจ้าสาวมากมายอะไร หลังจากแต่งงานแล้วจึงถูกสามีดูถูกดูแคลน แม้แต่เรื่องแต่งงานและเรื่องความเป็นความตายของบุตรชายหญิงก็ช่วยตัดสินใจให้ไม่ได้ ณ ตอนนั้นความสนใจใคร่รู้ที่นางอยากไล่ถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นก็มลายหายไปจนหมดสิ้น
…………………………………………………………………………………….
[1] หมู่ มาตรวัดพื้นที่ หนึ่งหมู่เท่ากับ 667.7 ตารางเมตรโดยประมาณ
[2] บ้านสามทางเข้าตัวเรือนห้าเภท คือรูปแบบบ้านสี่ประสาน (หรือ 四合院) ประเภทหนึ่ง โดยคำว่าสามทางเข้ากล่าวถึงตัวบ้านมีประตูทางเข้าสามชั้น ส่วนตัวเรือนห้าเภทกล่าวถึงตัวบ้านที่ประกอบไปด้วยเรือนห้าประเภท ได้แก่ เรือนชั้นนอกใกล้ประตูหน้า เรือนประธาน เรือนปีก เรือนขนาบข้างและเรือนหลัง