เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 41 ขัดจังหวะ
นอกจากชายหญิงต้องเว้นระยะห่างแล้ว เฉินอวี๋ยังมีตำแหน่งสูงส่ง ความเป็นไปได้ที่หวังซีจะได้พบเขาช่างน้อยยิ่ง
ถึงแม้นางจะเข้าใจดี แต่ก็อดเสียใจเล็กน้อยไม่ได้
กล่าวถึงเฉินอวี๋ ก็ถือเป็นบุคคลในตำนานผู้หนึ่ง
เขามีพี่น้องชายสามคน เขาเป็นคนที่สอง ทั้งไม่ถูกตั้งความหวังอย่างบุตรชายคนโตและไม่ได้รับการเอาอกเอาใจจากบิดามารดาอย่างบุตรชายคนเล็ก ตามหลักแล้ว บั้นปลายที่ดีที่สุดของเขาคือเมื่อถึงวัยสมควรก็อาศัยผลบุญของคนรุ่นบิดารับตำแหน่งง่ายๆ สักตำแหน่งหนึ่งของกองพลส่วนพระองค์ รับเบี้ยรายเดือนเล็กน้อย และอาศัยการช่วยเหลือและสนับสนุนของตระกูลใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขและสะดวกสบายไปตลอดชีวิต แต่เขากลับไม่ยอมแพ้ต่อชะตา อันดับแรกใช้สถานะบัณฑิตเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางระดับต้น ระดับมณฑล และระดับเมืองหลวง จนกระทั่งผ่านเข้าสู่การสอบคัดเลือกขุนนางหน้าพระที่นั่งในคราวเดียว อาศัยตำแหน่งจิ้นซื่อไปเป็นพ่อเมืองอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของอำเภอโจวผิง มณฑลซานตง ตอนประเมินผลงานสามปี เขายังได้รับการประเมินว่า ‘ยอดเยี่ยม’ อีกด้วย แต่ปรากฏว่าในปีที่สี่ แม่น้ำเหลืองล้นทะลัก อำเภอโจวผิงที่เขาอยู่ถูกน้ำท่วม ตามกฎหมายแล้ว พ่อเมืองต้องร่วมเป็นร่วมตายกับชาวเมืองในปกครอง ทว่าเฉินอวี๋กลับทิ้งตำแหน่งหน้าที่และหนีออกมา ภายหลังนอกจากไม่รู้ว่าได้รับยกเว้นความผิดได้อย่างไรแล้ว ยังสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหารกลับเข้าไปรับราชการใหม่ ได้เป็นถึงรองผู้บังคับบัญชากองพลขนนกอีกด้วย
ในเมืองหลวงพูดกันว่าเขามีทุกอย่าง แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง
แต่ต่อให้เขามีความสามารถอย่างไร การเป็นบุตรชายคนรองของขุนนางฝ่ายทหาร อนาคตของเขาก็มาได้แค่นี้แล้ว
ผู้ใดจะรู้ว่าในเวลานี้เอง พี่ชายคนโตของเขากลับมีเรื่องลุ่มหลงอนุละเลยภรรยาเกิดขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ยังถูกพ่อภรรยาฟ้องร้องไปที่ฮ่องเต้
พี่ชายคนโตของเขาจึงขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สืบทอด
เขาจึงกลายเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ
ต่อมานอกจากเขาจะสืบทอดบรรดาศักดิ์อย่างราบรื่นเกรียงไกรแล้ว ยังดำรงตำแหน่งในกองบัญชาการทหารส่วนหน้าของกองบัญชาการทหารทั้งห้าได้อย่างมั่นคงอีกด้วย หลังจากที่ภรรยาร่วมผูกผมเสียชีวิตไป ยังได้แต่งงานใหม่กับเป่าชิ่งจ่างกงจู่ กลายเป็นราชบุตรเขยของราชวงศ์ เป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัย
อย่างไรก็ตาม ตอนที่บิดาของหวังซีทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับเฉินอวี๋นั้นบังเกิดความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับคดีลุ่มหลงอนุละเลยภรรยาของพี่ชายคนโตของเขาที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน รู้สึกว่าในเรื่องนี้มีเรื่องแปลกๆ จำนวนมากซ่อนอยู่
และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หวังซีอยากรู้เหลือเกินว่าเฉินอวี๋มีหน้าตาเป็นอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงความคิดที่นางขบคิดอยู่ในหัวเท่านั้น และถูกนางกดเก็บเอาไว้ในใจอย่างรวดเร็ว
นางกับคุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ เดินทอดน่องกลับไปที่ห้องโถงรับรองที่สตรีของจวนชิงผิงโหวใช้พักผ่อนกันอีกครั้ง
สตรีจากจวนชิงผิงโหวยังไม่มา หวังซีและฉังเคอเกรงใจที่จะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไป จึงคิดจะกล่าวขอตัวลากลับไปยังห้องโถงรับรองสถานที่พักผ่อนของจวนหย่งเฉิงโหว
คุณหนูรองอู๋กลับรั้งพวกนางเอาไว้อย่างจริงใจ กล่าวว่า ครอบครัวของพวกเจ้าอยู่ติดกับจวนเซียงหยางโหว ครอบครัวของพวกเขามีคนมาหาเข้าๆ ออกๆ มากที่สุดแล้ว ถึงเวลาครอบครัวของพวกเจ้าย่อมไม่สงบตามไปด้วยเป็นแน่ พวกเจ้ามิสู้อยู่ที่นี่ก่อนดีกว่า ยังได้หลบเลี่ยงความวุ่นวายด้วย กล่าวจบ นางก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวอย่างลังเลว่า อย่างไรก็ตาม ได้ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักคนบ้างก็ดีเหมือนกัน
รู้จักคนให้มากเพื่ออันใด ก็เป็นแค่การให้สตรีที่ออกเรือนแล้วเหล่านั้นมาดูตัว มีโอกาสให้คนรู้มากขึ้นว่าพวกนางยังไม่ออกเรือนก็เท่านั้น!
ฉังเคอยิ้ม กล่าวว่า พี่สาวอู๋ เจ้าลองดูว่าวันนี้พวกข้าแต่งกายอย่างไรบ้าง
คุณหนูรองอู๋ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็อดมองสำรวจพวกนางสองคนครั้งหนึ่งไม่ได้ เห็นว่านอกจากคนทั้งสองจะแต่งกายอย่างเหมาะสมมากแล้ว ยังเข้ากับลักษณะนิสัยของแต่ละคนเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย เอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า ทำไมหรือ ปีนี้เมืองหลวงนิยมแบบเสื้อผ้าอะไรใหม่ๆ อีกแล้วหรือ อภัยให้สายตาอันย่ำแย่ของข้าด้วย ข้าไม่เห็นความแตกต่างอะไร!
หวังซีกับฉังเคอหัวเราะเสียงดังพร้อมกัน รู้สึกว่าคุณหนูรองอู๋ช่างน่ารักเกินไปแล้ว
ฉังเคอรีบกล่าว มิได้ มิได้ ปีนี้เมืองหลวงนิยมแบบเสื้อผ้าอะไรใหม่ๆ อีกบ้างนั้นพวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพวกข้าต่างตั้งใจมาขอกินขอดื่มและมาเปิดประสบการณ์เท่านั้น มิได้คิดจะมาเป็นที่จับตามอง จึงแต่งกายให้เหมาะสมเพียงเท่านั้น
คุณหนูรองอู๋หัวเราะร่าเสียงดัง ท่าทางสบายๆ ไร้ความกังวล กล่าวว่า เจ้าให้ข้าดูว่าม้าอายุกี่ปี ฝีเท้าเป็นอย่างไร ข้ากล้าเรียกตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่ง แต่หากเจ้าให้ข้าดูแบบเสื้อผ้าเครื่องประดับเหล่านั้นล่ะก็ ข้ามองความแตกต่างอะไรไม่ออกจริงๆ พวกเจ้าไม่โทษว่าข้าพูดจาตรงไปตรงมาเกินไปก็ดีแล้ว
จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร! หวังซีกล่าวยิ้มๆ หากมิใช่เพราะพี่สาวอู๋เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ พวกเราก็คงไม่รู้สึกเหมือนได้พบสหายเก่าตั้งแต่พบหน้าและเล่นด้วยกันได้ นางเห็นลู่หลิงเอาแต่หัวเราะอยู่ข้างๆ ไม่ค่อยพูดเท่าไรนัก กลัวจะเป็นการละเลยนาง จึงดึงลู่หลิงเข้ามาร่วมด้วย โชคดีที่น้องสาวลู่แนะนำเจ้าให้พวกข้าได้รู้จัก หาไม่คงได้คลาดกับพี่สาวอู๋เป็นแน่แล้ว
ลู่หลิงได้ยินถ้อยคำนี้แล้วก็ดีใจมากตามที่คาดไว้จริงๆ
ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป สตรีของจวนชิงผิงโหวก็มาถึง
สตรีออกเรือนแล้วเจ็ดถึงแปดคนพร้อมกับหญิงรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายห้อมล้อมกันเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่ ห้องโถงรับรองอันกว้างขวางพลันเปลี่ยนเป็นแน่นขึ้นมาถนัดตา
คุณหนูรองอู๋บอกว่าครอบครัวของพวกเขามีคนที่ชอบออกไปข้างนอกมาร่วมงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ยังมีอาสะใภ้และพี่สะใภ้ที่ไม่ชอบงานรื่นเริงเช่นนี้ไม่ได้มาด้วยอีกหลายคน
เห็นได้ชัดว่าจวนหย่งเฉิงโหวมีสมาชิกเป็นจำนวนมาก
ผู้อาวุโสสูงสุดของจวนพวกเขาคือท่านย่าของคุณหนูรองอู๋
นางอายุหกสิบกว่าปี ผมสีดอกเลา คาดหน้าผากด้วยผ้าโพกสีน้ำตาลเข้มฝังมรกต รูปร่างสูงใหญ่ ถือไม้เท้าทำจากไม้จันทน์แดงเอาไว้ ดวงหน้าดูสุขภาพดีมีความสุข เสียงกังวานใส ยิ้มตาหยีมองหวังซีและคนอื่นๆ กล่าวด้วยความเอ็นดูว่า ไอโย อาหลิงมักจะมาวิ่งเล่นที่บ้านพวกข้าบ่อยๆ แล้วเด็กสาวสองคนนี้เป็นคนจากตระกูลใดหรือ หน้าตาสดใสงดงามจริงๆ!
คุณหนูรองอู๋รีบก้าวออกไปกล่าวแนะนำ
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนชิงผิงโหวรู้ว่าพวกนางเป็นใครแล้ว สายตาที่มองหวังซีก็ไม่ต่างจากอู๋หมัวมัวผู้นั้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้ว่าปีนั้นจวนหย่งเฉิงโหวเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
นางกระแอมไอเสียงหนึ่งอย่างไม่ปิดบัง ถึงได้กล่าวกับหวังซีเสียงอบอุ่นว่า หากอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวแล้วไม่สนุก ก็มาฆ่าเวลากับหลานรองที่บ้านของพวกข้าได้ บ้านพวกข้าไม่มีกฎระเบียบมากมายอะไร เจ้าอยากมาเมื่อไรก็มาได้ตลอด
นี่เป็นคำมั่นสัญญาที่หนักแน่นมากประโยคหนึ่ง
ให้ความหมายปกป้องหวังซีอยู่ด้วย
เป็นผู้อาวุโสที่มีสถานะทางสังคมท่านหนึ่ง เพิ่งพบหน้านางเป็นครั้งแรกและไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นไรด้วยซ้ำ
หวังซีปล่อยให้ความปรารถนาดีที่ไม่ทันได้คาดคิดนี้กระแทกใส่หน้าตัวเองอย่างจัง กระบอกตารื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
นางทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิงผิงโหวอย่างนอบน้อม ขานรับคำเสียงอบอุ่น
คุณหนูรองอู๋พานางกับฉังเคอไปทำความเคารพสตรีคนอื่นๆ
ทุกคนต่างปฏิบัติต่อพวกนางด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร กล่าวทักทายอย่างอบอุ่น
หวังซีรู้สึกชอบจวนชิงผิงโหวขึ้นมาในทันที
น่าเสียดายที่เวลาไม่เช้าแล้ว พวกนางเล่นอยู่ที่นี่ได้ แต่คงไม่อาจตามไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนจวนชิงผิงโหวได้
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว หวังซี ฉังเคอและลู่หลิงจึงกล่าวขอตัวลาคนตระกูลอู๋ พากันออกมาจากห้องโถงรับรอง
ห้องโถงรับรองของพวกนางสองสามครอบครัวเป็นอย่างที่คุณหนูรองอู๋กล่าวเอาไว้จริงๆ มีคนเข้าออกตลอด เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุย คึกคักจอแจ สตรีจำนวนมากบ้างอยู่ในห้องโถงที่เปิดกว้างเอาไว้ บ้างอยู่ใต้ต้นไม้กลางลานบ้าน บ้างอยู่ข้างๆ เก้าอี้คนงามใต้ชายคา จับกลุ่มคุยกันหัวเราะกันสองคนบ้างสามคนบ้าง ครื้นเครงยิ่งนัก
ลู่หลิงหันมาแลบลิ้นให้พวกนาง กล่าวประโยคหนึ่งว่า พี่สาวทั้งสองข้าขอตัวก่อน แล้วก็วิ่งหนีไปทันที หวังซีกับฉังเคอจำต้องทำใจดีเข้าสู้เดินทะลุลานบ้านไป
ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นพวกนางที่คิดมากเกินไปเอง ไม่มีคนสนใจพวกนางเท่าไรนัก บางคนไม่แม้แต่จะมองพวกนางสักครั้งเลยด้วยซ้ำ บางคนเห็นพวกนางแล้วก็แค่ช้อนตาขึ้นมา
หวังซีไม่เคยถูกเมินเช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกสนุกมาก ดึงฉังเคอให้สาวเท้าก้าวเร็วๆ เข้าไปในห้องโง เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยินนั่งอยู่บนแหย่งหลัวอั่นของห้องโถงคนละข้าง ซือจูกับฉังหนิงนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ล้อมรอบด้วยสตรีหนึ่งกลุ่มพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ฉังเหยียนกับนายหญิงรองกลับไม่รู้ว่าไปที่ไหน นอกจากสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องสองสามคนแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของพวกนาง หวังซีอดกระซิบที่ข้างหูฉังเคอไม่ได้ว่า คงมิใช่ว่าพวกนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราออกไปข้างนอกมา?
เป็นไปได้! ท่าทางของฉังเคอคล้ายบอกว่าเจ้าไม่ต้องประหลาดใจ กระซิบกล่าวเช่นกันว่า ซือจูอยู่ที่นี่ ต่อให้ท่านย่านึกถึงเจ้า นางก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจให้เจ้าได้ ดังนั้นเจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้ท่านย่าไม่มีเวลามาสนใจเจ้าอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าซือจูเองก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน
หวังซีเม้มปากอมยิ้ม ไปนั่งกินของว่างและแทะเมล็ดแตงโมกับฉังเคอตรงมุมห้องด้วยท่าทางเชื่อฟังไร้เดียงสา
นอกจากเรื่องที่ชิงโฉวไปป่าไผ่และยังไม่มีข่าวคราวกลับมานั่นแล้ว นางก็สำราญใจมากจริงๆ
แต่ความสำราญใจประเภทนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก ซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์หญิงฟู่หยางมาถึงแล้ว ว่ากันว่ากำลังคุยกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่อยู่ ผู้ที่ร่วมทางมาด้วยยังมีองค์ชายรอง องค์ชายสาม องค์ชายสี่ องค์ชายห้า องค์ชายหกและองค์ชายเจ็ด งานเลี้ยงมื้อกลางวันกำลังจะเริ่มแล้ว
ทุกคนเข้าไปในงานตามที่จวนเป่าชิ่งจ่างกงจู่จัดเตรียมเอาไว้
จวนหย่งเฉิงโหวนั่งที่โถงของทางเข้าที่สาม เป็นตำแหน่งที่ใกล้กับประตูทางทิศตะวันตก นับได้ว่าเป็นตำแหน่งของแขกผู้มีเกียรติ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตำแหน่งของจวนชิงผิงโหวที่อยู่ใกล้กับห้องโถงกลางของทางเข้าที่สองแล้ว ยังด้อยกว่าเล็กน้อย ว่ากันว่าตรงทางเข้าที่หนึ่งเป็นที่นั่งของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ซูเฟยเหนียงเหนียง องค์หญิงฟู่หยาง หลินอานต้าจ่างกงจู่และสตรีชั้นสูงในวังหลังคนอื่นๆ
หวังซีปรารถนาจะดูสักหน่อยว่าซูเฟยเหนียงเหนียงที่ได้ชื่อว่าเขย่าขวัญทั้งในและนอกราชสำนักได้ท่านนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่น่าเสียดายที่อยู่ไกลเกินไป อีกทั้งมีลานบ้านหลายชั้นคั่นเอาไว้ จึงมองไม่เห็น
จวนเซียงหยางโหวกับจวนหย่งเฉิงโหวช่างมีวาสนาต่อกันยิ่ง ได้นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน
หวังซีถึงค้นพบว่าฉังเหยียน คุณหนูพานและนายหญิงรองล้วนไม่อยู่ในงานเลี้ยง
นางกระซิบถามฉังเคอว่าเหตุใดถึงไม่เห็นพวกนาง
ฉังเคอเบ้ปาก กล่าวเสียงเบาว่า ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ท่านป้าสะใภ้รองล้วนกระฉับกระเฉงเป็นอย่างยิ่ง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพวกนางหรอก ก่อนนำน้ำชามาขึ้นโต๊ะอย่างเป็นทางการ พวกนางย่อมเร่งมาทันเวลา
คำพูดของนางยังไม่ทันจบลง หวังซีก็เห็นนายหญิงรองพาฉังเหยียนและคุณหนูพานเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
ฉังเหยียนยังดี คล้ายกับคุ้นชินกับการกระทำเช่นนี้ของนายหญิงรองเป็นอย่างดีไปแล้ว กล่าวทักทายฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ อย่างสงบเสร็จแล้วก็นั่งลง กลับเป็นคุณหนูพานที่ดวงหน้าแดงก่ำไปหมด ท่าทางดูอับอายเป็นอย่างยิ่ง
หวังซีอยากถามเหลือเกินว่าพวกนางไปพบผู้ใดมา แต่เห็นท่าทางนี้ของคุณหนูพานแล้ว นางไม่กล้าถามสักเท่าไรนัก
ไม่นาน งานเลี้ยงอย่างเป็นทางการก็เริ่มขึ้น
บนโต๊ะอาหารหวังซีได้พบกับนกพิราบย่างของก่วงตงแทนที่จะเป็นเป็ดชั้นหนึ่งของจิงเฉิง ปลากระรอกเปรี้ยวหวานของหังโจวแทนปลาดาบเงินตุ๋นน้ำแดงของจิงเฉิง และหมูเส้นผัดพริกแกงปรุงรสของซื่อชวนแทนหมูเส้นผัดพริกหนุ่มของจิงเฉิงอย่างเหนือความคาดหมาย
งานเลี้ยงนี้จัดเตรียมอย่างเอาใจใส่มากจริงๆ
นางลอบพิจารณาอยู่ในใจ ยังแสดงความเห็นกับฉังเคอเสียงเบาว่า คิดไม่ถึงว่าล้วนปรุงออกมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่าฉังเคอยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังมาจากลานบ้านทางเข้าที่หนึ่งเสียก่อน
คาดว่าคนที่มาร่วมงานเลี้ยงต่างเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวจากด้านในกันทั้งหมด ทุกสรรพเสียงถึงกับเงียบเชียบลงมา
เสียงหัวเราะนั่นจึงยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
จากนั้นมีข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในสวมมงกุฎดอกไม้จากวังหลวงเดินออกมา ยืนอยู่ตรงหน้าห้องโถงกลางของทางเข้าชั้นที่สอง ยิ้มพลางกล่าวเสียงดังว่า ท่านใดคือคุณหนูใหญ่ตระกูลซือของจวนแม่ทัพใหญ่อวี๋หลิน ซูเฟยเหนียงเหนียงมีรับสั่งให้ท่านไปพูดคุยด้วย!
ซือจูลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นเต้น และไม่นานอาการตื่นเต้นในดวงตานั่นก็เปลี่ยนเป็นภาคภูมิใจอย่างรวดเร็ว ศีรษะตั้งตรงเชิดหน้าอกขึ้นเดินออกมา
สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างของนาง
นางทำความเคารพข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในท่านนั้นด้วยอากัปกิริยาสง่างาม เดินตามข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในผู้นั้นเข้าไปในโถงทางเข้าชั้นที่หนึ่ง
ทุกคนเริ่มกระซิบกระซาบกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยินต่างก็มีความประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาเช่นกัน แต่ไม่นาน เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาชื่นชมปนอิจฉาเหล่านั้นแล้ว พวกนางก็เปลี่ยนเป็นยินดีปรีดาขึ้นมา
หวังซีขมวดคิ้วน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น
มิใช่ว่าคนจากวังหลวงพิถีพิถันและมีพิธีรีตองที่สุดหรอกหรือ
เหตุใดเพิ่งถึงเวลานำอาหารจานร้อนแปดอย่างขึ้นโต๊ะเองก็เรียกคนไปพูดคุยด้วยแล้ว?
ทุกคนยังจะรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อยได้อยู่หรือ
นางเกลียดการถูกขัดจังหวะขณะที่เพิ่งกินข้าวไปได้เพียงครึ่งประเภทนี้เหลือเกิน
หวังซีคีบเป็ดรมชาที่เพิ่งยกขึ้นมาวางชิ้นหนึ่ง เป็ดรมชาแบบดั้งเดิมที่กลิ่นหอมและกรุบกรอบเป็นที่สุดก็ยังไม่ช่วยให้นางกลับมาอารมณ์ดีได้
……………………………………………………………….