เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 44 อาหารเลิศรส
ละครตลกของคณะเหลียนจูที่แสดงอยู่บนเวที ณ หอนกกระจ้อยขับขานกำลังดำเนินมาถึงจุดสำคัญที่สุดพอดี
บนสันจมูกของตัวละครตลกแต้มสีขาวปื้นผืนหนึ่ง ย่อตัวเดินแสร้งทำเป็นคนแคระ แสดงท่าทางตีอกกระทืบเท้าหลังถูกหลอก เป็นเหตุให้ทุกคนพากันหัวเราะเสียงดังลั่นระลอกแล้วระลอกเล่า แม้แต่หวังซีและคนอื่นๆ อีกสองสามคนบนอาคารเองก็ค่อยๆ ถูกนักแสดงผู้นั้นดึงดูดความสนใจไปด้วย ยิ่งอยู่เสียงพูดคุยก็ยิ่งเบาลง สายตาทุกคนจดจ้องอยู่บนร่างของเขบา หัวเราะตามคนดูด้านล่างไปด้วย
มีเพียงลู่หลิง อายุยังน้อย ชอบพวกของสวยๆ งามๆ ตัวละครตลกทำให้นางหัวเราะได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานนางก็รู้สึกไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว เริ่มแอบดึงชายเสื้อของหวังซีเบาๆ ถามอย่างแปลกใจว่า เหตุใดพี่สาวถึงทำอาหารอร่อยๆ ได้มากมายขนาดนั้น
คนอย่างพวกนางนี้ มิได้ถูกคาดหวังว่าพวกนางต้องเข้าครัวทำอาหาร เพียงรู้พื้นฐานของอาหารสักประเภทเพื่อเข้าสังคมได้ก็พอแล้ว แต่อย่างหวังซีนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารจากที่ใด เมื่อเอ่ยถึงล้วนรู้จักอย่างกระจ่างแจ้งทั้งสิ้น ต้องลงแรงลงเวลาไปมากแน่ๆ
นี่ก็เลยแตกต่างจากปกติเล็กน้อย
หวังซีเห็นว่าถึงแม้นักแสดงผู้นั้นจะแสดงได้ไม่เลว แต่ว่าการแสดงองก์ต่อมาค่อนข้างเก่าคร่ำครึ หลังจากความสนุกแรกสุดผ่านพ้นไป แม้นรู้ว่านี่เป็นเพราะคณะงิ้วมาทำการแสดงที่คฤหาสน์ของผู้มีอิทธิพลจึงต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ ไม่กล้าใช้บทเพลงใหม่ก็ตาม แต่ยังคงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ตอนลู่หลิงถามนาง นางจึงวางความสนใจไว้ที่ลู่หลิง กล่าวยิ้มๆ ว่า มีครั้งหนึ่งท่านเทียดของข้าออกไปทำการค้าแล้วติดอยู่ในวัดแห่งหนึ่งเนื่องจากฝนตกหนัก แม้นจะพกเงินทองติดตัวไปด้วยมากมายและมีวัตถุดิบทำอาหารไปด้วยก็ตาม ทว่าไม่มีใครทำอาหารเป็นเลยสักคน เขาต้องทนทุกข์ไปครั้งใหญ่ เมื่อกลับมาจึงกำหนดให้บุตรหลานในตระกูลของพวกข้าก่อนเดินทางออกจากบ้านทุกคนต้องเรียนทำบะหมี่และแป้งย่างต่างๆ ให้เป็นบ้างเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ท่านทวดของข้าจึงค้นพบว่าตัวเองค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร และด้วยเหตุนี้เช่นกันท่านปู่ของข้าจึงชอบอาหารเลิศรสของแต่ละพื้นที่เป็นพิเศษ ข้าได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินมา จึงเรียนวิธีทำอาหารประเภทต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก
นางไม่ได้เล่าให้ลู่หลิงฟังว่าด้วยเหตุนี้ท่านทวดของนางยังสร้างกิจการหอสุราขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในกิจการที่สร้างรายได้ค่อนข้างมากของตระกูลพวกเขาอีกด้วย
ลู่หลิงฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง กล่าวอย่างชื่นชมว่า ไม่แปลกที่ตระกูลของพวกเจ้าทำการค้าได้ใหญ่โตขนาดนี้! ท่านย่าของข้าบอกว่า คนมีความสามารถยามสงบสุขจะคิดถึงอันตรายเผื่อเอาไว้ เปลี่ยนเหตุการณ์เลวร้ายให้กลายเป็นหินลับมีด เพียงแค่เพราะไม่มีข้าวปลาอาหารผู้อาวุโสของพวกเจ้าก็ให้พวกเจ้าเรียนรู้วิธีดูแลตัวเองให้เป็นแล้ว นับว่ายอดเยี่ยมมากเช่นกัน
ไอโย เด็กสาวผู้นี้ช่างรู้จักพูดจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนพูดไม่รู้ว่าสีหน้านั่นกระจ่างใสมากเพียงใด แค่ดูก็ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความจริงใจของนางแล้ว
หวังซีจึงชอบนางมากยิ่งขึ้น กล่าวว่า เจ้าชอบกินอะไรอีกบ้าง ปลายเดือนหกข้าก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิวได้แล้ว ที่จิงเฉิงนี้ช่วงเดือนเจ็ดขอของจิงเฉิงอะไรอร่อยที่สุดหรือ เป็นฤดูที่มีปลาหัวยุ่งวางขายพอดี เม่นทะเลก็กำลังมีมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าอาจไม่ชินกับการกินเม่นทะเล คนทางเหนืออย่างพวกเจ้าชอบกินเกี๊ยว เจ้าเคยกินเกี๊ยวไส้ปลาอินทรีหรือไม่ เดือนเจ็ดก็เป็นช่วงเวลาที่มีปลาอินทรีวางขายเช่นกัน รอพวกเจ้ามาหา ข้าจะทำเกี๊ยวไส้ปลาอินทรีให้พวกเจ้า หรือไม่ก็ปลาอินทรีนึ่งก็ได้
เพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้คนรู้ว่านางกินเก่งมากเพียงใดแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงลู่หลิง แม้แต่คุณหนูรองอู๋ที่ฟังเข้าหูเพียงผ่านๆ ยังน้ำลายสอจนเกือบจะไหลออกมาแล้ว
นางถาม ปลาอินทรีทำเกี๊ยวได้ด้วยหรือ ไม่เหม็นคาวหรือ
หวังซีตอบยิ้มๆ ว่า เกี๊ยวปลาอินทรีเป็นอาหารของคาบสมุทรเจียวตงทางด้านโน้น ส่วนเรื่องที่ว่าเหม็นคาวหรือไม่นั้น ก็ต้องดูความชอบของเจ้าแล้ว อย่างข้าก็รู้สึกว่าเนื้อแพะกลิ่นฉุนเกินไป แต่พวกเจ้ากลับชอบกินมาก
คุณหนูรองอู๋เองก็ไม่ดูงิ้วแล้ว หันมาคุยเรื่องอาหารกับหวังซี เนื้อแพะกลิ่นฉุนได้อย่างไร นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไปกินไม่ถูกที่ คนทางเหนืออย่างพวกข้าชอบกินเนื้อแพะของเหอเท่า เหยาะเกลือในน้ำสะอาดเอาไปต้มสักหน่อยก็กินได้แล้ว ไม่รู้ว่าสดและอร่อยมากเพียงใด
ตระกูลชิงผิงโหวชอบกินอาหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือจริงๆ
หวังซียิ้ม กล่าวยิ้มๆ ว่า เวลาจวนพวกเจ้าจัดงานเลี้ยง อาหารขึ้นชื่อต้องเป็นเนื้อแพะต้ม ซี่โครงแพะต้มและเนื้อแพะย่างแน่ๆ ใช่หรือไม่
คุณหนูรองอู๋ถลึงตา กล่าวว่า เจ้าอย่าดูถูกบ้านข้าเชียว อาหารขึ้นชื่อที่สุดของบ้านข้าคือก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่คลุกน้ำมันพริกต่างหาก
ยังคงเป็นอาหารของภาคตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ดี หวังซีหัวเราะฮ่าดังลั่น น้อยนักที่จะมีโอกาสได้ล้อเลียนคนอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้โดยไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะคิดมากเกินไป ที่แค่มีสายลมพัดยอดหญ้าก็โมโหแล้ว
หวังซีอยากจะกอดลู่หลิงแล้วหอมแก้มสักฟอดเหลือเกิน
เด็กสาวผู้นี้แนะนำให้นางได้รู้จักกับคนที่ควรค่าแก่การผูกสัมพันธ์เป็นสหายผู้หนึ่ง
คุณหนูรองอู๋ยังเสนอความคิดให้นางด้วยว่า ช่วงเดือนสิบเจ้าจัดงานชมบุปผาสักครั้งดีหรือไม่ ตอนนั้นเป็นช่วงกินปูพอดี เจ้ากินเก่งขนาดนี้ ต้องเคยกินปูมากกว่าหนึ่งครั้งเป็นแน่ ข้าได้ยินจากอาจารย์ที่สอนหนังสือข้าเล่าว่า ปูแต่ละพื้นที่มีรสชาติไม่เหมือนกัน ข้าอยากลองชิมดูเหลือเกินว่าไม่เหมือนกันอย่างไร
หวังซีตอบรับด้วยความยินดี
ละครตลกบนเวทีการแสดงจบลงแล้ว คณะหลีฮวากำลังจะเริ่มทำการแสดงเรื่อง ‘คุณชายสี่ออกตามหามารดา’ แล้ว
เมื่อไม่มีเสียงกลองเสียงฆ้องดังรบกวนแล้ว เสียงสนทนาของพวกนางพลันดังขึ้นมา
ฉังเคอกล่าว อย่าจัดงานชมบุปผาเลยจะดีกว่า ถึงเวลาจะเชิญหรือไม่เชิญพี่สาวซือดีเล่า?
แค่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่ามีนางแล้วจะทำให้งานกร่อยมากเท่านั้นแล้ว
ทุกคนเริ่มหารือว่าจะเชิญแขกอย่างไรและเชิญตอนไหนดีขึ้นมาอีกครั้ง
คุณชายสี่ที่สวมรองเท้ายกพื้นหนาและมีธงปักอยู่กลางหลังขึ้นเวทีมาแล้ว
เมื่อเสียงกังวานใสนั่นเปล่งออกมา ก็ดึงดูดสายตาของเด็กสาวสองสามคนกลับไปที่เวทีการแสดงอีกครั้ง
ฉังเคอถามด้วยความตื่นเต้นว่า นี่คือเสี่ยวหรงสี่ของคณะหลีฮวาหรือ
ลู่หลิงกล่าว เป็นเขา ปัจจุบันหรงสี่ไม่ค่อยแสดงเท่าไรแล้ว บอกว่าอายุมาก คอไม่ค่อยดีแล้ว
คุณหนูรองอู๋กล่าว ข้าเคยเจอเขาตอนเขาอายุสิบสองสิบสามปีสมัยที่เพิ่งแสดงบนเวทีใหม่ๆ ฟันขาวริมฝีปากแดง เหมือนเด็กในภาพวาดวันปีใหม่ รูปงามยิ่งนัก ปีนี้เขาอายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีแล้วกระมัง เป็นวัยที่เหมาะกับการแสดงเป็นตัวละครทหารพอดี
ลู่หลิงกล่าว ตอนนี้เขาก็ยังรูปงามมาก ตัวไม่สูง แต่ดูแล้วผอมบางยิ่งนัก ผิวก็ดีมาก ตอนงานวันคล้ายวันเกิดของหลินอานต้าจ่างกงจู่ ยังเรียกเขาไปคุยด้วยเป็นพิเศษ ดวงตาทั้งคู่สุกใสระยิบระยับ หลินอานต้าจ่างกงจู่ยังชมว่าดวงตาของเขางดงาม เขาบอกว่าฝึกมองผ้าแพรปักลูกกลมซ้ายขวามาตั้งแต่เด็ก เวลานานวันเข้า ก็ฝึกจนได้ดวงตาเช่นนี้มา ข้ากลับบ้านไปยังฝึกตามด้วย แต่ว่าฝึกทำตามเรียนได้ไม่กี่วัน ตามท่านย่าไปดื่มสุราที่จวนชิ่งอวิ๋นโหว หลังจากกลับมาก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว กล่าวจบนางก็หัวเราะออกมาอย่างขัดเขิน
คุณหนูรองอู๋หัวเราะดังลั่น กล่าวว่า เจ้าคงไปเจอเรื่องสนุกอย่างอื่นมาอีกกระมัง
ลู่หลิงเองก็ไม่ปฏิเสธ ยิ้มร่ากล่าวว่า ปั๋วหมิงเย่ว์บอกว่าเขาสอนลูกแมวทำท่าไหว้ได้ ข้าก็เลยไปสอนหวันจื่อของพวกข้าทำท่าไหว้บ้าง
ทุกคนหัวเราะเสียงดังลั่น
หมัวมัวที่ชุ่ยกูส่งมาให้นั้นยกน้ำร้อนขึ้นมาเติมให้พวกนาง
เสี่ยวหรงสี่เริ่มการต่อสู้ ท่วงท่าประณีตเรียบร้อย เป็นลักษณะของผู้ยิ่งใหญ่
หวังซีอดไม่ได้ถอนใจเบาๆ และเอ่ยมาคำหนึ่งว่า ดี โน้มตัวออกไปดู
คุณหนูรองอู๋ดึงนางเอาไว้ หันไปยัดของสิ่งหนึ่งใส่มือนาง กล่าวว่า เจ้าใช้สิ่งนี้! กล้องส่องทางไกล เจ้าเคยใช้หรือไม่ อย่าให้ผู้อื่นเห็นเป็นอันขาด
หวังซีรับมาดูครั้งหนึ่ง เบาและคล่องมือกว่ากล้องส่องทางไกลที่นางใช้ตัวนั้น พับได้จึงซ่อนไว้ในถุงพกได้ และแน่นอนว่าระยะการมองเห็นก็จำกัดกว่ามากเช่นกัน
แต่มีย่อมดีกว่าไม่มี
หวังซียิ้มร่ากล่าวขอบคุณ
ลู่หลิงกล่าว พี่สาวจู๋ซ่อนของดีเช่นนี้เอาไว้ก็ไม่บอกให้ข้ารู้บ้าง
คุณหนูรองอู๋หัวเราะ กล่าวว่า มิใช่เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะร้องเสียงดังจนทุกคนรู้กันหมดหรอกหรือ นี่ข้าแอบเอาของพี่ชายเจ็ดออกมา เป็นของนำเข้าจากต่างแดน หายากมาก พี่ชายเจ็ดของข้าใช้ดาบแสงวสันต์ล้ำค่าที่ตัวเองสะสมมาเล่มนั้นแลกกับพี่ชายรองลั่ว ปกติไม่ยอมเอาออกมาให้ใครดูเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หวังซีสะดุดใจ
กล้องส่องทางไกลที่เฉินลั่วใช้จะเป็นกล้องตัวนี้หรือไม่
ถ้าเป็นกระบอกนี้ เช่นนั้นเขาน่าจะมองไม่เห็นตนถึงจะถูก
นางรีบถาม พี่ชายเจ็ดของเจ้าได้กล้องส่องทางไกลตัวนี้มาตั้งแต่เมื่อใดหรือ
คุณหนูรองอู๋ยิ้มตอบ น่าจะมากกว่าครึ่งปีแล้ว! ข้าไปเห็นเข้าตอนที่เขาแอบเอาออกมาเช็ดทำความสะอาด ข้าฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ได้สนใจเอาออกมา จะได้ลองใช้ดูพอดีเลยว่าจะมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนเหมือนที่เขากล่าวมาหรือไม่
ก็หมายความว่า เฉินลั่วมีกล้องส่องทางไกลมากกว่าหนึ่งกระบอก
ไม่แน่ว่าเขาอาจะหาตัวที่มองเห็นได้ไกลมากเหมือนกระบอกที่พี่ชายใหญ่ของนางมีก็เป็นได้
หวังซีลอบด่าเฉินลั่วอยู่ในใจสองสามประโยค คิดว่าสำหรับนางแล้วกล้องส่องทางไกลตัวนี้ก็มิใช่ของเล่นที่พิเศษอะไร คุณหนูรองอู๋หยิบออกมาให้นางเป็นคนแรก นางส่องดูเสี่ยวหรงสี่ผู้นั้นว่าหน้าตาเป็นอย่างไรสักครั้งก็พอแล้ว แบ่งให้คนอื่นๆ ได้ลองใช้โดยเร็วบ้างดีกว่า ปรับสายตาการมองเห็น ในกล้องส่องทางไกลปรากฏร่างคนในชุดสีดำ
เหตุใดถึงไม่เห็นชุดสีแดง
หัวคิ้วของหวังซีผูกเป็นปมเล็กน้อย รีบจัดการอารมณ์อย่างรวดเร็ว หมุนกายยื่นกล้องส่องทางไกลคืนให้คุณหนูรองอู๋ กล่าวว่า พวกเราแบ่งกันดูคนละครู่เถอะ
สหายเล่นด้วยกัน ก็ต้องต่างคนต่างปรับตัวและต่างคนต่างยอมให้กันบ้าง
คุณหนูรองอู๋เองก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่าลู่หลิงแนะนำให้นางได้รู้จักสหายที่ไม่เลวผู้หนึ่ง รับมาแล้วก็ยื่นส่งให้ลู่หลิงที่อายุน้อยที่สุด ยังสอนวิธีใช้ให้ลู่หลิงด้วย
ภาพที่อยู่ไกลออกไปพลันขยายใหญ่ขึ้นในทันใด ลู่หลิงที่ได้ใช้กล้องส่องทางไกลเป็นครั้งแรกร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจเบาๆ รีบส่งกล้องส่องทางไกลให้ฉังเคอ พี่สาว เจ้ารีบดู น่าสนุกยิ่งนัก!
เด็กสาวเช่นนี้ ฉังเคอจะไม่ชอบได้อย่างไร
แต่นางไม่อาจพูดว่าหวังซีเองก็มีหนึ่งกระบอกเช่นกัน จึงกล่าวขอบคุณยิ้มๆ ลู่หลิงดึงนางไปที่ริมหน้าต่าง
หวังซีเองก็ไปยืนตรงริมหน้าต่างด้วย เห็นชิงโฉวกำลังคุยอยู่กับหมัวมัวที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวอาคาร นางกล่าวกับคุณหนูรองอู๋ว่า ข้าเห็นสาวใช้ของข้ากำลังตามหาข้าอยู่ ข้าลงไปดูสักหน่อยว่าเป็นเรื่องอะไร แล้วจะรีบขึ้นมา!
คนอื่นๆ กำลังเล่นกล้องส่องทางไกลกันอยู่ ได้ยินแล้วขานตอบ อือฮึ สองเสียง โดยไม่มองนาง
หวังซียิ้มลงจากอาคารไป
ชิงโฉวดวงหน้าแต้มรอยยิ้ม ทว่าดวงตากลับแฝงความร้อนใจเอาไว้หลายส่วน
หวังซีกล่าวทักทายหมัวมัวผู้นั้นครั้งหนึ่ง เดินนำชิงโฉวไปคุยกันที่ใต้ต้นตั๊กแตนที่อยู่ด้านข้าง
ข้าได้ยินว่าหงโฉวไปตามหาข้า แต่ข้าไม่เจอหงโฉว ชิงโฉวกล่าวอย่างร้อนใจ ข้าหาดูแล้วหนึ่งรอบก็หาไม่เจอ สถานที่อื่นก็ไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป กลัวจะนำปัญหามาให้คุณหนู
หวังซีคาดเอาไว้แล้ว ในใจมีแผนการของตัวเอง ถามชิงโฉวก่อนว่า เหตุใดเจ้าถึงไปนานขนาดนี้ เจอเรื่องยุ่งยากอะไรหรือเปล่า
ชิงโฉวส่ายศีรษะ ตอบว่า แค่มีเรื่องทำให้ล่าช้าเท่านั้น ข้ากลัวคนมาพบ เพื่อประหยัดเวลาแล้วจึงตรงไปที่ศาลากวางร้องเลย ผู้ใดจะรู้ว่าที่ศาลากวางร้องจะมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด มีองครักษ์เต็มไปหมดทุกที่ ข้ากลัวเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงซ่อนตัวอยู่บนคานของศาลาแห่งหนึ่งกว่าครึ่งค่อนวัน กระทั่งองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเหล่านั้นจากไปแล้วถึงไปที่ป่าไผ่ กล่าวจบ แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดง กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นอีกครั้งว่า ไม่มีผู้ใดเห็น ข้าดึงดาบเล่มนั้นออกมา จากนั้นทำตามที่ท่านบอก โยนมันทิ้งไปที่สวนร่มหลิว ข้ากลัวว่าด้านนั้นจะมีคนงานมาเจอเข้าโดยบังเอิญ จึงปีนกำแพงข้ามไป เอาดาบไปฝังเรียบร้อยแล้วถึงข้ามมาอีกครั้ง
หวังซีมองรองเท้าของนาง
พื้นรองเท้าสะอาดสะอ้าน
ชิงโฉวกล่าว ข้าทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเห็นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ
แต่ศาลากวางร้องมีองครักษ์อยู่หมายความว่าอย่างไรกันแน่
…………………………………………………………………..