เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 63 เฉาอวิ๋น
เฉินลั่วสวมชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบสีเขียวเข้มทอลายเมฆมงคลสีทองหรูหรา บนเข็มขัดทองชุบฝังมรกตเหน็บถุงหอมทอลายสีทองประดับไข่มุก ยืนเอามือไขว้หลังเอาไว้
แสงแดดยามเที่ยงส่องตรงมาบนยอดหลังคา ลำแสงสีทองลอดผ่านต้นไม้สูงใหญ่สาดส่องลงบนบันได
ชายเสื้อคลุมของเขาส่องประกายแวววาว ดวงหน้าหยกซ่อนตัวอยู่ในลำแสงสลัว มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เจือรอยยิ้มจางๆ คล้ายแฝงความอบอุ่นของวสันตฤดูเอาไว้
เฉินลั่วในลักษณะนี้ ราวกับย้อนกลับไปที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนอีกครั้ง
ใบหน้าไหนคือใบหน้าที่แท้จริงของเฉินลั่วนะ?
หวังซีกะพริบตาด้วยความสงสัย
ท่านหมอเฝิงกลับบังหวังซีไว้ด้านหลัง ยิ้มกล่าวทักทายเฉินลั่ว คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับคุณชายรองเฉินที่นี่ ที่แท้คุณชายรองเฉินก็เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดกองพลม้าทะยานซ้ายนี่เอง! เจอกันเมื่อคราวก่อนคุณชายรองมิได้กล่าวแนะนำตัว ข้าเองก็มิได้สอบถาม ขอใต้เท้าเฉินอย่าถือสาสายตาอันย่ำแย่ของข้า เสียมารยาทตรงที่ใดไป โปรดอภัยให้ด้วย!
เฉินลั่วหัวเราะ ดวงหน้าเบิกบาน หล่อเหลาบีบคั้นผู้คน
กลายเป็นบุรุษรูปงามคนที่รำกระบี่อยู่ในป่าไผ่ผู้นั้นอีกครั้ง
เขากล่าว มีเรื่องขอร้อง จะกล้าเจ้ายศอวดดีได้อย่างไร
ท่านหมอเฝิงหัวเราะฮ่า กล่าวว่า ได้ยินว่าใต้เท้าเฉินมาจุดธูป เหตุใดถึงไม่เห็นผู้ติดตามหรือบ่าวชายเลย พวกข้าคงมิได้ทำให้ท่านเสียเวลาหรอกกระมัง
ความหมายโดยนัยก็คือ เจ้ามีธุระก็จัดการธุระเสีย หากไม่มีธุระแล้วพวกเราก็ต่างคนต่างไป ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
ผู้ใดจะรู้ว่าเฉินลั่วกลับทำเสมือนฟังความหมายโดยนัยนั้นไม่เข้าใจ ตอบตรงตามความหมายที่ถามมา วันนี้มิใช่วันหยุด และข้าเองก็มิใช่ว่าไม่มีภาระหน้าที่ จะใช้เวลาว่างวิ่งมาจุดธูปไกลถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ข้ามาเพราะฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้มาที่นี่ มิใช่ว่าช่วงนี้พระพลานามัยของพระองค์มิสู้ดีหรอกหรือ จึงเอาแต่พระราชดำริเรื่องนั้นเรื่องนี้ทั้งวัน…
…เนื่องจากพระองค์ทรงได้ยินว่าเครื่องหอมคลายกังวลของวัดต้าเจวี๋ยมีประสิทธิภาพยิ่ง จึงมอบหมายให้ข้ามาดูสักหน่อย…
…ข้าพิจารณาดูแล้วไม่รู้ว่าข่าวคราวนี้เป็นจริงหรือไม่ จึงอยากมาลองดูก่อน
ความจริงแล้วมิได้เดินมาถึงที่นี่ด้วยความบังเอิญ
หวังซีและคนอื่นๆ อดมองพระต้อนรับแขกผู้นั้นครั้งหนึ่งไม่ได้ ต่างลอบตำหนิเฉินลั่วอยู่ในใจว่า เรื่องสำคัญขนาดนี้ ท่านพูดออกมาโต้งๆ เช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ
ท่านหมอเฝิงกลับคิดมากกว่านั้นเล็กน้อย
คราวก่อนแม้นใต้เท้าจินมิได้กล่าวออกมาตรงๆ แต่ก็มีท่าทีแข็งกร้าวให้เห็น
เฉินลั่วพูดถึงอาการประชวรของฮ่องเต้ต่อหน้าเขาอย่างไม่หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ ดูทีคงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องให้เขาเข้าวังไปถวายการรักษาฮ่องเต้ให้ได้
หากเขาปฏิเสธอีก เกรงว่าคงมิใช่แค่เรื่องกักขังเขาสามวันอีกต่อไปแล้ว
จบกัน! จบกัน!
ต่อให้เขาไม่ต้องการชีวิตนี้แล้ว ก็ยังต้องเป็นห่วงนายท่านผู้เฒ่าสกุลหวังที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เป็นห่วงบรรดาพี่น้องสกุลหวังที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่เหล่านั้นอยู่
โชคดีที่ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาคือตามหาศิษย์พี่ใหญ่ให้พบ เพื่อสอบถามเรื่องราวในปีนั้นให้กระจ่าง
ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าเฉาอวิ๋นผู้นี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของเขา เขาก็ไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว
เมื่อท่านหมอเฝิงตัดสินใจได้แล้ว ก็เสมือนกับอยู่ในวสันตฤดูที่ได้สลัดชุดคลุมบุฝ้ายอันหนาหนักออกไป ตัวคนดูมีความสุขสดใสขึ้นหลายส่วน
เขากล่าว ใต้เท้าเฉินกล่าวได้ถูกต้อง ไม่ทราบว่าท่านดูแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
เนื่องจากเฉินลั่วต้องการเชิญท่านหมอเฝิงไปถวายการรักษาฮ่องเต้ จึงเป็นธรรมดาว่าต้องสืบเรื่องของเขามาแล้วไม่น้อยกว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วน
ท่านหมอเฝิงนั้นนอกจากฝีมือด้านการแพทย์ที่ไม่เลวแล้ว ยังผสมเครื่องหอมเป็นด้วย
หรือว่าที่จินซงชิงลงมือไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นจะมีประสิทธิผลมาก ทำให้ควบคุมท่านหมอเฝิงได้?
ท่านหมอเฝิงจึงเปลี่ยนความคิด ยอมเข้าวังแล้ว
เขาเลิกคิ้วขึ้น กล่าวว่า หากท่านหมอเฝิงไม่รังเกียจ มิสู้ไปฟังด้วยกันว่าพระรูปนี้กล่าวเช่นไรบ้างดีกว่า?
ท่านหมอเฝิงยิ้มตอบ เป็นเกียรติยิ่งแล้ว!
ขณะที่กล่าว หันไปส่งสายตาให้เฝิงเกาครั้งหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกเขาว่าดูแลหวังซีให้ดี ยกเท้าเดินไปหาเฉินลั่ว
หวังซียื่นมือออกไป อยากจะคว้าแขนเสื้อของท่านหมอเฝิงเอาไว้ เพื่อแอบส่งสัญญาณให้เขาคิดให้ดีสามตลบก่อนลงมือกระทำ แต่มือของนางยื่นออกไปได้ครึ่งทาง เห็นสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเฉินลั่วนั่นแล้ว นางก็หดมือกลับมาอีกครั้ง
และเพราะการหยุดชะงักนี้ ท่านหมอเฝิงจึงก้าวขึ้นบันไดไปเรียบร้อยแล้ว
หวังซีลอบถอนหายใจ
ในเมื่อสถานการณ์ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็เผชิญหน้ากับความยากลำบากที่กำลังจะพานพบด้วยความยินดีก็แล้วกัน!
นางหมายจะเดินตามท่านหมอเฝิงเข้าไป
เฝิงเกาขวางนางเอาไว้ กระซิบปลอบโยนนางก่อนประโยคหนึ่งว่า ไม่เป็นไร มีข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยนี่นา จากนั้นกล่าวว่า เจ้าอย่ากล่าวสิ่งใดเลย ท่านอาจารย์ต้องมีวิธีจัดการกับใต้เท้าเฉินผู้นั้นแล้วอย่างแน่นอน
หวังซีพยักหน้าด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย เข้าไปในเรือนปีกพร้อมกับเฝิงเกา
ดูจากลักษณะแล้ว เฉินลั่วมาเพียงลำพังจริงๆ
ในเรือนปีกนอกจากเฉินลั่วกับท่านหมอเฝิงแล้ว ก็มีเพียงพระสงฆ์สวมจีวรผ้าเนื้อละเอียดสีเทารูปหนึ่งเท่านั้น
พระรูปนั้นดูอายุมากกว่าหกสิบปี รูปร่างสูงปานกลาง ค่อนข้างผอม โกนศีรษะโล้นเกลี้ยงเกลา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นจากการจี้ธูป ขนคิ้วขาวโพลนดุจหิมะ ดวงตายาวเรียวเล็ก หางตาตกเล็กน้อย ดูอบอุ่นและไร้อันตราย ทำให้คนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมด้วยง่าย
ดวงหน้ามีความเมตตา ดูไม่เหมือนศิษย์พี่ใหญ่ที่กระทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่ปู่เฝิงกล่าวถึงนั่นเลย!
หวังซีคาดการณ์อยู่ในใจ รีบหันไปมองท่านหมอเฝิง
ท่านหมอเฝิงเพ่งสายตามองพระรูปนั้น ขมวดคิ้วน้อยๆ หลังจากประหลาดใจแล้ว คล้ายไม่รู้จะทำอะไรดีเล็กน้อย
นี่ตกลงจำได้แล้วหรือยังจำไม่ได้กันแน่นะ?
หวังซีร้อนใจ
พระต้อนรับแขกที่เร่งตามพวกเขาเข้ามาได้ใช้ทักษะการต้อนรับแขกของเขาแล้ว เท้าเพิ่งจะเหยียบย่างเข้ามาในเรือนปีก ก็หันไปส่งเสียงหัวเราะอย่างกระตือรือร้นให้ทุกคน เดินผ่านหวังซีและท่านหมอเฝิงไปยืนข้างๆ พระท่านนั้น กล่าวกับท่านหมอเฝิงและคนอื่นๆ เสียงดังว่า นี่คือไต้ซือเฉาอวิ๋นของวัดพวกข้า เครื่องหอมในวัดของพวกข้า เขาเป็นคนผสมทั้งหมด…
…ท่านผู้เฒ่าเฝิงน่าจะเคยเจอเป็นครั้งแรกกระมัง…
…อาจารย์เฉาอวิ๋นของพวกข้าไม่เพียงผสมเครื่องหอมเป็นเท่านั้น ยังพอจะรู้เรื่องการแพทย์ด้วย หากท่านผู้เฒ่าเฝิงรู้สึกไม่สบายตรงที่ใด ก็เชิญอาจารย์เฉาอวิ๋นของพวกข้าช่วยจับชีพจรดูได้ อย่างอื่นไม่อาจพูดได้ แต่จ่ายเทียบยาบำรุงร่างกายให้สักเทียบหนึ่งมิใช่เรื่องยากอะไร?
จากนั้นหันไปค้อมตัวให้เฉินลั่วอย่างนอบน้อม กล่าวว่า คุณชายรองเฉินยังจำข้าได้หรือไม่ ข้าคือซ่างซานจากฝ่ายต้อนรับแขก คราก่อนตอนฮองเฮาเหนียงเหนียงกับจ่างกงจู่มาจุดธูปที่วัดต้าเจวี๋ยนั้น อาตมาเป็นคนนำทางอยู่ด้านหน้า เวลานั้นท่านเองก็อยู่ด้วย…
…ท่านยังมาเล่นหมากล้อมกับองค์ชายรองและองค์ชายสามด้วย!…
…คิดไม่ถึงว่าท่านกับท่านผู้เฒ่าเฝิงจะเป็นคนคุ้นเคยกัน!
จากนั้นเขาแนะนำท่านหมอเฝิงและคนอื่นๆ ให้เฉินลั่วรู้จัก เป็นคนรู้จักสนิทสนมของจวนชิ่งอวิ๋นโหว คุณชายน้อยปั๋วมาฝากฝังด้วยตัวเอง บอกว่าได้รับถุงหอมของวัดพวกข้ามาจากห้องเสื้อเมฆาคำนึงด้วยความบังเอิญ รู้สึกว่ากลิ่นหอมดี จึงถือโอกาสช่วงที่อากาศแจ่มใสนี้ อยากมาดูที่วัดต้าเจวี๋ยสักครั้ง…
…ท่านเจ้าอาวาสของพวกข้ากำชับข้าเป็นพิเศษว่าให้พาท่านผู้เฒ่าเฝิงไปเดินรอบๆ ให้ทั่ว…
…ทุกคนมาเจอกัน ณ สถานที่ผสมเครื่องหอมของอาจารย์เฉาอวิ๋นได้ นี่ก็นับเป็นวาสนาแล้ว!
คำพูดของเขาดูซาบซึ้งใจ และดูไม่เหมือนกำลังปัดความรับผิดชอบของวัดต้าเจวี๋ยด้วยกลัวว่าจะเป็นการละเลยผู้ใดเลย?
แต่น้ำเสียงของเขาจริงใจ พยายามจัดการทุกอย่างให้ดี ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกขุ่นเคือง
เฝิงเกายิ้มน้อยๆ
หูของหวังซีฟังถ้อยคำของพระต้อนรับแขกไปด้วย ทว่าดวงตากลับสังเกตเฉาอวิ๋นอยู่ตลอด
นางค้นพบว่าเฉาอวิ๋นยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม ดูเป็นคนนิสัยดี เป็นลักษณะของคนที่ไม่ว่าผู้ใดก็รังแกเขาได้ แต่ตอนที่พระต้อนรับแขกขานเรียกท่านหมอเฝิงว่า ‘ท่านผู้เฒ่าเฝิง’ นั้น แม้นเขาจะยังคงดูสงบไร้ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ทว่าชายตามองท่านหมอเฝิงอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าก้มตาลงมากยิ่งขึ้น
ปกติควรจะเงยศีรษะขึ้นมาพยักหน้าให้ท่านหมอเฝิงยิ้มๆ สักครั้งหรือไม่ก็กล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้มสักคำมิใช่หรือ
หวังซีมองไปที่ท่านหมอเฝิงอีกครั้งหนึ่ง
หัวคิ้วของท่านหมอเฝิงผูกเป็นปมแน่น มองเฉาอวิ๋นด้วยความฉงนสงสัย เผยความรู้สึกออกมาอย่างไม่ปกปิด
หวังซีไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าท่านหมอเฝิงต้องการทำอะไร
ท่านหมอเฝิงกลับลงมือไปแล้วเรียบร้อย
เขาถามเฉาอวิ๋นอย่างกะทันหันว่า ไม่ทราบว่าท่านไต้ซือมีนามเดิมว่าอะไร เป็นคนจากที่ใด ข้าดูแล้วคล้ายคลึงกับสหายเก่าของข้าผู้หนึ่งยิ่งนัก
พระต้อนรับแขกตกตะลึง
เฉาอวิ๋นยิ้มตอบ ข้าเป็นคนสู่จง มีนามเดิมว่าเถียนฟู่กุ้ย มิได้ใช้นามเดิมมาสี่สิบกว่าปีแล้ว สามสิบปีก่อนโกนผมบวชที่วัดหลงเหยียนของอานหยาง ยี่สิบสี่ปีก่อนติดตามศิษย์พี่ในวัดมาจำวัดที่วัดต้าเจวี๋ย รู้สึกว่าที่นี่ดียิ่ง จึงรั้งอยู่เรื่อยมา
เขากล่าวถึงเพียงเล็กน้อยเหมือนมิใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ความจริงแล้วเรื่องราวมิได้ง่ายดายขนาดนั้
อันดับแรก วัดหลงเหยียนของอานหยางเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากของรัชสมัยนั้น กฎระเบียบเคร่งครัด เป็นวัดที่ได้รับการจัดการดูแลผ่านสำนักสงฆ์ของราชสำนัก
เรื่องถัดมา มิใช่ว่าใครอยากโกนผมบวชก็โกนผมบวชได้เลย
ต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรม รักษาศีลห้า และอาศัยอยู่ในวัดระยะหนึ่งก่อน หลังจากที่อาจารย์พระเฝ้าสังเกตการณ์เจ้าจนรู้สึกว่าเจ้ามีความเพียรและเจริญสติปัญญาแล้ว ถึงจะให้การแนะนำเจ้าโกนผมบวชอย่างเป็นทางการ
หลังจากกวนผมบวชแล้ว ยังต้องฝึกปฏิบัติธรรมอีกระยะหนึ่ง จนอาจารย์พระรู้สึกว่าเจ้าเหมาะสมแล้ว ถึงให้ทางวัดออกหน้านำชื่อไปรายงาน ณ ที่ทำการประจำท้องถิ่นเพื่อรับเอกสารพระสงฆ์จากทางการ
หลังจากที่ได้รับเอกสารจากทางการแล้ว มีเอกสารแนะนำจากวัดที่โกนผมบวชให้ ถึงจะเข้าไปจำวัดในวัดมีชื่อเสียงใหญ่โตได้
และวัดต้าเจวี๋ยเป็นวัดของราชวงศ์ ระเบียบในการจำวัดจึงมีมาก
จำวัดแล้วอยากรั้งอยู่ที่วัดต้าเจวี๋ย กลายเป็นพระของวัดต้าเจวี๋ยนั้น กฎระเบียบก็ยิ่งมากขึ้น
ไม่พูดถึงเรื่องตรวจสอบสามชั่วโคตร เอกสารจากทางการก็ต้องตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างแน่นอน
และเฉาอวิ๋นอยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยมายี่สิบกว่าปีแล้ว
หากไม่มีหลักฐาน ท่านหมอเฝิงไม่อาจกล่าวหาเขาตามอำเภอใจได้
แน่นอน หากมีทางการหรือผู้มีอิทธิพลยื่นมือเข้ามายุ่ง ย่อมไม่เหมือนกันแล้ว
ปัญหาคือ เฉาอวิ๋นผู้นี้ดูได้รับการตอบรับที่ดีจากสตรีชั้นสูงในวังหลวงเป็นอย่างมาก
แต่ถ้ามิใช่เพราะเขาได้รับการตอบรับที่ดี ท่านหมอเฝิงเองก็ไม่อาจค้นพบว่าเครื่องหอมที่เขาผสมมาจากแหล่งเดียวกับท่านหมอเฝิง
หวังซีถอนหายใจ
ท่านหมอเฝิงกลับคิดว่า อายุของเขาไม่คอยท่าคน ได้เผชิญหน้ากับเฉาอวิ๋นอย่างเป็นทางการแล้ว ครั้งนี้ได้พบเฉาอวิ๋นแล้วไม่รู้ว่าคราวหน้าจะมีโอกาสได้พบอีกหรือไม่ แทนที่จะหยั่งเชิงอย่างอ้อมค้อมไปมา มิสู้สอบถามไปตรงๆ เลยดีกว่า
ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้
เขากล่าว ถึงว่าข้ารู้สึกคุ้นเคยกับเครื่องหอมที่อาจารย์เฉาอวิ๋นผสมมายิ่งนัก ไม่ทราบว่าอาจารย์เฉาอวิ๋นเรียนผสมเครื่องหอมมาจากผู้ใด บ้านเดิมอยู่ที่ไหนของสู่จงหรือ
น้ำเสียงในคำถามนั่น ทำให้คนสัมผัสได้ว่าวัตถุประสงค์ในการมาวัดต้าเจวี๋ยของเขาไม่ธรรมดาเสียแล้ว
พระต้อนรับแขกสีหน้าเปลี่ยน
ปีนั้นที่เฉาอวิ๋นรั้งอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะเขาผสมเครื่องหอมและรักษาโรคเป็น
แต่จิงเฉิงก็มิได้ขาดแคลนหมอมีชื่อ
เป็นเพราะหลายปีมานี้เครื่องหอมที่เฉาอวิ๋นผสมเป็นที่ชื่นชอบของสตรีชั้นสูงในเมืองหลวง ทางวัดคิดว่าช่วยดึงดูดผู้มาสักการะและสร้างชื่อให้วัดต้าเจวี๋ยได้มากขึ้น ถึงได้เริ่มยกย่องสรรเสริญเฉาอวิ๋นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าอาวาสเคยสอบถามเฉาอวิ๋นมาก่อนว่าทักษะการผสมเครื่องหอมนี้เรียนมาจากผู้ใด เขาบอกว่าเป็นสมบัติตกทอดของตระกูล
แต่ถ้ามิใช่สมบัติตกทอดของตระกูลเล่า?
พระต้อนรับแขกมองเฉินลั่ว
วัดต้าเจวี๋ยของพวกเขาไม่กลัวถูกฟ้องร้องที่ศาล พวกเขากลัวคนอย่างเฉินลั่วมีอคติลำเอียงมากกว่า
เฉินลั่วเองก็ดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขามองท่านหมอเฝิงแล้วก็มองหวังซี
เขามองข้าทำไม
หวังซีรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจเล็กน้อย
อยากมอง ก็ควรจะมองเฉาอวิ๋น!
หัวสมองของหวังซีขบคิดอย่างรวดเร็ว
หรือเขาเองก็รู้สึกว่าในสวนป่าที่จวนจ่างกงจู่นั้นเขาติดหนี้น้ำใจนางครั้งหนึ่ง?
ดังนั้นเขาถึงไม่สนใจว่าเฉาอวิ๋นเรียนผสมเครื่องหอมมาจากผู้ใด เขาอยากให้นางรับน้ำใจจากเขาครั้งหนึ่ง?
นับจากนี้หนี้บุญคุณของทั้งสองคนก็ถือว่าได้ชดใช้ ต่างไม่ติดค้างกันแล้ว?
…………………………………………………………………