เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 67 เฉินลั่ว
เฉินลั่วฟังเงียบๆ ไม่เปล่งเสียงอะไรไปครู่ใหญ่
หวังซีจึงรู้สึกว่าไม่มีความหมายอะไรแล้ว
นี่ก็เหมือนการคุยกับคนที่ไม่มีความสนใจร่วมกัน
นางจึงจบบทสนทนานี้ลงอย่างรวดเร็ว ถามเฉินลั่วว่า ที่เฉาอวิ๋นต้องมียางกำยานอยู่แน่นอน หรือว่า ข้าเขียนรายการสิ่งของให้เย่ว์เผิงอีกสักใบ แล้วข้าช่วยเจ้าผสมเครื่องหอมที่ใช้ยางกำยานอีกสักอย่างดีหรือไม่
หวังซีคิดว่า หากเฉินลั่วอยากรู้ว่ายางกำยานหน้าตาเป็นอย่างไร มีกลิ่นเช่นไร โดยมากก็แค่ให้คนไปหยิบยางกำยานจากที่นั่นมาให้เขาสักชิ้นก็ได้แล้ว การที่เขาถามท่านหมอเฝิงว่าทำเครื่องหอมเป็นหรือไม่ และยังวิ่งมาถามนางเป็นการส่วนตัวก่อนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ายางกำยานนี้มีประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อเขา เขาถึงกับไม่อยากให้คนรู้ว่าเขาให้ความสนใจกับมันมาก
วิธีที่ดีที่สุดก็คือนางใช้เรื่องทำเครื่องหอมช่วยเหลือเขาเงียบๆ สักครั้งหนึ่ง
คิดถึงเรื่องที่นางกระทำต่อเฉินลั่วก่อนหน้านี้ แล้วก็ขบคิดถึงเรื่องที่เฉินลั่วช่วยเหลือนาง นี่ก็ถือได้ว่านางตอบแทนน้ำใจเขาแล้ว
ถึงแม้จะไม่เพียงพอให้ชดเชยเรื่องที่เฉินลั่วทำให้นาง แต่จะดีร้ายนางก็ได้ตอบแทนน้ำใจของเขาส่วนหนึ่ง!
ยิ่งคิดหวังซีก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำถูกต้อง กล่าวตรงไปตรงมาว่า หรือไม่ ข้าช่วยหายางกำยานมาให้เจ้าสักชิ้น แล้วค่อยหาทางส่งไปให้เจ้าเงียบๆ?
เฉินลั่วมองหวังซีครั้งหนึ่ง
รู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้ช่างฉลาดเฉียบแหลมยิ่งนัก
เขากล่าว ไม่ต้องดีกว่า! ปกติข้าไม่ค่อยใช้เครื่องหอม
ซึ่งก็หมายความว่า หากเริ่มสนใจอย่างกะทันหันขึ้นมา อาจทำให้คนข้างกายรู้สึกผิดปกติได้
แต่มิใช่ว่าเขาได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ให้มาที่วัดต้าเจวี๋ยหรอกหรือ
แม้แต่คนข้างกายของเขา เขาก็ไม่ไว้วางใจอย่างนั้นหรือ
ในหัวสมองของหวังซีมีเรื่องราวการต่อสู้ที่เขียนไว้ในหนังสือภาพผุดออกมามากมาย ยังทำให้นางนึกถึงเฉินเจวี๋ยด้วย
นางขนลุกไปครั้งหนึ่ง สายตาที่มองเฉินลั่วเจือความเห็นใจไว้หลายส่วน คิดว่าไม่แปลกที่ฮ่องเต้ในงิ้วต่างเรียกขานตัวเองว่า ‘กว่าเหริน[1]’ หรือบุคคลที่โดดเดี่ยวที่สุด เห็นได้ชัดว่าการยืนอยู่ในตำแหน่งสูงและมองไกลออกไปนั้น ยิ่งสูงก็ยิ่งโดดเดี่ยวเดียวดาย นับว่ามีเหตุผลอยู่หลายส่วน
เช่นนั้นมีอะไรที่ข้าพอจะช่วยเหลือเจ้าได้บ้าง? นางถาม นัยน์ตาดวงโตมองเขาตาไม่กะพริบ ในนั้นมีความยอมตามใจอยู่ด้วยโดยที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ตัว
เฉินลั่วลูบหน้าผาก
เด็กสาวผู้นี้ช่าง…มีดวงหน้าที่คล้ายพูดได้ก็ไม่ปาน การแสดงออกทางสีหน้ายังมากมายอีกด้วย ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร นางก็คิดเองเออเองไปเรื่อยเปื่อยจนกลายเป็นอะไรต่อมิอะไรไปแล้ว
โชคดีที่นอกจากความแปลกใจแล้ว กลับไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ กระทั่งบางครั้งยังรู้สึกว่าน่าสนใจด้วยซ้ำ
นี่ก็ถือเป็นความสามารถแบบหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นเพราะว่านางหน้าตางดงามมากเกินไป ไม่ว่าจะแสดงสีหน้าหรือกระทำท่าทางอะไรออกมา จึงดูงดงามกว่าผู้คนรอบข้างไปหมด?
ความรู้สึกนี้ผ่านเข้ามาในใจของเฉินลั่วแล้วก็จากไป เขามิได้เก็บมาใส่ใจ
ที่เขาถามท่านหมอเฝิงว่าผสมเครื่องหอมเป็นหรือไม่นั้น เพราะมีเรื่องอยากให้ท่านหมอเฝิงช่วยเหลือจริงๆ
ที่ท่านหมอเฝิงปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ไปนั้นเขาคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว เรื่องจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไรนั้น เขามีแผนการเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว
สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือหวังซีกลับกระโดดออกมา เสนอตัวรับหน้าที่ของท่านหมอเฝิงอย่างกล้าหาญ
ก็เหมือนกับเรื่องที่สวนป่าในวันนั้น ทุกคนต่างยึดจับตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ เขาถึงกับนับเฉินอิงเข้ามาด้วยแล้ว ทว่านางกลับปราดเข้ามาอย่างกะทันหัน ทำเอาเรื่องราวยุ่งเหยิงกันไปหมด
ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง แต่กลับบังเอิญทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้
เฉินลั่วยิ้ม
ตอนนี้เขากลัวว่าเด็กสาวผู้นี้จะเป็นเหมือนวันนั้นอีก ด้วยความเลือดร้อนจึงรับทุกอย่างมาไว้บนศีรษะ ทั้งที่ความจริงแล้วทำเครื่องหอมไม่เป็น
เครื่องหอมจำนวนมากเมื่อผสมเสร็จแล้วมิใช่ว่าจะใช้ได้เลยทันที บางอย่างต้องเก็บไว้ในห้องใต้ดินครึ่งปี บางอย่างต้องแช่น้ำมันไว้ครึ่งเดือน ผู้ใดจะรอจนถึงเวลานั้นแล้วค่อยทดสอบกลิ่นหอมได้!
อย่างไรก็ตาม บางครั้งคนเลือดร้อนก็น่าเชื่อถือ ดูจริงใจและตรงไปตรงมากว่าคนไหลลื่น
ข้างกายเขามีคนเจ้าแผนการน้อยเสียเมื่อไร
เฉินลั่วครุ่นคิด เรียกผู้ติดตามคนสนิทเสียงหนึ่ง
ผู้ติดตามเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาทันที ยื่นกล่องกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือกล่องหนึ่งส่งให้เฉินลั่ว
เฉินลั่วส่งกล่องกระดาษให้ไป๋ซู่คนข้างกายของหวังซี กล่าวว่า คุณหนูช่วยข้าดูหน่อยว่านี่คือผงธูปหอมอะไร ข้างในมียางกำยานอยู่ด้วยหรือไม่
งานเช่นนี้หวังซีพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้างหลายส่วน
นางเปิดกล่องออกดอมดม พบว่าภายในกล่องปูด้วยกระดาษไขหนึ่งชั้น มีผงธูปหอมวางอยู่หนึ่งหยิบมือเล็ก คล้ายขูดออกมาจากที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็หยิบติดมือมาด้วยกำหนึ่ง
นางขยับเข้าไปดมใกล้ๆ อีกครั้ง
กลิ่นหอมบางเบามาก ไม่เหมือนว่ามียางกำยานอยู่ด้วย
กลิ่นของยางกำยานเป็นเอกลักษณ์มาก และกลิ่นของมันก็แรงมากด้วย กลิ่นแรงกว่ากฤษณาและจันทน์ขาวเสียอีก ที่ใช้ยางกำยานทำเครื่องหอมเฉินก็เพราะกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของยางกำยาน ผู้ใดจะปกปิดกลิ่นของมันได้?
แต่เฉินลั่วไม่มีทางถามคำถามเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผล
นางกล่าวอย่างสงบว่า ข้าดมแล้วไม่ได้กลิ่น หรือว่าข้าช่วยสอบถามผู้อื่นให้เจ้าดีหรือไม่ เจ้าเองก็รู้ว่าครอบครัวพวกข้าทำการค้า ทำการค้ากับคนทุกประเภท รู้จักคนมากมายหลายหลาก ไม่แน่ว่าอาจรู้จักคนที่มีความสามารถทางด้านนี้ก็เป็นได้!
ที่ผ่านมามีคนแข่งขันเรื่องเครื่องหอมมาตลอด บางคนยังเป็นผู้สืบทอดด้วย ปกติแล้วสถานะของคนเช่นนี้ในสังคมล้วนไม่สูงส่ง ทว่าทุกคนต่างมีความสามารถอย่างแท้จริงที่เพียงพอให้อยู่รอดต่อไปได้
เฉินลั่วมาจากครอบครัวสูงส่งมากเกินไป อาจไม่มีโอกาสได้รู้จักคนธรรมดาสามัญทุกรูปแบบในตลาดเหมือนพี่ชายใหญ่ของนาง
แน่นอนว่าพี่ชายใหญ่ของนางเองก็มีข้อจำกัดเรื่องสถานะเช่นกัน การจะได้รู้จักคนจากครอบครัวสูงส่งอย่างเฉินลั่วก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก
ถ้าหากพี่ชายใหญ่ของนางได้เป็นสหายกับเฉินลั่วก็คงดี!
ความคิดนี้วาบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
หวังซีรู้สึกว่านางเฉลียวฉลาดเกินไปแล้ว
จากเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางก็พอมองออกแล้วว่าเฉินลั่วผู้นี้เป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว อย่างที่เขากล่าวกันว่า สหายนั้นไม่จำเป็นต้องมีมาก ในเวลาคับขันมีเพียงหนึ่งก็เพียงพอแล้ว พี่ชายใหญ่ของนางเก่งเรื่องผูกสัมพันธ์กับผู้คน หากแนะนำให้พี่ชายใหญ่ของนางรู้จักกับเฉินลั่ว ด้วยความสามารถของพี่ชายใหญ่ของนางแล้ว ย่อมเอาชนะใจเฉินลั่วได้อย่างแน่นอน
เมื่อมีเฉินลั่วแล้ว การค้าของตระกูลนางย่อมจะสูงขึ้นอีกระดับหนึ่งได้แน่ๆ
นางเองก็ถือว่าได้ทำประโยชน์เพื่อครอบครัว ไม่นับว่าเป็นคนเลี้ยงเสียข้าวสุกแล้วกระมัง
หวังซีลอบหัวเราะคิก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล
เฉินลั่วมองดวงตาดำตัดขาวดวงโตของนางกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว คล้ายลูกแมวน้อยแอบขโมยกินปลานั่นแล้ว แค่มองก็ทำให้คนรู้แล้วว่าสมองน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยรอยหยักของนางนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรไปไกลถึงไหนต่อไหนอีกแล้ว
เขาอดไม่ได้กระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง ขบคิดว่าตนควรจะเตือนนางสักสองประโยคหรือไม่ เพื่อที่ว่าท่าทางที่แสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาทางสีหน้าของนางนี้จะไม่ถูกผู้อื่นมองจนทะลุปรุโปร่ง ยามเผชิญหน้ากับคนเช่นซือจูต้องเสียเปรียบมากเป็นแน่
นึกถึงตรงนี้ เขาก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
ในบรรดาสตรีทั้งหมดที่เขารู้จัก ซือจูนับว่าเป็นคนแปลกประหลาดผู้หนึ่ง
ไม่รู้ว่านางเอาสมองส่วนไหนคิด ราวกับว่านอกจากคนที่มีสถานะเทียบเท่ากับนางหรือคนที่มีสถานะสูงกว่านางแล้ว คนอื่นๆ ล้วนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน หากนางไม่ดูแคลนตรงจุดนี้ ก็ดูแคลนตรงจุดนั้น
และนางยังอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวกับคุณหนูสกุลหวังอีกด้วย
บิดามารดาของคุณหนูหวังหูตามืดบอดเกินไปแล้ว!
แต่นี่มิใช่เรื่องที่เขาสมควรเข้าไปยุ่ง
เขาส่ายศีรษะ เหวี่ยงเรื่องไม่ค่อยน่าอภิรมย์นี้ทิ้งไป ไตร่ตรองคำแนะนำของหวังซีอย่างจริงจังขึ้นมา
หวังซีต้องการออกอุบายกับเฉินลั่ว แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเหมือนตะเกียงน้ำมัน ที่เฉินลั่วขยับที นางก็ขยับที
แต่ก็ไม่อาจให้ดูกระตือรือร้นมากเกินไป
หากดูกระตือรือร้นมากเกินไป ก็ได้รับง่ายดายเกินไป เมื่อได้รับง่ายดายเกินไป ก็ไม่เห็นค่า บางครั้งอาจกลายเป็นพยายามหัวแหลมแต่เพลี่ยงพล้ำ ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นการประจบประแจงได้
คิดๆ ดูแล้วก็เป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่ง
หวังซีทอดถอนใจอยู่ในใจ
การเป็นนางนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ!
กลับสู่จงแล้ว นางต้องไปขอรางวัลจากท่านปู่ท่านย่าถึงจะใช้การได้
อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่เรือนครัวเล็กของท่านปู่นั้นต่อไปต้องมอบให้นางเป็นสินเจ้าสาว นางเดินทางไปไหนก็เอาไปด้วย
นางราวกับเห็นหมูหันหอมกรอบกำลังบินมาหานาง
โอ๊ย น้ำลายจะไหลอีกแล้ว!
หวังซีรีบยืนตัวตรง กล่าวกับเฉินลั่วอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า ท่านแบ่งผงธูปหอมนี้ให้ข้าสักเล็กน้อย ข้าจะให้คนไปสอบถามดู อย่างมากหนึ่งเดือนก็น่าจะให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ท่านได้แล้ว
หากมิใช่เพราะเฉินลั่วไร้หนทางแล้ว ก็คงไม่มาถามนางอย่างไม่ชาญฉลาดเช่นนี้
อย่างไรก็เป็นการรักษาม้าตายประหนึ่งรักษาม้าเป็น ต่อให้นางสอบถามข้อมูลอะไรไม่ได้เลย อย่างมากเขาก็แค่เหมือนกับตอนนี้ ไม่นับว่าสูญเสียอะไร!
ที่เฉินลั่วมาวัดต้าเจวี๋ย ไม่แน่ว่าอาจมาด้วยเรื่องผงธูปหอมหยิบมือนี้ก็เป็นได้
เพียงแต่ว่าบังเอิญเจอพวกนาง แผนเลยเกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกนางก็มีความสัตย์ซื่อและคุ้มค่าให้เชื่อถือมากกว่าคนสามานย์อย่างเฉาอวิ๋น!
ไม่แน่ว่า เพราะพวกนางทำหน้าที่แทนเฉาอวิ๋นได้ เมื่อเฉินลั่วดีใจ ก็อาจจะปล่อยมือไม่สนใจความเป็นความตายของเฉาอวิ๋นอีก เช่นนั้นแล้วพวกนางก็จะยิ่งมั่นใจได้ว่าจะจัดการเฉาอวิ๋นอย่างไรก็ได้
นี่ถือเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์แล้ว!
หวังซีลอบพยักหน้า ให้ความสำคัญและเอาใจใส่กับผงธูปหอมนี้มากขึ้น
นางบอกไป๋ซู่ ไปหากระดาษไขมาห่อผงธูปหอมไว้เล็กน้อย ที่สำคัญคือห้ามให้ผู้อื่นได้กลิ่น วัดต้าเจวี๋ยซ่อนเฉาอวิ๋นเอาไว้ผู้หนึ่งได้ ไม่แน่ว่าอาจจะซ่อนเฉาสยาหรือเฉาลู่เอาไว้อีกก็เป็นได้ อย่าให้ถูกคนจับได้เชียว
สั่งการเสร็จแล้วนางก็ยังไม่ลืมที่จะถากถางวัดต้าเจวี๋ยต่อหน้าเฉินลั่ว
เฉินลั่วต้องอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีกถึงไม่หลุดหัวเราะออกมา
อย่างไรก็ตาม เด็กสาวผู้นี้กระทำการได้ไม่เลวเลยจริงๆ เห็นว่าผงธูปหอมในกล่องกระดาษนั่นมีการใช้กระดาษไขคั่นเอาไว้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องผงธูปหอม รู้ว่าควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรให้เหมาะสม
บางที นางอาจจะสืบจนได้ส่วนผสมของผงธูปหอมนี้ออกมาก็เป็นได้
เฉินลั่วคิด รู้สึกว่าเมื่อกลับไปตนควรจะสืบเรื่องคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิวโหวท่านนี้ให้ละเอียดถึงจะใช้การได้
สกุลหวังที่สู่จงเองก็มีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ปกติก็ดูสูงส่งเช่นนี้อยู่แล้ว หรือมีแค่คุณหนูใหญ่ท่านนี้ที่แตกต่างจากผู้อื่นเพียงคนเดียว?
เฉินลั่วไม่ต้องการเครื่องหอมที่หวังซีทำ ทิ้งคนไว้สองสามคนเพื่ออารักขาส่งนางกลับบ้านแล้วก็พาเย่ว์เผิงเดินจากไป
หวังซีไม่รู้ว่าท่านหมอเฝิงและคนอื่นๆ ไปไหนกัน มุ่งหน้าไปตามหาท่านหมอเฝิงที่เรือนของเฉาอวิ๋น ทว่าระหว่างทางกลับบังเอิญพบกับท่านหมอเฝิงและอีกสองสามคนที่มาตามหานางพอดี
ท่านหมอเฝิงทั้งประหลาดใจทั้งยินดี มองสำรวจหวังซีขึ้นลง ถามนางอย่างร้อนใจว่า เป็นอย่างไรบ้าง เฉินลั่วผู้นั้นได้สร้างความลำบากให้เจ้าหรือไม่
ไม่เลยเจ้าค่ะ ไม่เลย! ส่วนเรื่องผงธูปหอม หวังซีตัดสินใจว่ากลับร้านขายยาแล้วค่อยว่ากันอีกที นางเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากท่านหมอเฝิงเหมือนกัน นางรีบขานตอบท่านหมอเฝิง เฉินลั่วไปแล้ว เฉาอวิ๋นเล่า? คนของวัดต้าเจวี๋ยคอยจับตาดูเขาแล้วใช่หรือไม่
นางไม่ค่อยเชื่อใจวัดต้าเจวี๋ยนัก รู้สึกว่าควรจะให้เฉาอวิ๋นไปกักตัวอยู่ที่อื่นถึงจะใช้การได้
จะให้ดีที่สุดคือให้อยู่ในสายตาของเฉินลั่ว
เฝิงเกากลับกล่าวยิ้มๆ อย่างปรีดาว่า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้วัดต้าเจวี๋ยจะเป็นคนจับตาดูเขา ทว่าวัดต้าเจวี๋ยก็ไม่กล้าแหกกฎเพื่อช่วยเหลือคนของตัวเอง ตอนใต้เท้าเฉินจากไปนั้นได้มอบรายการเครื่องหอมให้เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยขนาดยาวหนึ่งแผ่น ให้คนของวัดต้าเจวี๋ยคอยกำกับเฉาอวิ๋นทำเครื่องหอมทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน ยังบอกด้วยว่านี่เป็นบัญชาของฮ่องเต้ ไม่มีทางเลือกอื่น…
…วัดต้าเจวี๋ยย่อมต้องส่งคนไปจับตาดูเขาไว้อย่างแน่นอน หากเขาหายตัวไป เฉินลั่วย่อมไม่ตามหาเฉาอวิ๋น มีแต่จะไปคิดบัญชีกับวัดต้าเจวี๋ยเท่านั้น! ต่อให้วัดต้าเจวี๋ยอยากปกป้องเฉาอวิ๋นก็ทำไม่ได้! นอกเสียจากว่าพระที่วัดต้าเจวี๋ยจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
หนึ่งเดือนหรือ
นี่มิใช่ว่าเป็นเวลาเดียวกับที่นางให้คำมั่นเฉินลั่วไว้หรอกหรือ!
หวังซีถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นคำเตือนกันแน่
เฮ้อ อยากทำอะไรจริงจังสักหน่อยช่างยากเย็นจริงๆ
……………………………………………………………………..
[1] กว่าเหริน คำสรรพนามที่อ๋องปกครองนครในยุคชุนชิวเรียกขานตนเอง นอกจากหมายถึงผู้มีอำนาจสูงสุดในนครแล้ว ยังหมายถึงคนโดดเดี่ยวเดียวดายด้วยเช่นกัน