เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 78 มอบของขวัญ
เนื่องจากไปเยี่ยมคนป่วย จะขาดโสมซานชี ตังกุย โกฐสอ โกฐหัวบัวและสมุนไพรอื่นๆ ไม่ได้ ของบำรุงอย่างโสมคน รังนก เห็ดหลินจือ รากเทียนหมาและอื่นๆ ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน จะให้ดีที่สุดคือจัดยาที่มีประสิทธิผลบรรเทาอาการเจ็บปวดและฟกช้ำจำพวกนั้นมาด้วยสักสองสามอย่าง
หวังซีคิดคำนวณอยู่ในใจ หวนคิดถึงเวลาที่ผู้อื่นมาเยี่ยมนางหรือท่านปู่ของนางนั้นส่งของขวัญอะไรมาให้บ้าง
อาหาร เครื่องดื่ม และของเล่นสร้างความสำราญต่างๆ ก็ต้องส่งไปด้วยเล็กน้อย ควรจะเป็นของที่เฉินลั่วชอบหรือไม่ก็สนใจจะดีที่สุด
แต่เฉินลั่วชอบอะไรบ้างนั้น นางไม่รู้เลยสักอย่าง
ไปสืบจากเฉินอวี้ในเวลานี้ ไม่รู้ว่าจะช้าไปหรือไม่
สุดท้ายหวังซียังคงตัดสินใจจะรักษาม้าตายประหนึ่งม้ายังเป็น นางให้หวังสี่ไปสืบเรื่องความชอบของเฉินลั่ว ขณะเดียวกันก็ให้หวังหมัวมัวไปขอยาลูกกลอนสำหรับบรรเทาอาการฟกช้ำดำเขียวเหล่านั้นจากท่านหมอเฝิงกลับมาให้เฉินลั่ว
นอกจากนี้นางคิดไปคิดมาแล้ว รู้สึกว่าเฉินลั่วที่โตขนาดนี้นอกจากจะถูกบิดาของตัวเองเฆี่ยนตีแล้ว ยังเป็นที่โจษจันไปทั่วเมืองอีก เป็นใครก็ต้องรู้สึกเสียหน้า จิตใจห่อเหี่ยวอยู่แล้ว เกรงว่าเวลานี้การส่งส่วนผสมของธูปหอมนั่นไปให้เขาได้ ถึงจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเขา
นางรีบให้บ่าวชายนำจดหมายไปแจ้งหวังสี่ ให้เขาวิ่งไปที่วัดเจินอู่สักครั้ง
ยุ่งเช่นนี้อยู่ตลอดทั้งวัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะรวบรวมของขวัญได้หนึ่งคันรถ
ไม่นับที่ใช้กล่องลงน้ำมันเคลือบสีแดงวาดลายสีทองบรรจุยาสมุนไพรต่างๆ เอาไว้ นางยังเตรียมผ้าโปร่งบางสีขาวสิบพับ ผ้าไหมหังโจวสิบพับ ผ้าแพรสิบพับ และผ้าตาดทุกสีอีกสิบพับ นอกจากจะเชิญผู้เชี่ยวชาญชราของร้านเจกุ้ยซุ่นออกหน้ามาทำขนมหวานของจิงเฉิงอย่างขนมลาม้วน ขนมถั่วลันเตาเหลือง และขนมดอกเบญจมาศด้วยตัวเองแล้ว ยังใช้กล่องบรรจุหนังสือภาพหนึ่งชุดที่กำลังเป็นที่นิยมของจิงเฉิงในเวลานี้อย่างเรื่อง ‘ขโมยสมุนไพรเซียน’ ‘กำแพงแห่งรัก’ และ ‘คุณชายขายน้ำมัน’ โดยภายนอกห่อด้วยปกของหนังสือทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้า สอดไปกับพวกแท่นฝนหมึกจากตวนซี พู่กันจากหูโจว และกระดาษเฉิงซิน
ฉะนั้นเมื่อเฉินลั่วได้รับรายการของขวัญของหวังซีแล้วจึงตะลึงงัน ชี้คำว่า ‘หนังสือทั้งสี่หนึ่งชุด’ บนรายการของขวัญ เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า มิใช่ว่าเขียนผิดหรอกกระมัง นางส่งเจ้านี่มาให้ข้าทำไม
เฉินอวี้เองก็ไม่ทราบ ทว่าสารภาพเรื่องหวังสี่ออกมา กล่าวว่า คุณหนูหวังยังส่งพี่ชายร่วมน้ำนมของตัวเองมาสืบเรื่องความชอบของท่านกับข้าเป็นพิเศษด้วย คงมิใช่ว่าเข้าใจอะไรผิดไปหรอกกระมัง
เฉินลั่วร้อง อ้อ เสียงหนึ่ง ท่าทางค่อนข้างประหลาดใจ ถามว่า เจ้าตอบไปว่าอย่างไร
เวลานี้เขากำลังนอนคว่ำอยู่บนแหย่งหลัวฮั่นปูด้วยผ้าสีเขียวไผ่ในห้องหนังสือของศาลากวางร้อง สวมเพียงอาภรณ์ท่อนล่าง เผยให้เห็นเอวคอดหนั่นแน่นด้วยกล้ามเนื้อและหลังกว้างทว่าเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยน
เฉินอวี้ไม่กล้ามองตรงๆ เท่าไรนัก หลุบตาลงขณะกล่าว ข้าบอกว่าข้าไม่ทราบ หวังสี่ผู้นั้นก็ไม่ได้ต้อนถาม คิดว่าคงรู้กฎระเบียบดี คนอย่างพวกเรานี้ ความชอบของเจ้านายจะให้ผู้อื่นรู้อย่างง่ายดายได้ที่ไหนกัน หากมีคนทำของที่ชอบและวางยาพิษอะไรเอาไว้ เช่นนั้นจะทำอย่างไร!
เฉินลั่วหัวเราะฮ่า เล่นลูกแก้วที่ค่อนข้างเก่าแล้วในมือไปด้วย ถามว่า คนอย่างพวกเรานี้? เป็นคนเช่นไรหรือ
เฉินอวี้ไม่กล้าตอบ
เฉินลั่วยิ้มกล่าว หยิบหนังสือทั้งสี่นั่นมาให้ข้าหน่อย
เขาแปลกใจเล็กน้อย
ตระกูลหวังส่งยาสมุนไพรหรือไม่ก็ของกินของเล่นต่างๆ มาให้เขาพอจะเข้าใจได้ เหตุใดถึงส่งหนังสือมาให้เขาด้วย?
นี่พวกเขาจะให้เขาปรับปรุงตัวอย่างนั้นหรือ
มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเขาอาจกลายเป็นผู้สนับสนุนแหล่งทำเงินของตระกูลพวกเขา พวกเขาจะทำให้ผู้สนับสนุนขุ่นเคืองใจเช่นนี้หรือ
เฉินอวี้หมุนกายรีบไปหอบกล่องบรรจุหนังสือทั้งสี่นั่นเข้ามา อดโน้มน้าวเฉินลั่วอีกครั้งไม่ได้ว่า ได้ยินว่าตระกูลหวังเป็นพ่อค้ายาสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดของภาคตะวันตกเฉียงใต้ จวนชิงผิงโหวก็เคยซื้อยาสมุนไพรจากพวกเขามาก่อน ฝีมือทางการแพทย์ของท่านหมอเฝิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่านอยากลองยาบรรเทาอาการปวดและรอยฟกช้ำที่พวกเขาส่งมาสักหน่อยหรือไม่ คุณภาพน่าจะไม่ด้อยไปกว่าของที่วังหลวงส่งมา
เขาหวังให้เฉินลั่วหายดีโดยเร็ว
ฮ่องเต้ทรงตรัสแล้วว่าสาเหตุที่ให้เฉินลั่วดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองบัญชาการทหารส่วนกลางก็เพราะใต้เท้าอู๋สร้างผลงานดีเด่นในการรบกับชาวแคระ[1]ที่หมิ่นเจ้อ[2] ฮ่องเต้จะทรงส่งคนไปสร้างขวัญและกำลังใจเหล่าทหารในไม่ช้า เฉินลั่วในฐานะผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองบัญชาการทหารส่วนกลาง ก็ร่วมทางไปด้วยได้
ถึงเวลานั้นของขวัญแสดงความเคารพของแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพและสายตรวจเหล่านั้นย่อมไม่น้อย จะได้ถือเป็นการชดเชยให้กับบาดแผลที่ใต้เท้าของพวกเขาถูกเฆี่ยน
แต่ก่อนอื่นใต้เท้าของพวกเขาต้องหายดี ให้ทันเวลาที่ฮ่องเต้าจะส่งคนไปปลอบโยนเหล่าทหารให้ได้ก่อน
เฉินลั่วไม่ยี่หระ พยักหน้าให้อย่างส่งๆ เปิดกล่องออก
เป็น ‘ตำราการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่’ และ ‘ตำราว่าด้วยเรื่องทางสายกลาง’ จริงๆ ด้วย!
คงมิใช่ฉบับคัดลอกหนึ่งเดียวของราชวงศ์ก่อนหรอกกระมัง
หากเป็นฉบับคัดลอกหนึ่งเดียวของราชวงศ์ก่อน ก็ควรค่าพอให้ส่งมาให้จริงๆ!
เฉินลั่วครุ่นคิด ลองพลิกเปิดดู
ภาพของสตรีนางหนึ่งยืนอยู่บนตัวอาคารโยนปิ่นปักผมลงมาให้ชายหาบเร่ขายของที่ผ่านทางมายังซอยด้านล่างอย่างเบิกบานหมายถึงอะไร?
เฉินลั่วยกตัวขึ้น หมายจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าไปโดนรอยแผลจากแส้บนหลัง เจ็บจนเขาร้อง โอ๊ย ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วก็นอนคว่ำลงไปอย่างเชื่อฟังอีกครั้ง
เฉินลี่ทำบ้าอะไรของเขา! เขาพร่ำบ่น มิใช่ว่าเขามีประสบการณ์มามากหรอกหรือ เหตุใดบาดแผลคราวนี้ถึงเจ็บนัก
เฉินลี่เป็นผู้ติดตามคนสนิทผู้หนึ่งของบิดาของเขา แข็งแรงมีพละกำลัง เชี่ยวชาญการใช้แส้
บิดาของเขายกย่องเชิดชูสถานะของตัวเอง มิได้ลงมือด้วยตัวเองทุกครั้งไป
ครั้งนี้ บิดาของเขาให้เฉินลี่ใช้แส้เฆี่ยนเขา
บิดาของเขามีแผนการดี เขาก็มีบันไดปีนหนีเช่นกัน
ครั้งแรกที่เฉินลี่ลงมือเมื่อนานมาแล้วนั้นไม่กล้าใช้แรงมาก ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงบาดแผลนอกผิวหนังทั้งนั้น เขาจึงติดสินบนเฉินลี่
ครานี้หากมิใช่เพราะเขาหมดกำลังใจ ตัดสินใจขีดเส้นกับบิดาของเขาให้ชัดเจน เขาก็คงไม่มีเจตนาจะยั่วยุบิดาของเขา และทนทุกข์กับการถูกเฆี่ยนในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
บิดาของเขาไม่เพียงถูกฮ่องเต้ตำหนิ พี่สาวแสนดีของเขาท่านนั้นยังได้ชื่อว่าเป็นคนชั่วร้าย ที่สำคัญที่สุดคือฮ่องเต้ไม่สืบสวนเรื่องบางอย่างของเขาอีก สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว
กระนั้นก็ตาม ด้านเฉินเจวี๋ยนั้น เขาตั้งใจว่าจะมอบบทเรียนให้นางอีกสักหนึ่งบทเรียน
เขาอยากรู้ว่าบิดาผู้แสนดีของเขาจะเจ็บปวดใจด้วยเหตุนี้หรือไม่
และจะได้ไขข้อสงสัยในใจเขาที่มีมาตลอดหลายปีเสียที
นี่ก็นับได้ว่าเป็นการลองหยั่งเชิงดูสักครั้งกระมัง
เฉินลั่วพลิก ‘ตำราการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่’ เล่มนั้นอีกครั้ง
นอกจากภาพสตรีโยนปิ่นปักผมอย่างเบิกบานนั่นแล้ว ยังมีภาพสตรีเล่นหูเล่นตาอีกภาพหนึ่งด้วย
นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?
เฉินลั่วคิด ทว่ารู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่งอย่างอธิบายไม่ได้
โชคดีที่หนังสือภาพที่ส่งมาให้เขามิใช่ภาพการเสพสังวาส
หาไม่คงพิลึกพิลั่นแย่แล้ว!
นางคงมิได้เข้าใจว่ายามว่างเขาชอบอ่านเรื่องพวกนี้หรอกกระมัง
เขาได้ให้ภาพจำเช่นนี้กับนางตอนไหนกันถึงทำให้นางคิดว่าเขาเป็นคนเช่นนี้?
หัวคิ้วของเฉินลั่วผูกเป็นปมแน่น
เฉินอวี้รีบก้าวออกมา ยืนข้างๆ อย่างระมัดระวังด้วยท่าทางที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี กล่าวว่า ข้าไปเรียกหมอหลวงเฉินมาดูอาการให้อีกดีหรือไม่ หรือจะให้ทายาให้ท่านเพิ่มอีกสักหน่อยดีขอรับ
ไม่ต้องแล้ว! เฉินลั่วตอบส่งๆ ฮ่องเต้น่าจะทรงส่งคนไปเจ้อเจียงในสองวันนี้ หากข้าไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้น ผู้อื่นต้องคิดว่าข้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ กำลังเอาคืนพ่อของข้าอยู่ มิสู้ข้านอนเช่นนี้ไปอีกสักสองสามวันดีกว่า ให้ทุกคนได้รู้ว่าพ่อของข้าทำอะไรไปบ้าง
ทว่ากลับดึงกระดาษห่อปกสีฟ้าขาวของ ‘ตำราการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่’ เล่มนั้นออกด้วยสีหน้าจริงจังยิ่ง เผยหน้าปกหลากสีสันของ ‘คุณชายขายน้ำมัน’ ออกมาให้เห็น
เฉินลั่วหัวเราะฮ่า ไปสะกิดโดนแผลบนหลังอีกครั้ง ร้อง โอ๊ย ออกมาเสียงหนึ่ง
แม้นกล่าวว่าครั้งนี้กับครั้งก่อนก็สะกิดโดนบาดแผลเหมือนกัน แต่เฉินอวี้ที่มองเฉินลั่วอยู่ตลอด กลับพบว่ารอยยิ้มของเขาดูจริงใจและเบิกบานเหลือเกิน ดูมีความสุขยิ่งกว่าตอนที่ฮ่องเต้พระราชทานบำเหน็จให้เขาเสียอีก
น่าสนใจขนาดนั้นเชียวหรือ
เฉินอวี้ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เฉินลั่วสั่งการเขา ส่งหนังสือสองสามเล่มนั้นมาให้ข้า
เฉินอวี้ถึงได้ค้นพบว่าหนังสืออีกสองสามเล่มในกล่องนั่นวางอยู่บนแหย่งหลัวฮั่นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ได้
เขารีบค้อมเอวไปหยิบ
เฉินลั่วกลับบอกเขาประโยคหนึ่งว่า เจ้าจะหยิบก็แค่หยิบ อย่าดู!
หรือว่าในหนังสือนี้มีสิ่งลี้ลับอะไรซ่อนอยู่ด้วย?
เฉินอวี้คิด ทว่าก็ไม่ได้มองอีกอย่างสัตย์ซื่อภักดี
เฉินลั่วพลิกหนังสือเล่มอื่นๆ แล้วก็ยิ่งเบิกบานมากขึ้น โดยเฉพาะ ‘กำแพงแห่งรัก’ เล่มนั้น เป็นเรื่องราวของคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยผู้หนึ่งลักลอบพบกับบัณฑิตยากจนผู้หนึ่งที่กำแพงดอกไม้ ต่างแลกเปลี่ยนของมีค่าให้กัน
คุณหนูหวังคงมิได้กำลังบอกอะไรเขาหรอกกระมัง
เขาเอากล้องส่องทางไกลของนางมากระบอกหนึ่ง แต่นางมอบให้เขาโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายมิใช่หรือ
หากเขาช่วยพูดให้ตระกูลหวังของพวกเขาประโยคหนึ่งได้ ตระกูลหวังของพวกเขาจะทำเงินได้มากกว่าค่ากล้องส่องทางไกลหนึ่งกระบอกด้วยซ้ำ
นางไม่น่าจะตระหนี่ขนาดนี้หรอกกระมัง
แต่ก็พูดยากเหมือนกัน
มองจากท่าทางนั่นของนางแล้ว ก็มิใช่คนใจกว้างอะไร
ช่วยปั๋วหมิงเย่ว์ครั้งหนึ่ง ก็รีบขอค่าตอบแทนทันที ไม่แน่ว่านางอาจกำลังบอกความนัยอะไรกับเขาอยู่จริงๆ ก็เป็นได้
ถึงจะคิดเช่นนี้ เฉินลั่วกลับมิได้รู้สึกว่าถูกข่มขู่อย่างแรงกล้าแต่อย่างใด
บางทีอาจเป็นเพราะในสายตาของเขานั้นหวังซีดูอ่อนแอเกินไป ไร้พลังแห่งการทำลายล้าง และอาจเป็นเพราะหวังซีดูซื่อๆ ไร้เดียงสาเล็กน้อย แสดงความรู้สึกทุกอย่างบนใบหน้า คิดว่าตัวเองปกปิดเอาไว้อย่างดี ทว่าความเป็นจริงแค่มองครั้งเดียวคนก็มองทะลุปรุโปร่งแล้ว
เฉินลั่วฉีกกระดาษหน้าปกของหนังสือเล่มอื่นๆ ออกอย่างเบิกบาน อ่านมันด้วยดวงตายิ้มหยี
ล้วนเป็นหนังสือภาพเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิงอันไร้สาระทั้งสิ้น
ปกติคุณหนูหวังคงมิได้อ่านของพวกนี้หรอกกระมัง
ไม่แปลกที่นางมักจะคิดอะไรไร้สาระอย่างอิสรเสรีอยู่ทุกที่ทุกเวลา เรื่องเล่าประเภทนี้หากไม่ไร้เดียงสาสักหน่อย คงอ่านเข้าไปไม่ได้จริงๆ
เฉินลั่วโยนหนังสือทิ้งลงด้านข้างอย่างรังเกียจ กล่าวกับเฉินอวี้ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ ตลอดว่า ฝีมือในการวาดภาพนี้ด้อยไปสักหน่อย จึงลดความเจริญตาของหนังสือไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เฉินอวี้เหงื่อตก ไม่รู้ว่าเฉินลั่วกำลังกล่าวถึงอะไร
เฉินลั่วพลันรู้สึกเบื่อหน่าย ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า เจ้าสั่งการลงไป หากคุณหนูหวังมาเยี่ยม ไม่จำเป็นต้องขวาง ให้นางเข้ามาได้
เฉินอวี้ขาน ขอรับ ในใจกลับคล้ายภูเขาถล่มทะเลบ้าคลั่งก็ไม่ปาน คิดว่าดีร้ายคุณหนูหวังผู้นั้นก็มาจากตระกูลใหญ่ตระกูลโต ทั้งยังเป็นคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหว ชายหญิงไม่ชิดใกล้ ต่อให้มาเยี่ยมไข้ นางก็น่าจะส่งพ่อบ้านมากความสามารถข้างกายมาแทน นอกจากนี้ด้วยความแตกต่างระหว่างท่านกับตระกูลหวัง พ่อบ้านของตระกูลหวังมาที่จวน อย่างมากก็ได้แค่โขกศีรษะและคารวะท่านอยู่ด้านนอกครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะเข้ามาพบหน้าท่านในห้องด้วยซ้ำ แล้วคุณหนูหวังจะมาเยี่ยมไข้ด้วยเหตุอะไร
หรือใต้เท้าจะถูกท่านกั๋วกงโมโหจนเลอะเลือนไปแล้ว?
เขาครุ่นคิดพิจารณาอยู่ตรงนั้น หวังซีกลับกำลังรื้อบ้านอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหว
นางสวมชุดผ้าตาดสีม่วงขาวทอลายบุปผาลอยล่องในคลื่นน้ำ ยืนอยู่ในสวนหิมะงามอันว่างเปล่า ลูบเซียงเย่ในอ้อมแขนไปด้วย สั่งการคนข้างกายไปด้วยว่า ต้องทำให้เหมือนกับตอนที่ข้าย้ายเข้ามาถึงจะใช้ได้ รวมถึงดอกไม้หน้าบันไดสองต้นนี้ ย้ายไปที่สวนร่มหลิวให้ข้าด้วย
ไป๋ซู่เผยสีหน้ายุ่งยากออกมา กล่าวอย่างลังเลว่า แปลงดอกไม้ทางด้านโน้นได้เชิญคนปลูกดอกไม้ที่ทำงานให้สำนักกิจการการเกษตรมาจัดการให้ ดอกไม้สองต้นนี้ไม่ว่าจะวางตรงไหนก็ไม่ค่อยเหมาะสม…
หวังซีครุ่นคิด เห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ
นางกล่าว เช่นนั้นก็แยกมันออกเป็นสองกระถาง ครึ่งหนึ่งส่งไปให้คุณหนูสี่และคุณหนูพานที่สวนร่มวสันต์ อีกครึ่งหนึ่งส่งไปให้ศาลากวางร้องของจวนจ่างกงจู่ กล่าวถึงตรงนี้ นางนึกขึ้นมาได้ จึงกล่าวอีกว่า ข้าได้ซื้อสิบแปดบัณฑิตกับเข็มขัดทองส่งไปให้คุณชายรองเฉินหรือยัง
สิบแปดบัณฑิตเป็นดอกฉา[3]สายพันธุ์หนึ่ง ในหนึ่งดอกบานออกมาเป็นดอกหลายๆ ดอกได้ ส่วนเข็มขัดทองเป็นสายพันธุ์หนึ่งของดอกโบตั๋น เกสรของมันอยู่ตรงกลางคล้ายเอวของดอก ราวมีเข็มขัดทองคาดไว้ตรงเอวก็ไม่ปาน
หวังซีวางตัวเองในสถานะของผู้อื่นไปแล้ว รู้สึกว่าการที่เฉินลั่วพักฟื้นอยู่ที่บ้านต้องรู้สึกไม่ดีมากเป็นแน่ ส่งดอกไม้ไปสร้างความสำราญตาให้เขาเล็กน้อย ไม่แน่ว่าเขาอาจอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างก็เป็นได้
…………………………………………………………………..
[1] ชาวแคระ หมายถึงชาวญี่ปุ่น
[2] หมิ่นเจ้อ กล่าวถึงฝูเจี้ยนและเจ้อเจียง
[3] ดอกฉา ดอกคามิเลีย