เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 9 มองเห็นทะลุปรุโปร่ง
ก็แค่เลือกบีบลูกพลับผลที่นิ่มกว่า
หวังซีเบ้ปาก โยนเรื่องนี้ทิ้งไป เอ่ยถามอาหนานว่า “วันนี้มีอะไรกิน”
อาหนานไม่รู้จริงๆ หันไปมองไป๋ซู่อย่างขอความช่วยเหลือ
ไป๋ซู่กลั้นยิ้ม แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ก้มหน้าลง คัดพระธรรมต่อ
ชิงโฉวเลิกผ้าม่านเดินเข้ามาช่วยชีวิตอาหนานเอาไว้ กล่าวว่า “หลงจู๊ใหญ่ให้คนส่งปูทะเลมาให้หลายตัว แม่ครัวถามว่าท่านอยากกินโจ๊กปูทะเลหรือไม่”
ปูทะเลนั้นเลี้ยงไม่ง่ายเลย หวังซีชอบกินอาหารทะเลสดใหม่
“เช่นนั้นมื้อเย็นวันนี้กินโจ๊กก็แล้วกัน!” นางกล่าวอย่างดีใจ “นำหัวผักจ้าไช่[1]ที่พวกเราเอามาจากสู่จงออกมาหนึ่งหัว ซอยเป็นเส้นเล็กๆ ต้มรวมกับปูทะเล” ขณะกล่าว นางนึกถึงรสชาติอร่อยของอาหารทะเลสดๆ และความกรุบกรอบของหัวผักจ้าไช่ น้ำลายเกือบจะไหลออกมาแล้ว
ชิงโฉวฉงนเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “วันนี้ท่านไม่ไปรับมื้อเย็นที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ”
ตอนมาถึงจวนโหวใหม่ๆ หวังซีเฝ้ารอคอยให้ได้ไปรับประทานอาหารเย็นกับฮูหยินผู้เฒ่าทุกวัน แต่หลังจากผ่านมื้อเย็นมาหลายมื้อ ค้นพบว่ารายการอาหารของฮูหยินผู้เฒ่าก็อย่างนั้นๆ บางครั้งทั้งโต๊ะแทบจะไม่มีกับข้าวที่นางชอบกินเลย นางจึงเริ่มรองท้องด้วยของว่างก่อนไปรับประทานอาหารเย็นที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าอยู่เนืองๆ
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหวังซีเพียงอยากรองท้องก่อนสักหน่อยเสียอีก
หวังซีจึงชี้ไปยังทิศทางของสวนซิ่ง กล่าวว่า “มิใช่ว่าทางนั้นเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหรอกหรือ เย็นวันนี้กับเช้าวันพรุ่งนี้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องไม่มีเวลามาสนใจพวกเราอย่างแน่นอน” จากนั้นนัยน์ตาทั้งสองของนางเป็นประกาย กล่าวอย่างลิงโลดว่า “พรุ่งนี้เช้าไม่ต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า เช่นนั้นพวกเราก็จะได้ไปดูคนข้างบ้านรำกระบี่ที่ห้องอุ่นแล้วใช่หรือไม่ เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”
นางให้อาหนานไปเรียกหงโฉว บอกว่าต้องการหารือกับหงโฉวเรื่องพรุ่งนี้เช้าว่าควรทำอย่างไร
ชิงโฉวไม่ค่อยมั่นใจนักว่าสิ่งที่หวังซีคาดเดานั้นจะถูกต้องแม่นยำหรือไม่ ไป๋ซู่พูดกับนางยิ้มๆ ว่า “เจ้าทำตามที่คุณหนูใหญ่บอกเถิดไม่มีผิดพลาดแน่นอน เรื่องพวกนี้คุณหนูใหญ่คาดการณ์ได้แม่นยำนัก”
หวังซีอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก จึงมีอารมณ์ชี้แนะชิงโฉวสองสามประโยคว่า “เรื่องของสวนซิ่งนั้นมิใช่แค่การขยับขยายบ้านหลังหนึ่งอย่างง่ายๆ เท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างแน่นอน เย็นนี้ต้องหารือกับคนอื่นๆ ว่าควรทำอย่างไรกันดี พรุ่งนี้เช้าต้องจัดการให้เรื่องนี้สงบลง ที่ข้าบอกว่าเย็นนี้และพรุ่งนี้เช้าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่มีเวลาว่างนั้น หมายความว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องมีความสามารถในการแก้ปัญหาเทียบเท่าท่านย่าของข้าด้วย ถ้าด้อยกว่า คงจัดการให้แล้วเสร็จในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเย็นนี้และพรุ่งนี้เช้า ในสองถึงสามวันนี้พวกเราล้วนมีเวลาว่าง”
และเรื่องนี้ก็เป็นอย่างที่หวังซีกล่าวเอาไว้จริงๆ
พลบค่ำ มีคนจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ามาแจ้งว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยสบาย ให้หวังซีรับประทานอาหารเย็นที่เรือนของตัวเอง ยังให้นางงดเว้นการคารวะเช้าของพรุ่งนี้ด้วย
แน่นอนว่าหวังซีแสดงอาการตกใจออกมาคำรบหนึ่ง ให้ไป๋กั่วนำโสมภูเขาอายุยี่สิบปีสองต้นตามสาวใช้ผู้นั้นไปเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่าด้วย ส่วนนางและหงโฉวนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นตรงลานบ้านหลักพูดคุยเรื่องของคนรำกระบี่ข้างบ้าน
“ยามซื่อชู[2]มีบ่าวชายเด็กสวมชุดดำสองคนมากวาดลานบ้าน” หงโฉวกล่าว “หลังจากนั้นก็ไม่เห็นผู้ใดอีกเลยเจ้าค่ะ”
หวังซีพึมพำ “หรือว่าเขาจะมิได้พักอยู่ที่นั่น? แค่เห็นว่าที่นั่นเปลี่ยวดีก็เลยไปฝึกกระบี่ที่นั่นทุกเช้าก็เท่านั้น”
นางพลิกดูแผนผังของจวนจ่างกงจู่อยู่ในห้องหนังสือกับหงโฉว ชี้พื้นที่สีเขียวผืนใหญ่ตรงกลางพลางกล่าวกับหงโฉวว่า “เจ้าดู นี่เป็นบ้านห้าทางเข้า[3]หลังหนึ่ง กลางลานบ้านทุกลานปลูกพืชสีเขียวผืนใหญ่เอาไว้ ยังดึงน้ำจากทะเลสาบเป๋ยไห่มาสร้างเป็นลำธารสายหนึ่งอยู่ข้างๆ ด้วย บริเวณกว้างขวางยิ่ง มีต้นไม้ดอกไม้มากกว่าลานบ้านหลักของจ่างกงจู่เสียอีก กระนั้นก็ตาม มันน่าจะตั้งอยู่ในเขตตัวเรือนแถวตะวันตกของจวนจ่างกงจู่กระมัง สิ่งมงคลพัดมาจากตะวันออก ทิศตะวันออกจึงสำคัญ แต่บ้านในเขตตัวเรือนแถวตะวันออกของจวนจ่างกงจู่กลับไม่ใหญ่โต ใหญ่สุดก็แค่สามทางเข้าเท่านั้น หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างจ่างกงจู่กับเจิ้นกั๋วกงจะธรรมดาสามัญยิ่ง?”
หวังซีลูบคาง
นึกถึงปีนั้น หลังจากที่มารดาของนางให้กำเนิดพี่ชายรองแล้ว เบื้องหน้าทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันพี่ชายใหญ่ของนางต้องได้เป็นทายาทสืบสกุลคนต่อไป แต่ลับหลังนั้น ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรต้องการยั่วยุให้มารดาและบิดาของนางทะเลาะกัน เพื่อรอฉกฉวยผลประโยชน์อยู่ตรงกลาง
เพียงแต่ว่าอาหญิงสี่ของนางกินมูมมามจนน่าเกลียดเกินไป แม้แต่นางยังดูออกก็เท่านั้น
นับประสาอะไรกับคนเช่นจ่างกงจู่และเจิ้นกั๋วกง ล้วนเป็นการแต่งงานครั้งใหม่ของทั้งสองคน บุตรชายของเจ้า บุตรชายของข้า ผู้ใดจะรู้ว่าจ่างกงจู่คิดอะไรอยู่ในใจและเจิ้นกั๋วกงคิดอะไรอยู่ในใจ
นางทิ้งแผนผังในมือลง ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
หงโฉวพูดเสียงอ่อยว่า “หรือว่า พรุ่งนี้พวกเราไปดูที่สวนร่มหลิวดีหรือไม่เจ้าคะ”
ไปสวนร่มหลิว? มิเท่ากับว่าปกปิดร่องรอยไม่ได้แล้วหรอกหรือ
แต่ก็ไม่เชิงว่าจะทำไม่ได้
หากพรุ่งนี้ยังจัดการเรื่องของสวนซิ่งไม่ได้ เกรงว่าอีกสี่ถึงห้าวันก็ยังจัดการไม่แล้วเสร็จ คนจวนโหวย่อมไม่มีเวลามาสนใจนาง นางจะได้ฉวยโอกาสนี้ทำธุระของตัวเอง
“เช่นนั้นก็เอาตามนี้” หวังซีตัดสินใจ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นลุกจากเตียงโดยที่ไป๋กั่วไม่ต้องออกแรงฉุดดึง ยังกล่าวเร่งไป๋กั่วด้วยว่า “อาหารเช้าเสร็จหรือยัง พวกเรารีบไปจะได้รีบกลับ”
ไป๋กั่วร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก ลอบกล่าวกับหวังหมัวมัวเป็นการส่วนตัวว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุ้นชินแล้วหรือเป็นเพราะวันนี้มีเรื่องให้ทำกันแน่”
หวังหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าลืมตอนที่คุณหนูใหญ่ต้องไปวัดเป็นเพื่อนนายหญิงผู้เฒ่าก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือ”
ไม่ว่าจะมีพายุเข้าหรือฝนตก ไม่ต้องให้ใครไปปลุกก็ตื่นขึ้นมาเองได้
ทั้งสองคนสบตากันหัวเราะออกมา
หวังหมัวมัวกล่าว “ช่วงนี้คุณหนูใหญ่ถูกกักขังมามากแล้ว หากมิใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร พวกเราก็ทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งไปก็แล้วกัน”
ไป๋กั่วพยักหน้ายิ้มๆ
กระทั่งหวังซีรับมื้อเช้าเสร็จ ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ไปสวนร่มหลิวเป็นเพื่อนนาง
เพราะปลูกต้นหลิวห้อยระย้าเอาไว้เป็นจำนวนมากจึงได้ชื่อว่าสวนร่มหลิว ภายในสวนไม่ได้มีวิวทิวทัศน์งดงามอะไร มีศาลาตรงทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพียงหนึ่งหลังเท่านั้น
ชิงโฉวไปหาบันไดยาวมาจากไหนไม่รู้สองอันพาดบนกำแพง ยังกระซิบข้างหูหวังซีด้วยว่า “ท่านดู อยู่ใต้ต้นหลิวสองต้นนั้นพอดี เมื่อยืนบนบันได มีพุ่มหลิวบังเอาไว้ คนภายนอกมองไม่เห็นอย่างแน่นอนว่าตรงกำแพงมีคนยืนอยู่สองคน”
เพียงแต่ว่าหญ้าบนพื้นรกมากเกินไป พอถึงฤดูร้อน ยุงก็ชุกชุมมากไปด้วย
หวังซีไม่พึงใจต่อบรรยากาศเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง
นางปล่อยให้ชิงโฉวประคองปีนขึ้นบันไดไปด้วย พูดกับชิงโฉวไปด้วยว่า “ถ้าหากเป็นต้นตั๊กแตนก็คงดี กิ่งต้นหลิวหักง่าย”
และค่อนข้างไกลจากสวนหิมะงามด้วย
หวังซีปีนขึ้นไปพ้นปลายกำแพง ยกกล้องส่องทางไกลขึ้น
อา!
ในที่สุดนางก็ได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดๆ แล้ว
คิ้วกระบี่จมูกสูงโด่ง ดวงตานกเฟิ่ง[4]ริมฝีปากบาง
เป็นรูปหน้าที่บุรุษรูปงามพึงมีกัน
แต่พอวางประดับอยู่บนดวงหน้าของคนผู้นี้กลับงดงามมากเป็นพิเศษ
เรียวคิ้วคล้ายจะคมชัดกว่าของผู้อื่น สันจมูกสูงทั้งตั้งตรงทั้งโด่ง ดวงตานกเฟิ่งโค้งเป็นรูปสวย มุมปากบางทำให้เขาดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วนทว่าก็ไม่ได้ดูเหี้ยมโหด
นอกจากนี้เขายังมีกิริยาท่าทางดูองอาจกล้าหาญ
หล่อเหลาจนบีบคั้นคนให้อึดอัด
หวังซีไม่อยากดูเขารำกระบี่แล้ว
กล้องส่องทางไกลในมือนางขยับตามการเยื้องย่างไปรอบๆ ของเขาไม่หยุด
มีบุรุษหน้าตาเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็หล่อเหลาไปหมด
ทุกครั้งที่เขาหันหน้ามา ล้วนเสมือนกับว่ามีค้อนหนักหนึ่งอันทุบลงบนหน้าอกของนางหนึ่งครั้ง ทำให้นางหายใจไม่ออกไปครู่ใหญ่ กระทั่งนางหายใจได้แล้ว หัวใจก็เต้นตึกตักๆ นางจะระงับก็ระงับไว้ไม่อยู่
หวังซียืดลำตัวช่วงบนออกไปนอกกำแพงอย่างอดไม่ได้
หงโฉวที่ปีนขึ้นมาบนกำแพงเป็นเพื่อนนางตกใจเป็นอย่างมาก
จวนหย่งเฉิงโหวและจวนจ่างกงจู่ห่างกันเพียงกำแพงกั้น แม้แต่ซอยกันไฟสักเส้นยังไม่มี นี่ถ้าหากตกลงไป ก็เท่ากับตกลงไปในคฤหาสน์ของผู้อื่นแล้ว
ถ้าถูกผู้อื่นพบเห็นต้องแย่แน่ๆ!
นางรีบเรียกเบาๆ เสียงหนึ่งว่า “คุณหนูใหญ่” ดึงเอวของหวังซีเอาไว้
ภายในลำกล้องกลมของกล้องส่องทางไกลนั้น ราวกับว่าคนรำกระบี่ได้ยินอะไรบางอย่าง ฉับพลันนั้นหันกลับมาอย่างกะทันหัน สายตาคมประหนึ่งลูกธนูยิงมาทางคนที่มองเขา
หวังซีตกใจ ขยับถอยหลังไปเองอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ แต่ลืมไปว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนบันได ตัวคนกำลังจะร่วงหล่นลงไปจากกลางอากาศ
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ กรีดร้องด้วยความตกใจ
ชิงโฉวสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว อุ้มหวังซีเอาไว้
หงโฉวยิ่งแล้วใหญ่ไม่รู้ว่าไปห้อยโหนอยู่บนต้นหลิวตั้งแต่เมื่อไร มือทั้งคู่คว้าจับแขนของหวังซีเอาไว้แน่น
“อมิตาภพุทธ!” ไป๋กั่วตบหน้าอก รู้สึกแข้งขาอ่อนไปหมด
มีเพียงหวังซี ยังหัวเราะร่าออกมาอย่างไม่หวาดกลัวสักนิดพลางกล่าว “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มีหงโฉวและชิงโฉวอยู่กับข้าด้วยนี่นา!”
สกุลหวังเป็นผู้ค้าใบชาและค้าเกลือที่ใหญ่ที่สุดของภาคตะวันตกเฉียงใต้ หากขบวนม้าค้าขายสินค้าต้องการค้าใบชาและค้าเกลือ ก็ต้องติดต่อสกุลหวัง
เมื่อก่อน หัวหน้าเผ่าบางส่วนของอวิ๋นกุ้ย[5]ยังเคยผูกสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานกับสกุลหวังด้วยเหตุผลนี้มาก่อน กระทั่งท่านปู่ทวดของหวังซีขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล สกุลหวังเริ่มเกี่ยวดองกับตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลและร่ำรวยของภาคตะวันตกเฉียงใต้ ประกอบกับมีการตั้งกฎมาควบคุมบุรุษในตระกูล หากมิใช่เพราะอายุสี่สิบแล้วไม่มีบุตรชายไม่อนุญาตให้รับอนุภรรยา การเกี่ยวดองระหว่างหัวหน้าเผ่าของอวิ๋นกุ้ยและสกุลหวังถึงได้ค่อยๆ ลดน้อยลง เปลี่ยนเป็นส่งสตรีฝีมือดีเข้ามาเป็นองครักษ์หญิงในเรือนชั้นในของสกุลหวังแทน
หงโฉวและชิงโฉวสองพี่น้องก็เป็นบ่าวที่หัวหน้าเผ่าสุ่ยซีส่งมาให้สกุลหวัง
ท่านย่าของหวังซีคัดเลือกมาปรนนิบัติรับใช้หวังซี
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่สกุลหวังไม่ได้ส่งองครักษ์ตามนางเข้าเมืองหลวงมาด้วยมากกว่านี้
ถึงกระนั้น ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ยังตกใจกลัวไม่น้อย
เพื่อปลอบประโลมพวกนางแล้ว หวังซีกระโดดขึ้นลงอยู่ตรงนั้นสองสามครั้ง ยื่นแขนออกไปให้พวกนางสำรวจ “ข้าไม่เป็นไร หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ประเดี๋ยวให้หวังหมัวมัวดูให้ข้าก็แล้วกัน”
หวังหมัวมัวพอจะรู้เรื่องยาอย่างง่ายๆ อยู่บ้าง
“ต้องเชิญท่านหมอมาตรวจดูสักคนดีกว่า” ไป๋กั่วจับแขนของหวังซีเอาไว้ ถามนางอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “ไม่เจ็บจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ไม่เจ็บจริงๆ!” หวังซีม้วนแขนเสื้อขึ้น กล่าวว่า “ไม่เชื่อพวกเจ้าดู!”
บนแขนขาวเนียนละเอียดดุจหิมะมีรอยแดงสดใหม่ปื้นหนึ่ง
ทุกคนนิ่งเงียบ
หวังซีเอ่ยขึ้นอย่างเก้อกระดากว่า “น่าจะเป็นเมื่อครู่ที่ไม่ได้ระวัง”
คราวนี้ไป๋กั่วไม่ยอมให้นางเอาแต่ใจอีกแล้ว กล่าวกับหวังซีเสียงอบอุ่นอ่อนโยนแต่ก็ไม่พร่องความเด็ดขาดว่า “พวกเรากลับเรือนกันก่อน! คนรำกระบี่คงไม่หนีหายไปไหนในระยะเวลาอันสั้น ถ้าหากไม่เจอจริงๆ ข้าจะไปบอกนายท่านใหญ่ ให้หาคนที่รำกระบี่ได้เยี่ยมยอดยิ่งกว่าคนข้างบ้านผู้นั้นมาให้ท่านสักคนหนึ่ง”
แต่นักรำกระบี่จะหล่อเหลาสู้คนข้างบ้านได้หรือไม่
หวังซีมองหงโฉวที่น้ำตานองเต็มเบ้าตาทั้งสองข้างเพราะกล่าวโทษตัวเอง และชิงโฉวที่ตกใจจนดวงหน้าซีดเผือด แม้แต่ถ้อยคำยังเปล่งออกมาไม่ได้ นางจึงไม่อาจเอ่ยถามอะไรอีก มองข้างบ้านด้วยความอาลัยครั้งหนึ่ง ปล่อยให้ไป๋กั่วและคนอื่นๆ เดินห้อมล้อมพากลับไปที่สวนหิมะงามอย่างไม่เต็มใจ
หวังหมัวมัวได้ยินข่าวแล้วแทบลมจับ ให้คนไปเชิญท่านหมอก่อนเป็นอันดับแรกแล้วถึงเริ่มตรวจดูบาดแผลของหวังซี
หวังซีอยู่ในภวังค์ความคิด
ไม่รู้ว่าประเดี๋ยวหวังหมัวมัวตรวจนางเสร็จแล้ว นางยังจะได้ไปดูคนผู้นั้นรำกระบี่ต่อหรือไม่
แต่กว่าท่านหมอจะมาถึง เกรงว่าก็ล่วงเลยยามเฉิน[6]ไปแล้ว
ตอนนั้นนางไม่น่าใจอ่อนกลับมากับพวกไป๋กั่วเลย นางรออยู่ในศาลาของที่นั่นก็ได้ ก่อนท่านหมอจะมาถึงจะได้ดูคนผู้นั้นรำกระบี่ต่อ
สวนร่มหลิวนั่นก็ด้วย ที่นั่นรกรุงรังไร้ระเบียบ มิใช่สถานที่ที่ควรอยู่นาน ถ้าหากอยากดูคนผู้นั้นรำกระบี่ต่อไป ต้องซ่อมแซมศาลาหลังนั้นด้วยถึงจะดี
จะให้ดีที่สุดควรเหมือนกับสวนหิมะงาม ก่อภูเขาจำลองหนึ่งลูก สร้างศาลาหนึ่งหลัง ดึงน้ำมาสร้างลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง สร้างสะพานเล็กๆ ด้วยหนึ่งสะพานและอื่นๆ ไว้ภายในสวนแห่งนั้น
แต่สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือ ต้องสืบให้แน่ชัดว่าพรุ่งนี้คนผู้นั้นยังจะไปรำกระบี่ที่นั่นอีกหรือไม่ ตกลงแล้วมาเวลาใดและจากไปเวลาใด เป็นใครในจวนจ่างกงจู่ จะเอาเขามาอยู่ที่บ้านนางได้หรือไม่…
หวังซีขบคิด ค้นพบว่าตัวเองไม่รู้เรื่องของคนรำกระบี่ผู้นั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ผ่านมานางเอาแต่สนใจเรื่องไม่สลักสำคัญเหล่านั้นของจวนโหว
นี่เป็นการจัดลำดับความสำคัญผิดจุดเสียจริงๆ!
………………………………………………………………………
[1] หัวผักจ้าไช่ พืชกินหัวชนิดหนึ่ง หรือที่เรียกว่า mustard tuber
[2] ยามซื่อชู 09.00 นาฬิกา
[3] บ้านห้าทางเข้า เรือนสี่ประสานห้าทางเข้ามีลานบ้านห้าลาน
[4] นกเฟิ่ง นกฟีนิกซ์
[5] อวิ๋นกุ้ย อวิ๋นหนานและกุ้ยโจว
[6] ยามเฉิน 07.00-09.00 นาฬิกา