เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 90 พัวพัน
หวังซีอยากปฏิเสธโดยสัญชาตญาณ รู้สึกว่าหากพี่ชายใหญ่ของนางมา จะเหลือเรื่องอะไรให้นางทำได้อีก!
ส่วนเรื่องที่ถ้าไม่มีอะไรให้นางทำแล้ว เหตุใดนางถึงไม่รู้สึกโล่งเหมือนได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไปเหมือนเมื่อก่อน ตรงกันข้ามกลับรู้สึกไม่ค่อยดีใจแทนนั้น นางไม่ได้ขบคิดละเอียด แล้วก็ไม่มีเวลาไปขบคิดด้วย
นางกำลังคิดว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรทำให้เฉินลั่วรู้ว่ายากแล้วยอมล่าถอยไปเองอย่างอ้อมๆ และไม่เสียมารยาทดี!
โชคดีที่นางเป็นคนเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด พอสมองขบคิดก็คิดเหตุผลได้ในทันที
นางกล่าว เกรงว่าคงยากเล็กน้อย พี่ชายใหญ่ของข้าเพิ่งเดินทางออกจากจิงเฉิงไปที่ร้านค้าทางใต้ เกรงว่าเวลานี้ยังอยู่ระหว่างทาง ต่อให้ย้อนกลับมากลางทาง ก็ต้องใช้เวลาแรมเดือน กลัวแต่ว่าเจ้าจะรอไม่ได้
เฉินลั่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาค่อนข้างรอไม่ได้จริงๆ
แต่เวลานี้ราวกับว่านอกจากตระกูลหวัง เขาก็หาพันธมิตรที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เขาตัดสินใจรอดูสักหน่อย
หวังซีกลับเสนอความคิดให้เขา เจ้าลองพูดออกมาแล้วพวกเราลองช่วยกันหาทางดูดีหรือไม่ เจ้าหาพี่ชายใหญ่ของข้าย่อมเป็นเพราะมีเรื่องอยากให้เขาช่วยเหลือ เรื่องใหญ่ข้าอาจช่วยไม่ได้ แต่เรื่องเล็กข้าอาจช่วยได้ก็เป็นได้
เฉินลั่วนึกถึงเมื่อครู่ที่ประโยคเดียวของนางก็ทำให้เขาคิดทางออกให้กับสถานการณ์อันยากลำบากของเขาในปัจจุบันได้ ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างสุขุมว่า จะว่าไปแล้วก็มิใช่เรื่องใหญ่พิเศษอะไร คุณหนูใหญ่เองก็น่าจะแก้ปัญหาให้ได้ ข้าเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของคุณหนูใหญ่เป็นเสือหมอบมังกรเร้นกาย จึงอยากขอยืมคนจากตระกูลหวังมาใช้งานสักสองสามคน
สาวใช้ข้างกายของนางหรือ
หากพูดว่ามีอะไรต่างจากผู้อื่น ก็คงเป็นหงโฉวกับชิงโฉวแล้ว
เขารู้ได้อย่างไร
หวังซีประหม่าเล็กน้อย ไม่กล้าถามมาก กล่าวยิ้มๆ ว่า ถ้าหากเป็นเพียงเรื่องเช่นนี้ โชคดีที่เจ้าบอกข้า สาวใช้ของที่บ้านพวกข้านั้น อายุครบยี่สิบปีก็ปล่อยให้แต่งงานออกไปได้แล้ว ภรรยาของหลงจู๊ใหญ่ของพวกข้า ก็เคยปรนนิบัติรับใช้มารดาแท้ๆ ของพี่ชายใหญ่ของข้ามาก่อน ส่วนคนอื่นๆ ไปที่ไหนกันแล้วนั้น ก่อนหน้านี้ข้ามิได้สนใจ ก็เลยไม่รู้ แต่ช่วยสอบถามภรรยาของหลงจู๊ใหญ่ให้เจ้าได้
เฉินลั่วมองหวังซีอีกครั้ง รู้สึกว่านางเหมือนกุมารีที่นั่งอยู่ข้างองค์พระโพธิสัตว์ ทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงทองอร่าม
เขาอดก้มลงมายิ้มไม่ได้ กล่าวว่า เช่นนั้นเรื่องนี้คงต้องรบกวนคุณหนูใหญ่แล้ว
จากนั้นเขานึกถึงนิสัยของหวังซีขึ้นมา คิดว่าในเมื่อตนกับหวังซีร่วมมือกันแล้ว บางเรื่องก็เหมือนกับที่หวังซีเคยบอกเขาเป็นนัยก่อนหน้านี้ ไม่อาจปิดบังผู้อื่นว่าเขามีเป้าหมายอะไร
เขากล่าว ข้าอยากเร่งให้บิดาของข้าแต่งตั้งซื่อจื่อ
แต่เรื่องประเภทนี้ต้องเริ่มจากเรือนชั้นในกระมัง
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไปขอร้องฮ่องเต้แทนมิใช่มาขอสตรีเป็นวรยุทธ์จากข้างกายนางเช่นนี้
หวังซีสงสัยว่าเขาต้องการขโมยของอะไรจากเรือนชั้นในหรือเปล่า
นางถาม แล้วเจ้าต้องการสตรีเป็นวรยุทธ์ไปทำอะไร
เฉินลั่วบอกนาง ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่ข้าคอยดูฮ่องเต้ ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจบิดาของข้า ข้าคิดอยู่เสมอว่าที่บิดาของข้าไม่ยอมขอการแต่งตั้งซื่อจื่อเสียที เป็นเพราะกลัวว่าถ้าเขาขอแต่งตั้งเฉินอิงจะถูกฮ่องเต้ปฏิเสธกลับมา แต่หากขอแต่งตั้งข้าก็จะทำให้การเคารพนับถือบุตรชายคนโตของภรรยาเอกยุ่งเหยิง ตอนนี้ดูแล้ว เกรงว่าอาจมิใช่เช่นนี้ ข้าอยากส่งคนเข้าไปสอดแนมอยู่ข้างกายบิดาข้าสักสองสามคน ไม่จำเป็นต้องอยู่นาน อย่างมากหนึ่งถึงสองปีก็พอ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างหน้าตางดงามด้วย หน้าตาธรรมดาสามัญเป็นดีที่สุด
หวังซีนึกถึงธูปหอมที่เฉินลั่วกำลังตรวจสอบขึ้นมา นางถาม เจ้าสงสัยว่าข้างกายบิดาเจ้ามีใครซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ
เฉินลั่วหัวเราะดังลั่นขึ้นมา สายตาที่มองหวังซีเหมือนกำลังมองเด็กที่ยังไม่โตก็ไม่ปาน กล่าวว่า เรื่องของครอบครัวข้าเทียบกับของราชวงศ์ได้ด้วยหรือ ต่อให้บิดาของข้ามี บุตรที่คลอดออกมาก็เป็นลูกอนุ ไม่อาจสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้ หรือต่อให้ข้ากับเฉินอิงล้วนเสียชีวิตกันหมด ฮ่องเต้ก็อาจใช้เรื่องไร้บุตรจากภรรยาเอกเป็นข้ออ้างในการยึดบรรดาศักดิ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงกลับไปก็เป็นได้ อย่างไรเสียจวนเจิ้นกั๋วกงที่เคยมีสิบตระกูลตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมา ตอนนี้ก็เหลือเพียงสามตระกูลแล้ว หายไปอีกสักตระกูล ข้าคิดว่าฮ่องเต้ต้องดีพระทัยมากแน่นอน
หวังซีหน้าร้อน
ณ ตอนนั้นนางไม่ได้คิดมากขนาดนี้
ไม่มีทายาทชาย ต่อให้มีทายาทชาย ก็ไม่อาจเป็นทายาทชายที่มีเกียรติได้ เฉินลั่วกล่าวต่อ จะเป็นข้าก็ดี หรือเฉินอิงก็ดี ล้วนไม่ควรค่าพอให้ต้องกังวล ข้าอยากเตรียมคนไว้ที่เรือนชั้นในสักสองสามคน และต้องเป็นคนมีวรยุทธ์ด้วย คิดว่าหากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ จะได้โจมตีพวกเขาตอนไม่ระวังตัวได้ ให้ข้าได้ฉวยโอกาสลงมือก่อนสักครั้งหนึ่ง
หวังซีมองไม่ออกว่าในน้ำเต้าเขาขายยาอะไร แต่รู้สึกได้รางๆ ว่าการเตรียมการเช่นนี้แยบยลไม่ต่างกับบ้านที่สะพานศิลาขาว นางอดกล่าวไม่ได้ว่า เหมือนบ้านหลังนี้ใช่หรือไม่
ปิดบังจากคนฉลาดไม่ได้จริงๆ
เฉินลั่วไม่ปฏิเสธ ตอบ ใช่!
ส่วนรายละเอียดว่าเพราะเหตุใดนั้นเฉินลั่วไม่พูด ชั่วขณะนั้นหวังซีเองก็คิดไม่ตก ได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจชั่วคราวก่อน ค่อยคุยกันภายหลัง
นางกล่าว นอกเหนือจากนี้ เจ้ายังมีอะไรจะสั่งการอีกหรือไม่
ตอนนี้มีเพียงสองเรื่องนี้เท่านั้น! เรื่องที่หนึ่งคือขอท่านหมอเฝิงช่วยแนะนำหมอที่ยอมเข้าวังและถวายการรักษาให้ฮ่องเต้ได้มาให้สักคนหนึ่ง อีกเรื่องคือช่วยหาสตรีเป็นวรยุทธ์มาให้ข้าสักสองคน หน้าตายิ่งธรรมดาสามัญยิ่งดี เฉินลั่วกล่าว ดวงหน้าเผยแววลังเลออกมาให้เห็นหลายส่วน
หวังซีรู้ว่าเขานึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้อีกแล้ว
คิดว่าในหนึ่งร้อยก้าวตนเดินมาได้เก้าสิบเก้าก้าวแล้ว ขาดอีกแค่หนึ่งก้าวเท่านั้น จึงเอ่ยถามไปว่า ใต้เท้าเฉินยังมีอะไรต้องการพูดอีกหรือไม่ ข้าจะพยายามหาวิธีช่วยท่านให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน
เฉินลั่วลังเลอยู่นาน ถึงได้กล่าวขึ้นว่า คุณหนูหวัง อีกไม่กี่วันเจ้าจะจัดงานเลี้ยงย้ายบ้านมิใช่หรือ ช่วยเชิญคุณหนูหกของจวนชิ่งอวิ๋นโหว คุณหนูลู่และคนอื่นๆ มาด้วยได้หรือไม่ ไปมาหาสู่กับพวกนางให้มาก ช่วยข้าหยั่งเชิงดูเรื่องงานแต่งของพวกนางสักหน่อยว่ามีข่าวลืออะไรบ้าง
หวังซีอ้าปากค้าง
เฉินลั่วเองก็อายุไม่น้อยแล้วเช่นกัน
หรือเขาถูกใจผู้ใดเข้าแล้ว?
แต่การสร้างพันธมิตรจากการแต่งงานประเภทนี้ เป็นเรื่องที่พึ่งพาไม่ได้เป็นที่สุด หากหาได้ถูกคน ย่อมเป็นการร่วมมือของตระกูลใหญ่ยักษ์สองตระกูล ผลลัพธ์ย่อมดีเป็นทวีคูณ แต่ถ้าหาได้ไม่ถูกคน จัดการไม่ดีขึ้นมาเรื่องส่วนตัวของบุตรชายหญิงอาจทำลายตระกูลให้ย่อยยับได้
เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
หวังซีอยากเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเฉินลั่วสักหน่อย แต่ถ้อยคำมารออยู่ที่ปากแล้ว ทว่าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ดูไม่ค่อยถูกต้องอยู่ดี
เฉินลั่วกระดากอายเล็กน้อย แล้วก็ไม่กล้ามองหวังซีด้วย ก็เลยยิ่งไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหวังซี แต่กล่าวขึ้นด้วยใบหูแดงก่ำทั้งสองข้างว่า เฉินอิงยังคงครองตัวโสดเรื่อยมา คนข้างนอกล้วนพูดกันว่าเป็นเพราะมารดาของข้าไม่สนใจเขา แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะตอนที่มารดาของข้าแต่งเข้ามานั้น บิดาของข้าเคยสร้างข้อตกลงกับนางเอาไว้แล้วว่าเรื่องงานแต่งของเฉินอิง ให้บิดาของข้าเป็นคนจัดการ มารดาของข้าจึงไม่อาจเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องของผู้อื่นได้ หากรู้ว่าบิดาของข้าคิดจะหาประโยชน์จากตระกูลใด ข้าจะได้ดำเนินการถูก
หวังซีอ้าปาก แต่คิดว่าเนื่องจากคนทั้งสองเป็นบิดามารดาของเฉินลั่ว สุดท้ายนางก็เลยไม่กล่าวอะไร
สามีภรรยาใหม่ ยังไม่ทันได้เริ่มชีวิตด้วยกัน ก็ตั้งท่าระแวดระวังว่ามารดาเลี้ยงจะกีดกันบุตรชายของภรรยาคนแรกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสตรีที่บ้านเดิมมีอำนาจแข็งแกร่งและมีตัวเลือกมากมายอย่างจ่างกงจู่ แม้แต่สตรีจากครอบครัวคนธรรมดาสามัญ เกรงว่าในใจก็ยากจะรับเรื่องเช่นนี้ได้เช่นกันกระมัง
การที่ทั้งสองคนใช้ชีวิตร่วมกันได้ต่างหากถึงแปลก!
หวังซีรู้สึกว่าเจิ้นกั๋วกงเองก็คงมิใช่คนดีอะไร
บิดาผู้นี้ไม่มีอะไรให้พึ่งพาได้เลย…
นางมองเฉินลั่ว รู้สึกเห็นใจเพิ่มมากขึ้นอีกหลายส่วน
เจ้าคิดว่าเจิ้นกั๋วกงต้องหาตระกูลภรรยาทรงอำนาจให้เฉินอิงอย่างนั้นหรือ! หวังซีกล่าว แต่ผู้อื่นก็มิใช่คนโง่ คงไม่ลุยโคลนตมนี้หรอกกระมัง และก็เพราะเหตุนี้ เฉินอิงถึงยังไม่ได้แต่งงานเสียที?
นี่เป็นความลับที่เปิดเผยของจิงเฉิง ทุกคนต่างรู้กันดี
เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า แต่เฉินอิงอายุไม่น้อยแล้ว เขายื้อไม่แต่งงานต่อไปก็ไม่ได้แล้ว ถ้าหากพระพลานามัยของฮ่องเต้ยังดีอยู่ บิดาของข้าคงจะประวิงเวลาไปได้อีกสักสองสามปี จนกว่าจะหาตระกูลพ่อภรรยาที่พึงพอใจให้พี่ใหญ่ของข้าได้ แต่เมื่อใดที่ฮ่องเต้ทรงคิดว่าสุขภาพของตัวเองไม่ดี ต้องการเตรียมการเรื่องในอนาคตแล้ว ตัวแปรที่เฉินอิงจะได้รับแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อก็จะยิ่งคาดเดาได้ยากมากขึ้น
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก้มหน้าลง คล้ายต้องการเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไว้ไม่ให้คนเห็นก็ไม่ปาน
หวังซีกลับสั่นด้วยความหวาดกลัว พริบตานั้นพลันเข้าใจที่เฉินลั่วไม่มีสิทธิเลือกนั่นแล้ว
ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง เฉินลั่วอาจถูกกำจัดออกจากการเป็นผู้เข้าชิงซื่อจื่อ
นั่นก็หมายความว่าเฉินลั่วกระทำความผิด
แต่ความผิดเช่นไรที่ทำให้เฉินลั่วสูญเสียสิทธิ์ในการสืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงได้
มีเพียงสองอย่างเท่านั้น!
อย่างที่หนึ่งคือวางแผนก่อกบฏ และอีกอย่างหนึ่งคือเข้าไปพัวพันกับองค์ชายที่แย่งชิงบัลลังก์แต่พ่ายแพ้
หวังซีมองเฉินลั่ว
องคาพยพทั้งห้าของเขาสง่าหล่อเหลา แล้วก็สะอาดเรียบร้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เมื่อวางความระแวดระวังลง ก้มศีรษะหลุบตาลงเช่นนี้แล้ว เผยให้รู้สึกว่ายังไม่โตและยังไร้เดียงสาออกมาให้เห็นหลายส่วน
หวังซีถอนใจ
เบื้องหน้ามีหมาป่าเบื้องหลังมีพยัคฆ์ ชะตากรรมของเขานี้ ช่างยากลำบากจริงๆ สู้นางไม่ได้เลย!
ไม่เป็นไร ข้าจะพยายามช่วยสืบข่าวมาให้เจ้าให้ได้มากที่สุด หวังซีคิดว่าการเป็นผู้สอดแนมคนหนึ่งให้เฉินลั่ว ก็มิใช่เรื่องยากเย็นอะไร สุดท้ายแล้วนางก็ไม่รู้จักเฉินอิงแต่มีมิตรภาพกับเฉินลั่วมากกว่า เห็นแก่มิตรภาพก็ย่อมอยากช่วยเหลือเฉินลั่วมากกว่าอยู่แล้ว
เฉินลั่วพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง หันไปประสานมือคารวะหวังซี กล่าวอย่างขออภัยว่า ความจริงเรื่องนี้ควรไปขอให้มารดาของข้าช่วย แต่หากมารดาของข้าไปสอบถาม กลัวว่าทุกคนจะคิดมาก
คงมิใช่กลัวผู้อื่นคิดมาก แต่ไม่รู้ว่าจ่างกงจู่จะช่วยออกหน้าให้เขาหรือไม่มากกว่ากระมัง
หาไม่งานแต่งของเฉินอิงคงไม่ลากยาวมาจนป่านนี้
มีมารดาเช่นนี้ก็น่าหดหู่ใจมากเหมือนกัน
แน่นอนว่าหวังซีไม่อาจแทงดาบตรงกลางใจเฉินลั่วได้ จึงทำเป็นฟังความนัยนี้ไม่ออก กล่าวยิ้มๆ ว่า ประจวบเหมาะกับที่ข้าชอบพูดแล้วก็ชอบเรื่องซุบซิบพอดี แล้วข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจิ้นกั๋วกงถูกใจหญิงสาวของตระกูลใด
แล้วเจ้าเล่า? งานแต่งของเจ้าจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว เจ้าถูกใจหญิงสาวของตระกูลใด
ความคิดนี้วาบเข้ามาในใจของหวังซี ทำให้นางขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัดใจ กล่าวว่า หากไม่มีเรื่องอะไรอื่นแล้ว ข้ากลับเข้าเมืองก่อน ข้ายังต้องไปหาท่านหมอเฝิงครั้งหนึ่งด้วย สายมากแล้ว กลัวว่าเขาจะเริ่มรวบรวมตำรับยาแล้ว
เฉินลั่วกลับกล่าวว่า สวนร่มหลิวติดกับกำแพงบ้านของข้า มีต้นหลิวสองต้นปลูกติดกัน พุ่มต้นไม้ดุจร่ม คนซ่อนอยู่ด้านบน หากไม่มองดีๆ คนด้านล่างย่อมหาไม่เจอ เจ้าพอจะจำได้หรือไม่
หวังซีละอาย
นางจำได้แม่น
ก่อนหน้านี้นางปีนขึ้นไปอยู่ใต้พุ่มไม้ของต้นหลิวนั่นแอบดูเขาฝึกยิงธนู!
รู้จัก! เสียงของนางไม่มั่นคงเล็กน้อย กล่าวว่า ความหมายของใต้เท้าเฉินคือ?
ข้าให้คนทำกล่องสีเขียวกล่องหนึ่งไปติดไว้บนง่ามไม้ของต้นหลิวต้นหนึ่ง ต่อไปมีเรื่องอะไร พวกเราก็ใช้กล่องนั่นแลกเปลี่ยนจดหมายกัน เฉินลั่วกล่าว ด้านข้าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ด้านเจ้า ให้สาวใช้มีวรยุทธ์ข้างกายเจ้าไปหยิบให้ก็ได้ พวกเรากำหนดหนังสือที่จะใช้เอาไว้หนึ่งเล่ม ใช้ตัวเลขเป็นตัวแทนในการเขียนถ้อยคำที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ‘ข้า’ อยู่ในหนังสือหน้าที่สามแถวที่หนึ่งคำที่สี่ ก็เขียนออกมาเป็นสามหนึ่งสี่ เช่นนี้ต่อให้มีคนค้นพบ ก็ไม่รู้ว่าพวกเราเขียนอะไร
นี่ก็เหมือนกับกำลังเขียนจดหมายลับอยู่มิใช่หรือ
น่าสนุกยิ่งนัก!
หวังซีสนใจอย่างเหลือล้น ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ได้เลย! ได้เลย! เช่นนั้นพวกเราจะใช้หนังสือเล่มไหนดี ข้าต้องดูก่อนว่าข้ามีหรือไม่ หากไม่มี ก็ต้องให้คนไปซื้อมา!
ตอนแรกเฉินลั่วยังกังวลใจว่าหวังซีจะรู้สึกว่ายุ่งยากหรือไม่ คิดไม่ถึงว่านางเหมือนกับได้เล่นพ่อแม่ลูกและเล่นของเล่นก็ไม่ปาน กระตือรือร้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เขาอดลอบยิ้มไม่ได้ สงบใจลงมาคุยกับหวังซีอีกครึ่งค่อนวัน ทั้งสองคนถึงได้เรียงหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งออกจากประตูเดินทางกลับจิงเฉิง
……………………………………………………………………….