แค้นรักสามีตัวร้าย - ตอนที่ 1091
บทที่ 1091 ความใจอ่อนของผู้หญิง
นรมนไม่อยากจะคิดแบบนี้กับโสธรจริง ๆ แต่ว่าตอนนี้เรื่องทั้งหมดได้เปิดเผยออกมาในที่แจ้งแล้ว เธออยากจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ไม่ได้
โสธรเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เขาก้มหัวอยู่ กัดริมฝีปากล่างไว้แล้วพูดขึ้นว่า “ผมรู้ว่าคุณดีกับผม และรู้ด้วยว่าคุณเคยดีกับพี่สาวผมมาก ถ้าเกิดว่าทุกคนสามารถเป็นอย่างนี้ต่อไปได้เรื่อย ๆ ก็ดีนะซิ แต่ว่าทำไมสุดท้ายทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไปหมดล่ะ? ทำไม?”
“ปัญหานี้ฉันคิดว่านายมีคำตอบอยู่แล้วนะ โสธร ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดต่อนาย และยิ่งไม่เคยทำผิดต่อนิตา ฉันเคยคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และก็ยังอยากให้เธอมาเป็นพี่สะใภ้ของฉันด้วยซ้ำ”
คำพูดของนรมนทำให้หัวของโสธรยิ่งต่ำลงไปอีก ใครก็ดูไม่ออกว่าตกลงใบหน้าของเขามีปฏิกิริยายังไง
เขาไม่พูด นรมนเองก็ไม่รีบร้อน แล้วก็มีคนเอาเก้าอี้มาให้เธอตัวหนึ่งนั่งลงตรงข้ามโสธร
นรมนจ้องมองดูเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เพราะว่าครั้งหนึ่งเคยรับปากกับนิตาเอาไว้ว่าจะดูแลโสธรให้ดี เธอก็เลยส่งเขาเข้าไปฝึกฝนในอาณาจักรรัตติกาล แล้วตอนนี้ก็ยังให้เขาได้ควบคุมดูแลคนอีกกลุ่มหนึ่งด้วย น่าเสียดายสุดท้ายแล้วเธอก็ยังใจอ่อนจนได้
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าถ้าฝึกฝนให้เขาเก่งกาจ ส่งเสริมเขาให้สูงยิ่งขึ้นไป เขาก็จะยิ่งมีโอกาสรู้สาเหตุการตายของนิตามากขึ้น
ที่จริงการตายของนิตาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนรมนเลยจริง ๆ แต่ว่าโสธรก็ยังพยายามจะดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกันให้ได้ เธอเองก็รู้สึกไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
นรมนรู้สึกว่าตัวเองอยู่ที่นี่นั้นมีความเก็บกดและอึดอัดเล็กน้อย
คนอื่นไม่สำนึกในความดีของเธอ เธอยังจะมัวติดพันอะไรอยู่ที่นี่อีก?
เธอไม่ได้ติดค้างอะไรนิตา และยิ่งไม่ติดค้างโสธร
ตอนนี้โสธรเป็นคนหักหลังเธอ เธอมีอะไรให้น่าเสียใจกัน?
นรมนยิ้มอ่อน ๆ ขึ้น ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่เล็กน้อย แต่ก็มีความเลือดเย็นอยู่เสี้ยวหนึ่ง
“คิดดีแล้วหรือยัง? ถ้าคิดดีแล้ว นายก็น่าจะรู้กฎของอาณาจักรรัตติกาลดีนะ”
คำพูดของนรมนทำให้โสธรเงยหน้าขึ้นทันที ในดวงตาคู่นั้นมีแววตกใจสะท้อนออกมา
“คุณจะใช้กฎบ้านมาลงโทษผมเหรอ?”
“ไม่สมควรเหรอ? ไม่ว่าตอนนั้นนายจะเข้ามาในอาณาจักรรัตติกาลยังไง แต่วันนี้นายทรยศหัวหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฉันหรือว่าอาณาจักรรัตติกาลก็ไม่สามารถเอานายไว้ได้แล้ว โสธร เส้นทางเดินนี้นายเป็นคนเลือกเดินเองนะ”
นรมนรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดกับเขาแล้วจริง ๆ
เธอมีเวลาว่างมาอยู่ที่นี่ สู้กลับไปอยู่เป็นเพื่อนบุริศร์ไม่ดีกว่าเหรอ
บุริศร์ต่างหากที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ
พอคิดมาถึงตรงนี้ นรมนก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็เหมือนกับว่าจะจากไป
“รอก่อน”
อยู่ ๆ โสธรก็ร้องเรียกเธอไว้
นรมนค่อย ๆ หันกลับมา แววตาที่จ้องมองโสธรก็ไม่ได้ร้อนแรงและโศกเศร้าเหมือนอย่างเมื่อกี้แล้ว
นัยน์ตาของเธอนิ่งสนิทไร้คลื่นลม และแฝงรัศมีอย่างหนึ่งไว้ ทำให้โสธรมองปฏิกิริยาของเธอไม่ชัดเจน แต่กลับทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณจะลงโทษผมจริง ๆ เหรอ?”
“ถ้าหากว่าที่นายเรียกฉันไว้เพราะจะถามเรื่องนี้ละก็ งั้นฉันก็รู้สึกว่านี่เป็นคำพูดไร้สาระประโยคหนึ่ง โสธร ฉันให้โอกาสนายแล้วนะ”
“หรือคุณไม่อยากจะรู้ว่าผมได้หนังสือคัมภีร์โบราณมาได้ยังไง? แล้วไปตกอยู่ในมือของวินเซนต์ได้ยังไง? และยังมีอีกตอนนี้วินเซนต์ถูกจับตัวไป คุณไม่เป็นห่วงความเป็นความตายของเขาเลยเหรอ?”
พอได้ยินโสธรถามแบบนี้ อยู่ ๆ นรมนก็หัวเราะขึ้นมา
เธอพูดขึ้นอย่างง่ายดายว่า “ไม่ว่านายจะเอาหนังสือคัมภีร์โบราณมาได้ยังไง สิ่งที่ฉันต้องการมีแค่เพียงแค่ผลเท่านั้น สำหรับขั้นตอนนั้น ฉันไม่อยากรู้ ในเมื่อฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของหมู่บ้านดารายนอยู่แล้ว ส่วนวินเซนต์เขาเป็นพี่น้องของสามีฉัน ไม่ได้เป็นของฉัน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องของฉันที่จะต้องไปกังวลความเป็นความตายของเขา และที่สำคัญเขาสามารถคลานออกมาจากกองซากศพได้ แล้วก็เอาชนะอุปสรรคมาตลอดทางจนถึงตอนนี้ ก็มากพอที่จะบอกได้แล้วว่าความสามารถของเขาไม่ได้ต่ำ ถึงแม้จะมีคนที่คล้ายกับคู่หมั้นของเขาปรากฏตัวออกมา ฉันคิดว่าเขาก็คงจะสามารถจัดการได้อย่างดี เพราะฉะนั้นทำไมฉันจะต้องเป็นกังวลด้วย?”
โสธรเห็นว่าคำถามที่ตัวเองโยนออกไปโดนนรมนพูดแค่สองสามคำก็บอกปัดไปได้หมด จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ตอนแรกที่ป้าโอเอาแหวนมอบให้กานต์ ก็ได้มอบหมู่บ้านดารายนให้กับกานต์ด้วยแล้ว และเรื่องในนี้มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้”
โสธรยังกระเสือกกระสนครั้งสุดท้าย
ตอนแรกนึกว่านรมนจะสนใจ แต่กลับคิดไม่ถึงว่านรมนจะหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ทางเดินของลูกชายฉันยังอีกยาวไกล ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือว่าเป็นนักธุรกิจ หรือว่าจะไปลุยเดี่ยวคนเดียว เขาก็มีต้นทุนนั้นอยู่แล้ว แค่หมู่บ้านดารายนหมู่บ้านเดียว ลูกชายของฉันไม่เอาก็ได้ ที่สำคัญฉันรู้สึกว่าเอาหมู่บ้านดารายนมามอบไว้ในมือของลูกชายฉันก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี ความลับที่อยู่ในนั้นพวกคุณอยากจะซ่อนเอาไว้ งั้นชาตินี้ก็อย่าได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย ถ้าเกิดว่าตระกูลดารายนมีคนที่จะสามารถมาค้ำจุนให้หมู่บ้านดารายนเติบใหญ่ได้อยู่จริงละก็ ป้าโอก็คงจะไม่เอาแหวนมอบให้กับลูกชายของฉันหรอกจริงไหม? ในเมื่อนายเลือกที่จะเก็บหมู่บ้านดารายนกลับไป งั้นก็เก็บไปเถอะ ทั้งกานต์และฉันไม่ได้รู้สึกสนใจมากซะเท่าไหร่”
พูดจบนรมนก็ยกเท้าก้าวเดินไปเลย
โสธรนิ่งอึ้งไปทั้งตัว
เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้นี่!
คนตั้งมากมายต้องมาตายเพราะความลับของหมู่บ้านดารายน แต่ทำไมนรมนถึงได้ไม่สนใจแบบนี้ล่ะ?
แต่ว่านรมนกลับเดินออกไปอย่างไม่หันหลังกลับแบบนี้เลยจริง ๆ
ในตอนที่จะเดินไปถึงหน้าประตูนั้น น้ำเสียงของนรมนที่แฝงไว้ด้วยความเลือดเย็นเสี้ยวหนึ่งก็ดังขึ้น
“สามทีหกรู ทำให้มือของเขาพิการไปข้างหนึ่งซะ แล้วก็ไล่ออกจากอาณาจักรรัตติกาลไป ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปการกระทำของเขาจะไม่ถือว่าเป็นการกระทำของอาณาจักรรัตติกาลอีกต่อไป”
พูดจบ เธอก็ทอดถอนใจทีหนึ่ง แล้วก็ก้าวเดินจากไป
ที่สุดแล้วเธอก็ยังให้ทางรอดทางหนึ่งกับโสธรอีก
ถ้าตามกฎของอาณาจักรรัตติกาลแล้ว โสธรจะต้องโดนลงโทษให้ถึงตาย
ที่สุดแล้วเธอก็ยังเลือดเย็นไม่ถึงขนาดนั้น
พอโสธรได้ยินการตัดสินใจของนรมน ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังขึ้นมา หัวเราะจนน้ำตาก็ไหลออกมาเลย
“นรมน ผมไม่ต้องการความสงสารจากคุณ! ผมไม่ต้องการ! คุณจะมาเสแสร้งแกล้งทำเป็นเมตตาให้ใครดู? ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ พี่สาวของผมก็ไม่ต้องตาย! นั่นเป็นญาติเพียงคนเดียวของผมนะ คุณเคยรับปากเธอไว้แล้วว่าจะดูแลผมให้ดีไม่ใช่เหรอ แล้วคุณมาปฏิบัติอย่างนี้กับผมเหรอ? คุณอย่ามาคิดว่าไม่ลงโทษผมให้ถึงตายแล้วผมจะรู้สึกขอบคุณคุณนะ! คุณฝันเถอะ!”
โสธรร้องตะโกนขึ้นอย่างเจ็บปวดทุรนทุราย และเสียงที่ปนสะอื้นอยู่นั้น ทำให้คนรู้สึกไม่ใช่อารมณ์เอามาก ๆ
นรมนเดินออกไปจากโรงแรม แล้วพูดกับคนของสหภาพQTว่า “หลังจากที่ลงโทษเสร็จก็โยนออกไป แล้วโทรศัพท์ตามหมอสักคนมารักษาเขา ถ้ายังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็อย่าให้ตายไปล่ะ”
“แต่ว่าคนแบบนี้ถ้าเกิดว่าโดนศัตรูของคุณหาตัวพบเข้า ยังมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะกลายเป็นภัย ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือ……”
แน่นอนว่าคำพูดของแดเนียลนั้นนรมนฟังเข้าใจดี แต่ว่าเธอกลับส่ายหัว
“ทำตามที่ฉันพูดเถอะ”
หัวคิ้วของแดเนียลขมวดเข้าหากันแน่น แล้วในใจก็พูดคำหนึ่ง“ความใจอ่อนของผู้หญิง” แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ขัดขืนคำสั่งของนรมน
ในห้องมีเสียงร้องโหยหวนของโสธรลอยออกมา
นรมนไม่ได้จากไป เพียงแต่ว่าฟังอยู่ที่ข้างนอก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอถึงได้นึกถึงกิมจิขึ้นมา
พฤกษ์บอกว่าตอนนี้กิมจิยังคงเป็นผู้นำคนของอาณาจักรรัตติกาลเฝ้ารออยู่ทางโน้น
ดวงตาของนรมนหรี่ต่ำลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปไม่นาน เสียงข้างในค่อย ๆ เบาลงแล้ว จากนั้นคนโชกเลือดคนหนึ่งก็ถูกหามออกมา
“พี่สะใภ้ จะให้ทิ้งลงทะเลไปเลยหรือว่า……”
“ส่งไปโรงพยาบาลเถอะ ไปให้เขารีบรักษา สำหรับผลจะออกมายังไงนั้น ก็แล้วแต่ตัวเขาแล้วล่ะ”
คำพูดของนรมนทำให้แดเนียลรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย
ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทำไมยังต้องทำการลงโทษตามกฎบ้านให้ยุ่งยากอีก?
แต่ว่าเขาเป็นคนของอาณาจักรรัตติกาล แน่นอนว่าต้องรักษากฎระเบียบแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
โสธรโดนคนพาตัวไปแล้ว
นรมนจ้องมองท้องฟ้าในที่ห่างไกลออกไป มันดูมืดครึ้ม เหมือนกับว่าหิมะจะตกอีกแล้ว
เมื่อก่อนเธอเคยชอบหิมะมาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกโศกเศร้าและเสียใจเล็กน้อย
ธิดาวีร์!
นรมนรู้ว่าบุริศร์เปิดทางให้กับเธอด้านหนึ่ง แต่น่าเสียดายผู้หญิงคนนี้ชั่วดีไม่ยอมแยกแยะ ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน
และยังเพราะว่าการตายของแพรวา เธอได้ทำลายความเป็นพี่น้องกับบุริศร์ลง แล้วก็มาถึงทางนี้เลย
เธออยากจะทำอะไร?
นรมนเองก็ไม่รู้ แต่ว่าการกระทำแบบนี้ของเธอทำร้ายโดนบุริศร์ ทำให้ผู้ชายที่แข็งแกร่งขนาดนั้นคนหนึ่งต้องไข้ขึ้นชั่วข้ามคืน นี่มันไม่น่าให้อภัยจริง ๆ
นัยน์ตาของเธอมีแววโกรธเคืองพาดผ่านเสี้ยวหนึ่ง
“ธิดาวีร์อยู่ที่ไหน?”
“อยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่มากนักครับ นามแฝงที่เธอใช้ ได้โดนเราเฝ้าติดตามไว้แล้วครับ”
คำพูดของแดเนียลทำให้หัวคิ้วของนรมนยักขึ้นเล็กน้อย
“พวกเราไปเยี่ยมน้องสามีคนนี้ของฉันหน่อยดีกว่า”
คำพูดของนรมนทำให้แดเนียลอึ้งไปเล็กน้อย
“พี่บุริศร์รู้หรือยังครับ?”
“นายอยากให้เขาทำยังไงล่ะ? นั่นเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขานะ! นายยังอยากจะให้เขามาจัดการเธอด้วยมือตัวเองเหรอ? เรื่องบางเรื่องเขาทำไม่ได้ แต่ฉันทำได้!”
นัยน์ตาของนรมนมีแววโหดเหี้ยมพาดผ่านเสี้ยวหนึ่ง
แดเนียลเงียบขรึมลง
แน่นอนว่าเขาต้องรู้จุดยืนของบุริศร์อยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าบุริศร์จะดูแข็งแกร่งมาก แต่ว่าเขาก็เหลือญาติเพียงคนนี้คนเดียวแล้ว
นรมนขึ้นไปบนรถ แดเนียลเองก็ขึ้นมาในรถ
รถขับมาถึงโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลแล้วก็จอดลง
นรมนกระชับปกคอเสื้อขึ้นเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าวันนี้ค่อนข้างหนาว
รีบไปจัดการเธอให้เสร็จดีกว่า ยังจะต้องไปฉลองคริสต์มาสกับบุริศร์อีก
นรมนผลักประตูรถเปิดออกแล้วลงจากรถ ด้านนอกมีคนสวมชุดทำยืนอยู่สองแถว
พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่กลับทำให้นรมนรู้สึกคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย
“คนของตระกูลโตเล็กเหรอ?”
นรมนรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
แล้วในเวลานี้พอดี พฤกษ์ก็เดินออกมาจากข้างใน
“คุณนาย”
ในชั่วขณะที่เห็นพฤกษ์นั้น นรมนก็อึ้งไปเลยทั้งตัว
มีความคิดอะไรบางอย่างกะพริบผ่านไปในหัวสมอง แต่เร็วมากจนเธอคว้าไว้ไม่อยู่
“คุณมาได้ยังไง?”
“เมื่อคืนประธานบุริศร์โทรศัพท์ให้ผมบินมาด่วนครับ”
พฤกษ์ดูสกปรกมอมแมม แค่ดูก็รู้แล้วว่าหลายวันมานี้น่าจะไม่ได้พักผ่อนดี ๆ
นรมนคิดว่าเขาเร่งรีบมาจากยูนนานตลอดทาง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ต้องลำบากคุณแล้ว”
“ยังโอเคครับ นี่คือหนังสือคัมภีร์โบราณครับ คุณชายวินเซนต์ให้คนเอามาส่งให้ผม ผมเลยคิดว่าในเมื่อก็จะมาที่นี่แล้ว ก็เลยลวดเอามาให้คุณด้วย”
พฤกษ์เอาหนังสือคัมภีร์โบราณมอบให้กับนรมน
หนังสือคัมภีร์โบราณนี้ดูมีอายุมากหน่อยแล้ว หน้ากระดาษก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว
นรมนรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง ในเมื่อนี่มีโอกาสที่จะสามารถรักษาอาการปวดหลอนของบุริศร์ได้สูง เธอรีบเอามากอดไว้ในอก
“บุริศร์ให้คุณทำอะไรที่นี่?”
นรมนนึกถึงความเจ็บปวดของบุริศร์เมื่อคืนแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหัวใจบิดกันจนเจ็บขึ้นมานิดหน่อย
พฤกษ์พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ประธานบุริศร์แค่ให้ผมพาคนมาเฝ้าดูธิดาวีร์ไว้ แล้วบอกว่ามีเรื่องอะไรให้รอถึงเช้านี้ค่อยว่ากัน แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นคุณนาย”
“เขาไม่สบายเป็นไข้อยู่”
นรมนพูดอย่างเบื่อหน่าย
แล้วพฤกษ์ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
โดนคนญาติที่สนิทที่สุดของตัวเองหักหลัง รสชาติแบบนั้นราวกับแล่เนื้อเฉือนกระดูก เจ็บจนสุดใจเลย
“งั้นที่คุณนายมาคือ……”
“เข้าไปดูก่อนเถอะ”
พอนรมนเห็นพฤกษ์ในที่ต่างบ้านต่างเมือง ทั้งตัวก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
ถึงสหภาพQTจะดียังไง แต่ก็ยังเทียบกับอาณาจักรรัตติกาลและพวกพฤกษ์ไม่ได้ ตอนนี้เธอพอจะมีความมั่นใจขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้ว
พฤกษ์เห็นนรมนเดินเข้าไปข้างใน ก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณนายครับ กิมจิก็มาด้วยครับ”
ฝีเท้าของนรมนหยุดค้างไว้ครู่หนึ่ง และพูด“อืม”ขึ้นคำหนึ่ง แล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากแล้วก็เดินเข้าไปเลย
พฤกษ์ไม่เข้าใจคำว่า“อืม”นี้ของนรมนแปลว่าอะไร? เป็นการยอมรับแล้วหรือว่าไม่ยอมรับ จึงอดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา จากนั้นเขาก็เดินตามเข้าไป
จากที่ไกล ๆ นรมนก็เห็นกิมจินั่งอยู่บนรถเข็นแล้ว
ในแววตาของเขามีแววซาบซึ้งกะพริบอยู่ และแฝงไว้ด้วยความเกรงกลัวและความลังเลอยู่เสี้ยวหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะทำให้นรมนนึกถึงความหล่อเหลาและความองอาจเมื่อตอนที่เจอกับเขาใหม่ ๆ