แค้นรักสามีตัวร้าย - ตอนที่ 1096
“ไม่ใช่ว่าแพรวาหมายตัวซินดี้ไว้แล้วตั้งแต่แรกเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ ตอนที่ผมอยู่ในห้องขังได้ยินป้องสืบค้นมาว่า เป้าหมายที่แพรวาและกล้าณรงค์หมายตัวไว้ตั้งแต่แรกคือราเชน กล้าณรงค์ทำงานให้องค์ชายสาม ถึงแม้ว่าราเชนจะไม่คิดแย่งอำนาจ แต่เพราะว่าช่วงนี้เขาเข้าใกล้คุณมากเกินไปจนเกิดเป็นข่าว แล้วพอองค์ชายสามรู้สถานะที่อยู่เบื้องหลังของคุณ ก็กลัวว่าราเชนจะเกิดความคิดแย่งชิงอำนาจขึ้นมา เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่าลงมือก่อนเป็นผู้ได้เปรียบ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าซินดี้จะไปตามนัดแทนราเชน และยังทำให้ราเชนหมดสติไปก่อนอีกด้วย”
คำพูดของบุริศร์ทำให้ใจของนรมนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ภาพของซินดี้ที่อยู่ในสมองของเธอนั้นไม่ได้ลึกซึ้งมาก แม้กระทั่งหน้าตาของผู้ชายคนนั้นเป็นยังไงก็ไม่ค่อยชัดเจนนัก พอมาวันนี้ได้ยินบุริศร์พูดขึ้นแบบนี้ นรมนกลับรู้สึกว่าซินดี้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อราเชนมากจริง ๆ
“ฉันว่าซินดี้คนนี้น่าจะเป็นความอบอุ่นเสี้ยวสุดท้ายที่มีอยู่บนโลกของราเชนแล้วมั้ง”
“อืม การแก่งแย่งชิงดีในวังโหดร้ายมาตลอด ตอนที่ราเชนยังเป็นเด็กก็โดนวางยาพิษเกือบตาย คนอื่นยังมีแม่อยู่ข้างกายช่วยเขาวางแผน แต่ว่าราเชนไม่มี ไม่เพียงไม่มี แต่อยู่ต่อหน้าประธานาธิบดีก็เหมือนกับว่าเขาจะไม่เป็นที่รักด้วย ถ้าเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ก็จะต้องทุ่มเทความพยายามมากกว่าคนอื่น แบกรับสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น แล้วกว่าจะบรรลุนิติภาวะมาได้ แล้วเขาไม่อยากจะตายไปท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีในวัง ฉะนั้นก็เลยเลือกที่จะออกไปข้างนอก ยินยอมที่จะออกไปอยู่ในสลัมแต่ก็ไม่กลับไปเป็นองค์ชายในวัง แล้วก็พบเจอกับซินดี้เข้าในสลัมนี้ด้วย”
บุริศร์เอาเรื่องที่ตัวเองสืบค้นเจอมาพูดออกมา
“ซินดี้เดินเป็นเพื่อนผ่านช่วงเวลาวัยรุ่นทั้งหมดเขา พวกเขาจากประเทศFไปพร้อมกัน แล้วไปเติบโตที่เมืองBด้วยกับ เริ่มจากการไม่มีเส้นสายเลยจนกลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ในวงการบันเทิง คนอื่น ๆ แค่เห็นด้านที่สว่างสดใสสวยงามของราเชน แต่กลับมองไม่เห็นความลำบากที่ราเชนและซินดี้ต้องประสบมาในเบื้องหลัง สามารถพูดได้ว่าซินดี้เป็นพี่น้อง เป็นคนรัก และเป็นเพื่อนของราเชน เขารับบทบาทมากมายอยู่ในชีวิตราเชน และสุดท้ายก็ตายเพื่อราเชน ถ้าราเชนไม่กลายเป็นโหดเหี้ยมขึ้น ผมว่าถึงจะแปลก”
ฟังบุริศร์พูดไปอย่างนี้ นรมนกลับรู้สึกสงสารราเชนขึ้นมาบ้าง
“ในเมื่อเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว และก็ออกจากประเทศFแล้ว ตอนนั้นทำไมไม่มาหาฉันล่ะ?”
บุริศร์ได้ยินนรมนถามแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นคุณมีสถานะอะไรอยู่? เป็นแค่ลูกสาวของตระกูลธนาศักดิ์ธนเท่านั้น ตระกูลธนาศักดิ์ธนอยู่ในเมืองชลธีถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงเป็นตระกูลผู้มีความรู้ แต่ว่าก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร และอีกอย่างตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าคุณเป็นหลานสาวของตระกูลพรโสภณ เขากับคุณก็ยังไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกันเลย แล้วจะมาหาคุณทำไม?”
“ก็ใช่นะ ฉันลืมไปเลย”
นรมนหลุดขำขึ้นมาทันทีเลย
“อ๋อใช่แล้ว พูดถึงตระกูลธนาศักดิ์ธน ตอนนี้สองสามีภรรยางามพลเป็นยังไงบ้างแล้วคะ?”
นรมนไม่ได้ตั้งใจที่จะถามหาพ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนเป็นพิเศษหรอก เพียงแต่ว่าพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ก็เลยถามออกไปคำหนึ่งเท่านั้น
บุริศร์เห็นว่าในดวงตาของเธอไม่ได้มีแววเสียใจและโศกเศร้าอยู่ ถึงได้พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “เนตราไตวายกะทันหันแล้วไม่ได้รับการปลูกถ่ายไตทันที ไม่นานก็เสียชีวิตลง ผมได้ยินมาว่าแม้แต่คนไปรับศพสักคนก็ไม่มี โรงพยาบาลติดต่อให้สามีภรรยางามพลไปรับศพ แต่น่าเสียดายตาแก่สองคนนี้ต่างก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วบอกว่าเนตราไม่ใช่ลูกสาวของพวกเขา พวกเขาจะไม่ยุ่ง”
พูดมาถึงตรงนี้ บุริศร์ก็หึเสียงเย็นทีหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะพูดถึงพวกเขามากนัก
นรมนเองก็รู้สึกทอดถอนใจอยู่เหมือนกัน
ในตอนที่พ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนนึกว่าเนตราเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองนั้น เพื่อเธอแล้วต้องสูญเสียทรัพย์สินไปมากมายก็ไม่เสียดาย และเพื่อเธอแล้วก็ไม่สนใจตัวนรมนที่รับมาเลี้ยงตั้งยี่สิบกว่าปีอีกด้วย และยิ่งสูญเสียความเป็นคนไปแล้วอยากจะแย่งทุกอย่างของตัวนรมนกลับไปทดแทนให้เนตราอีก
แต่ว่าพอความจริงปรากฏออกมา แล้วรู้ว่าเนตราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับพวกเขานั้น ทั้งสองคนกลับทำเรื่องไร้เยื่อใยขนาดนี้ออกมาได้
ถึงแม้จะเป็นหมาแมวตัวหนึ่งที่เลี้ยงมา พอตายแล้วก็ยังต้องฝังศพให้อยู่มั้ง ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือคนคนหนึ่ง ที่พวกเขาเคยทุ่มเทกายใจไปทำดีด้วย
นรมนส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วถามขึ้นว่า “งั้นต่อมาศพของเนตราถูกจัดการไปยังไงคะ?”
“ทิ้งไว้ในห้องดับจิตไม่มีคนไปรับ โรงพยาบาลก็เลยต้องมาจ่ายค่าใช้จ่ายเอง พ่อแม่ตระกูลธนาศักดิ์ธนไม่ยอมไปรับ เมื่อทางโรงพยาบาลก็ไม่มีทางออกแล้ว จึงได้แต่ตามให้ตำรวจในท้องที่มาจัดการเรื่องนี้ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของตำรวจ สุดท้ายแล้วทางตำรวจต้องมารวบรวมเงินกันออกค่าเผาศพให้ จุดไฟทีเดียวแล้วเผาไปตรงนั้นแล้วก็ไม่รู้เรื่องอีกอะไรเลย”
บุริศร์พูดขึ้นอย่างเรียบเฉย ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย
เนตรามีจุดจบอย่างนี้ก็สมควรมากแล้วจริง ๆ
ที่ว่ากันว่าทางล้วนมีคนเดินออกมา ในเมื่อเธอเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้แล้ว ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าทางนี้ไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่
นรมนคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเนตราจะมีจุดจบแบบนี้ นี่ถือได้ว่าตายศพไม่สวยหรือเปล่านะ?
เธอถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไร
บุริศร์พูดต่อไปว่า “สองผัวเมียงามพลนั่น ตั้งแต่รู้ว่าเนตราตายไปแล้ว ตัวเองยังไม่ตายใจอีก ยังฝากคนส่งข้อความมาว่า อยากจะเจอคุณ บอกว่าพวกเขาสำนึกผิดแล้ว และโดนเนตราทำให้หลงผิดไป ถึงได้ทำเรื่องที่ไม่ดีแบบนั้นกับคุณออกมาได้ หวังว่าคุณจะเห็นแก่บุญคุณที่เคยเลี้ยงดูมาและให้อภัยพวกเขา ผมไม่ได้ยอมให้คำพูดพวกนี้ผ่านมาถึงหูคุณ จึงก็หาคนไปจัดการพวกเขา”
นรมนอึ้งไปเล็กน้อย
เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลย เป็นมาถึงขนาดนี้แล้ว สามีภรรยางามพลยังจะสามารถเอาเรื่องบุญคุณที่เลี้ยงดูมาอ้างได้อีก
ยังหวังว่าเธอจะสามารถช่วยพวกเขาออกมาได้อีก?
สองผัวเมียนี้นี่ตกลงคิดยังไงกันแน่?
คิดว่าเธอนรมนเป็นดินเหนียว ที่ไม่มีอารมณ์เหรอ?
“ฉันได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริง ๆ”
นรมนยิ้มอย่างขมขื่น แต่กลับไม่มีความโศกเศร้าใด ๆ แล้ว
บุริศร์เห็นว่าอารมณ์ของเธอยังดีอยู่ ถึงได้โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
“คุณคงจะไม่โทษผมว่าตัดสินใจไปคนเดียวหรอกนะ?”
“ไม่หรอกค่ะ ตาแก่สองผัวเมียนั่นชาตินี้ฉันไม่อยากจะเจอแล้ว นี่ได้อัพเกรดโลกทัศนของฉันใหม่จริง ๆ เลย”
นรมนส่ายหน้าเล็กน้อย
บุริศร์หัวเราะและพูดขึ้นว่า “ผมเองก็เจอไม่ได้แล้ว ผมให้คนข้างในนั้นตั้งใจเกิดการทะเลาะกับพวกเขาขึ้น ในช่วงที่ไม่ได้ตั้งใจงามพลก็ได้แทงคนบาดเจ็บเข้า ระยะเวลารับโทษก็เลยหนักขึ้น คาดว่าน่าจะได้แก่ตายในคุกแล้ว ส่วนคุณนายธนาศักดิ์ธนนั้น ผมได้ยินว่าหัวใจเหมือนว่าจะมีปัญหาเล็กน้อย แล้วอยากจะยื่นขอประกันตัว แต่โดนผมส่งคนไปคัดค้านกลับไป”
“คุณนี่จะไม่เหลือทางรอดไว้ให้พวกเขาจริง ๆ เหรอคะ”
นรมนหัวเราะไป
บุริศร์พูดอย่างเย็นชาขึ้นว่า “ผมให้ทางรอดพวกเขา แล้วให้พวกเขามาออกมาเป็นปีศาจร้ายคอยทำร้ายคุณกับลูกอีกเหรอ? งั้นยังสู้ให้พวกเขาอยู่ข้างในดี ๆ ต่อไปดีกว่า”
“มันก็ใช่”
นรมนพยักหน้า
ชั่วขณะหนึ่งระหว่างทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก
ข่าวในทีวียังคงรายงานต่อไป ราเชนกลับไม่ได้ทำการกระทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงมากเกินไปอีก เพียงแต่แค่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วจ้องมองคลังอาวุธอย่างโหดเหี้ยมไปสักพักก็จากไป
อยู่ ๆ นรมนก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะเจอราเชนสักหน่อย
ในเมื่อนงลักษณ์ได้ช่วยตัวเองไว้ถึงสองครั้ง
“บุริศร์ คุณว่าวันนี้ถ้าเราจะเจอราเชนสักหน่อยละก็ จะนำพาความวุ่นวายมาให้เขาไหม?”
นรมนเปิดปากพูดขึ้น
บุริศร์อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าหากว่าคุณอยากเจอ ผมจะมาคิดวิธีเอง”
“จะเป็นอันตรายต่อคุณหรือเปล่าคะ?”
นี่เป็นสิ่งที่นรมนคิดถึงเป็นอันดับแรก
“พูดยาก แต่ว่าผมจะพยายามทำให้ผมหลีกเลี่ยงจากอันตรายให้มากที่สุด”
“ถ้างั้นก็ช่างเถอะค่ะ รอให้อีกหน่อยสงบนิ่งแล้ว หลังปีใหม่ค่อยว่ากันดีกว่า”
พอนรมนได้ยินบุริศร์พูดไปอย่างนั้นแล้ว ก็ตายใจอย่างนี้ไปเลย
“ถ้าหากว่าคุณอยากจะเจอเขา……”
“ฉันบอกว่าช่างเถอะไงคะ”
แน่นอนว่านรมนนั้นรู้จักบุริศร์ดี ขอแค่เธออยากทำ ถึงแม้ว่าจะต้องขึ้นไปสอยดาวบนท้องฟ้า หรือว่าบุกน้ำลุยไฟ เขาก็จะไม่มีทางย่อท้อ แต่ว่าเธอจะทนทำใจได้ยังไงล่ะ?
เมื่อกี้ก็แค่เห็นว่าราเชนนั้นเคร่งขรึมมาก แล้วกลัวว่าในใจของเขาจะมีปัญหา แต่ว่าพอมาคิดดูดี ๆ แล้ว เส้นทางนี้เขาจำเป็นจะต้องเดิน ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะพูดเกลี้ยกล่อมเขาแล้ว แล้วครั้งหน้าล่ะ? แล้วครั้งหน้าของครั้งหน้าล่ะ?
เพราะฉะนั้นทางจะเดินยังไง ก็ยังจะต้องดูคนด้วย
ทั้งสองคนดูทีวีไปอีกพักหนึ่งแล้วถึงนอนลง
ข้างนอกยังคงชุลมุนวุ่นวายอยู่ แต่ว่าที่ของก้องภพนี้กลับไม่มีผลกระทบอะไร
นรมนและบุริศร์ได้นอนหลับดี ๆ ตื่นหนึ่ง
ในตอนที่แสงแห่งรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้านั้น ก้องภพก็ให้พ่อบ้านมาเคาะประตู
บุริศร์นอนหลับมาลึกมาตลอดอยู่แล้ว ในตอนที่พ่อบ้านขึ้นมานั้นเขาได้ยินเสียงฝีเท้าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
“ใคร?”
“คุณบุริศร์ คุณก้องภพให้ผมมาบอกพวกคุณ เตรียมตัวสักครู่ เดี๋ยวคุณหมอมิลินจะส่งพวกคุณออกไปจากที่นี่ ข้างนอกเข้มงวดมากขึ้นแล้ว ได้แต่ถือโอกาสจากไปตอนนี้”
น้ำเสียงของพ่อบ้านไม่ได้ดังมาก แต่ก็เพียงพอให้บุริศร์ได้ยินชัดเจน
นรมนพลิกตัวทีหนึ่ง ยังไม่อยากตื่น จึงอดไม่ได้ที่จะหาวขึ้นมา
บุริศร์เห็นท่าทางที่สะลึมสะลือของเธอ ก็พูดขึ้นอย่างรักใคร่ว่า “นอนต่อไปเถอะ เดี๋ยวผมอุ้มคุณไปเอง”
“ได้ค่ะ”
นรมนเอาตัวพิงอยู่บนร่างกายของบุริศร์
บุริศร์สวมใส่เสื้อผ้านอนอยู่แล้วตั้งแต่แรก เขาจึงอุ้มนรมนรวมทั้งผ้าห่มขึ้นมา แล้วก็ยกเท้าก้าวเดินออกจากห้องไป
ในตอนที่เห็นก้องภพนั้น บุริศร์ก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ผ้าห่มผมขอยืมก่อนนะ ครั้งหน้าจะเอามาคืนคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ อากาศข้างนอกค่อนข้างหนาว อย่าเป็นหวัดไปละครับ”
ก้องภพกลับไม่ได้สนใจผ้าห่มแค่ผืนเดียว
บุริศร์พยักหน้าให้เขาเล็กน้อย อุ้มนรมนไว้แล้วก็เดินไปเลย
ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา ทำให้นรมนตัวสั่นไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยังหาวติดต่อกันไม่หยุด
เธอขดตัวเล็กน้อย แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “หรือไม่คุณวางฉันลงเถอะ”
“ไม่เป็นไร ผมอุ้มไหว”
บุริศร์เอาผ้าห่มห่อตัวนรมนไว้ทั้งตัว
นรมนถึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
เธอง่วงนอนแล้วจริง ๆ
ตั้งแต่ที่แท้งมาร่างกายก็ค่อนข้างอ่อนแอ ถึงแม้ว่าเธอจะฝึกฝนร่างกายตามครูฝึก แต่ว่าก็ยังคงไม่มีทางทำให้ร่างกายของตัวเองกลับไปเป็นเหมือนอย่างเมื่อก่อนได้
ครั้งนี้ความเสียหายค่อนข้างรุนแรง ที่เธอง่วงนอนง่ายก็คืออาการที่เห็นได้ชัดที่สุดแล้ว
นรมนเองก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างอันตราย แต่ไม่ยังไงเธอก็ลืมตาไม่ขึ้น บวกกับน้ำเสียงที่มีแรงดึงดูดมากของบุริศร์คอยกล่อมอยู่อีกข้างหนึ่ง ทำให้เธอยิ่งรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาเลย
บุริศร์อุ้มนรมนเข้าไปในรถ
มิลินเห็นนรมนที่ถูกห่อเป็นดักแด้อยู่ในอกของบุริศร์แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เธอเป็นอะไรเหรอ?”
“หลังจากที่แท้งแล้วร่างกายยังไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาดี ๆ แล้วก็ง่วงนอนง่ายมาตลอด เวลานี้ไม่มีทางตื่นไหวแน่นอน”
บุริศร์ไม่ได้ปิดบังมิลิน
มิลินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ฉันได้ยินมาว่าหนังสือคัมภีร์โบราณของหมู่บ้านดารายนถูกพวกคุณหาเจอแล้ว?”
“อืม”
มิลินเป็นคนหมู่บ้านดารายน จะรู้จักคัมภีร์โบราณก็ไม่แปลกเลยสักนิด และบุริศร์เองก็ไม่ได้ปิดบังเธอ แล้วยอมรับอย่างเปิดเผยไป
“ต่อไปยืมให้ฉันดีหน่อยซิ ไม่แน่ฉันอาจจะหาวิธีอะไรมาทำให้ร่างกายของเธอดีขึ้นมาหน่อยก็ได้ แต่ว่าตอนนี้อย่าเพิ่งเอาลูกเลย”
ดวงตาของบุริศร์มีแสงลำหนึ่งพาดผ่าน
“ผมทำการผ่าตัดทำหมันแล้ว ชาตินี้จะไม่มีทางให้เธอต้องมาทนลำบากแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้มิลินอึ้งไปเล็กน้อย แววตาที่มองบุริศร์ก็มีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
“ไปกันเถอะ”
เธอสตาร์ทรถขึ้นมาแล้วขับออกไป
บุริศร์กอดนรมนไว้แน่น
นรมนสะลึมสะลือได้ยินไปไม่กี่คำ แต่ในที่สุดก็ขัดขืนความง่วงงุนไม่ไหว แล้วก็นอนหลับไปอีกครั้ง
รถขับอยู่บนท้องถนน ความเร็วนั้นเร็วมาก
ตาเห็นว่าใกล้จะพ้นเขตเส้นแบ่งแดนแล้ว แต่อยู่ ๆ ดวงตาของบุริศร์ก็ขรึมลง เพราะว่าข้างหน้ามีคนตั้งด่านสกัดเส้นทางไว้ ไฟตำรวจที่ระยิบระยับทำให้ใจของเขาตื่นตระหนกขึ้นทันที