แค้นรักสามีตัวร้าย - ตอนที่ 878
เดิมทีเป็นเพียงแค่การคาดเดาของพวกเขา แต่มองเห็นรูปภาพที่พฤกษ์ส่งมาให้ ทั้งสองต่างเงียบไม่พูดจา
“นี่เดาว่าต้องไปถามภาริช”
นรมนเงียบไปนานถึงจะพูดออกมา
“อืม ผมไปเอง”
บุริศร์สูดลมหายใจเข้าลึก
สำหรับพี่น้อง อันที่จริงบุริศร์เห็นคุณค่ามาก แต่ก่อนมีตรินท์เขารักและทะนุถนอมมาก ตอนนี้รู้ว่ายังมีน้องชายอีกคน ถ้าไม่มีเหตุผล เขาก็จะไม่ลงมือกับน้องชาย
วันนี้เรื่องราวมากมายชี้ไปที่ภาริชกับคุณอารอง ความจริงแล้วบุริศร์รู้สึกหดหู่ใจ และอึดอัดใจอยู่บ้าง ในเมื่อบนโลกใบนี้ยังจะมีอะไรเหลือทนมากว่าการเป็นศัตรูกับญาติพี่น้อง?
นรมนตบมือของเขา กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล: “ถ้าคุณรู้สึกลำบากใจ ฉันไปเองก็ได้นะ”
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้คุณกำลังท้องอยู่ จะให้คุณทุกข์ใจได้อย่างไร คุณพักผ่อนเถอะ เรื่องนี้ผมไปตรวจสอบเองก็ได้”
“ค่ะ”
นรมนก็ไม่โต้เถียง พยักหน้าอย่างโอนอ่อนผ่อนตามมาก ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เป็นคนกระทืบคนขับรถ
บุริศร์อยู่ต่ออีกสักพักจึงออกไป นรมนรู้ เขาไปหาภาริช
นรมนเอนกายลงบนเตียง หรี่ตาลงเล็กน้อย ภาพดอกป๊อปปี้แท้จริงแล้วหมายความว่าอะไร?
สมัยก่อนคุณอารองก็ช่วงชิงทรัพย์สินของตระกูลโตเล็กมาก่อน วันนี้บุริศร์มีรากฐานที่มั่นคง เขาคิดจะกลับมาเพื่อทำอะไร?
หรือเพราะเขาคิดว่าบุริศร์เป็นลูกชายแท้ ๆ ของตนเอง จึงสามารถกลับมาเอาทุกอย่างจากตระกูลโตเล็กได้แน่นอน?
แต่ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเจริญไชย?
ตั้งแต่ต้นจนจบนรมนไม่เข้าใจสักนิดเดียว
เธอรู้สึกปวดหัว งั้นก็ไม่ต้องคิดดีกว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เธอคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบ ๆ ก็พอ
มีข้อความส่งเข้ามาในมือถือ เกี่ยวกับการแข่งขันรอบคัดเลือก นรมนเหลือบมอง อ่านข้อควรระวังบางอย่าง จากนั้นวางลง
กมลกับกิจจายังอยู่ในโรงพยาบาล กานต์อยากไปเยี่ยม นรมนจึงทำของอร่อยเล็กน้อย และไปโรงพยาบาลกับกานต์
ดูเหมือนกิจจายังไม่รู้สภาวะร่างกายของตนเอง พูดคุยยิ้มแย้มกับกมล
มองเห็นลูกเป็นเช่นนี้ นรมนเจ็บปวดเหมือนมีเข็มทิ่มแทง
“กิจจา หม่ามี้ทำซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานที่ลูกชอบกินที่สุดมาให้ ถึงแม้จะกินของมันมากเกินไปไม่ได้ แต่ลูกกินจะนิดหน่อยดีไหมจ๊ะ?”
นรมนเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกิจจามองเห็นนรมนกับกานต์เข้ามาก็ดีใจสุด ๆ
“ครับ หม่ามี้ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น”
เดิมทีกมลเป็นคนกินเก่งแต่ครั้งนี้กลับไม่คิดจะแย่งกินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนเรื่องครั้งนี้จะทำให้เด็กคนนี้โตขึ้นมาบ้าง
นรมนวางกระติกน้ำร้อนไว้บนตู้
กานต์เดินเข้าไปกอดกิจจา และกล่าวเสียงเบาว่า: “พี่ จากนี้ผมจะปกป้องพี่เอง”
“คำนี้นายพูดตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเราเจอกันแล้ว วางใจเถอะ ฉันเป็นพี่ชาย ฉันจะปกป้องพวกนายเอง”
กิจจาดันกานต์ออก แววตาที่มีความจริงใจทำให้กานต์รู้สึกอยากร้องไห้
“พี่ พรุ่งนี้ผมต้องไปแล้ว อาจมารับพี่ออกจากโรงพยาบาลไม่ได้”
มือของนรมนชะงักไป
กานต์จะไปแล้ว?
ทำไมเธอถึงไม่รู้เลย?
“กานต์ ตัดสินใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมหม่ามี้ไม่รู้เรื่อง?”
“หม่ามี้ ผมพูดกับคุณปู่สามแล้วครับ ไปพรุ่งนี้ ทางฝั่งเขตทหารเร่งมา หลังจากผมไปแล้ว อาจจะได้กลับมาแค่วันเสาร์วันเดียว วันอาทิตย์ตอนเที่ยงต้องกลับไป แต่ถ้าที่บ้านมีเรื่องอะไร หม่ามี้จะต้องบอกผมนะครับ”
กานต์คิดอยู่นานมากถึงจะตัดสินใจเช่นนี้
ตอนนี้เขาเป็นเพียงคนเดียวในตระกูลโตเล็กที่ร่างกายแข็งแรง เขาจะต้องถือโอกาสตอนนี้เรียนรู้ทักษะ เพื่อปกป้องพี่ชายและน้องสาวให้ดี
กิจจารู้สึกอิจฉา กล่าวเสียงเบาว่า: “ฉันบาดเจ็บอยู่ ไม่อย่างนั้นฉันจะไปกับนายด้วย จะได้มีเพื่อน”
กานต์กล่าวด้วยรอยยิ้ม: “พี่ พวกเราสองพี่น้องสมัครเป็นทหารหมดไม่ได้ ตอนนี้พี่ไม่ได้เรียนแพทย์กับมิลินหรือไง?หลังจากนี้ก็รับทรัพย์สมบัติของตระกูลพวกเราไปจัดการดูแลซะ ชีวิตนี้ฉันอาจจะไม่สามารถถือครองได้ ถ้าพี่ไม่ถือครอง แด๊ดดี้คงเหนื่อยแย่เลย เดาว่าหม่ามี้คงไม่มีความสุข จริงไหม?”
นรมนถลึงตาใส่เขา แต่ยังคงหัวเราะออกมา
กิจจาแปลกใจ รีบกล่าวว่า: “ ฉันไม่ต้องการ ฉันเป็นหมอก็พอแล้ว กานต์รับธุรกิจของตระกูลไปสานต่อเถอะ”
ฉันไม่ต้องการ ฉันตัดสินใจว่าจะพัฒนาเขตทหาร พี่ พี่อย่าบ่ายเบี่ยงเลย พี่ก็รู้ ฉันไม่ได้สนใจธุรกิจพวกนี้ พี่ให้ฉันมารับช่วง ฉันคงจะทุกข์ใจแย่ ฉันอยู่ข้างนอกสบายใจกว่า”
คำพูดของกานต์ทำให้กิจจานิ่งไป
“แต่ว่า……”
“โธ่เอ๊ย ไม่ต้องแต่แล้ว เอาแบบนี้แหละ ฉันไม่อยู่บ้าน พี่ก็ดูแลหม่ามี้กับน้องสาวให้ดี ๆ ฝากด้วยนะ”
กานต์ยิ้มอย่างสบายใจสุด ๆ
เห็นเขาดีใจเช่นนี้ ในที่สุดกิจจาจึงพยักหน้า
“ได้ ส่งเรื่องในบ้านมาให้ฉัน”
นรมนมองพี่น้องสองคนนี้ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่านี้ไม่ใช่เด็กสองคน แต่เป็นเด็กวัยรุ่นหรือว่าไม่จริง
ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นนี้ ที่สุดแล้วความคิดความอ่านของพวกเขาโตกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก
กมลเงียบมาตลอด นี่ทำให้นรมนรู้สึกไม่ค่อยชิน
“กมล ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ลูกกินสักชิ้นสิ?”
นรมนคีบให้เธอชิ้นหนึ่ง
กมลส่ายหน้าและกล่าวว่า: “เอาไว้ให้พี่ใหญ่กินดีกว่าค่ะ ต่อจากนี้หนูจะเอาเนื้อของตัวเองให้พี่ใหญ่กิน ให้พี่ใหญ่สุขภาพแข็งแรง”
กิจจายิ้มสดใสทันที
“ไม่ต้องหรอก ฉันกินชิ้นเดียวก็พอแล้ว เธอรีบกินเถอะ ฉันชอบดูเวลาเธอกิน รู้สึกเจริญอาหารมาก ถ้าเธอไม่กิน ฉันก็กินไม่ลงนะ”
ได้ยินกิจจาพูดเช่นนี้ กมลรีบถามทันที จริงเหรอ?”
“แน่นอนจริงสิ ถ้าเธอไม่กิน ฉันก็กินไม่ลงหรอก พวกเรากินกันคนละชิ้นดีไหม?”
“ได้เลย”
กมลรีบยื่นมือออกไป
นรมนมองเห็นกมลเชื่อฟังกิจจาเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกวางใจ
กานต์กับนรมนอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง จึงพากานต์กลับ
ในเมื่อที่นี่มีธิดาอยู่ เธอจึงไม่กลัวว่าพวกเขาจะเกิดอันตรายใด ๆ
กานต์คิดอยู่บนรถนานสองนาน สุดท้ายจึงเอ่ยถามออกมา
“หม่ามี้ หม่ามี้ถือโทษผมหรือเปล่า?”
“หือ จะถือโทษลูกทำไม?”
นรมนมองลูกชาย ในใจรู้สึกสบาย ๆ
กานต์กัดริมฝีปากล่างและกล่าวว่า: “ จู่ๆ ผมก็จะไปเขตทหาร หม่ามี้ไม่ถือโทษผมเหรอครับ?”
“ทำไมต้องถือโทษลูกด้วยล่ะ?ลูกมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความปรารถนาอันแรงกล้าเป็นของตัวเอง หม่ามี้มีความสุขเหลือเกิน ทำไมต้องถือโทษลูกด้วย?”
ได้ยินนรมนพูดแบบนี้ กานต์ถึงจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาฟุบลงบนตัวของนรมนอย่างออดอ้อน กล่าวด้วยรอยยิ้ม: “หม่ามี้ หม่ามี้ดีกับผมแบบนี้ เดี๋ยวผมก็ลำพองใจหรอก”
ไม่เป็นไร ลูกชายของหม่ามี้มีความลำพองใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่สละสิทธิ์การสืบทอดทรัพย์สมบัติของตระกูล ลูกคิดดีแล้วใช่ไหม?”
ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นการตัดสินใจของบุริศร์ แต่นรมนยังอยากฟังความต้องการของกานต์
กานต์พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจังกล่าวว่า: “ตัดสินใจแล้วครับ ผมสามารถสร้างโลกที่ผมต้องการได้ พี่ใหญ่ทำเพื่อกมลจนกลายเป็นแบบนี้ ถึงแม้ต่อจากนี้จะสามารถพักฟื้นได้ แต่จะฟื้นคืนกลับมาเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ ถ้าอนาคตเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองชลธี ก็จะไม่มีใครกล้ารังแกเชา นี่คือสิ่งที่กมลติดค้างเขา”
นรมนชื่นใจอย่างยิ่งที่กานต์คิดเช่นนี้ เพียงแต่เธอลูบหัวกานต์ กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า: “ระหว่างพี่น้องไม่มีอะไรติดค้างกัน ถ้าลูกคิดอย่างนี้ ก็ไม่ได้เห็นว่าเขาเป็นพี่น้องจริง ๆ ต่อจากนี้อย่าพูดคำพูดแบบนี้ หม่ามี้รู้ว่าลูกทำเพื่อเขา ต่อจากนี้ถ้ากิจจามีอะไรที่ต้องการให้ลูกช่วย ลูกอย่าบอกปัดเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“เข้าใจครับ”
นรมนมองกานต์ด้วยความสงสาร รู้สึกว่าตั้งแต่กลับมาในประเทศตนเองใช้เวลากับลูกชายน้อยลงเรื่อย ๆ ในตอนนี้เขาจะต้องไปเขตทหารในวันพรุ่งนี้ หลังจากนี้ต้องรับผิดชอบกึ่งทหาร ถ้าอยากเจอต้องรอหนึ่งอาทิตย์
คิดถึงตรงนี้ นรมนรู้สึกทุกข์ใจและทำใจไม่ได้อย่างยิ่ง
“หม่ามี้จำได้ว่าลูกชอบเล่นเกมมากใช่ไหม?”
อยู่ดี ๆ นรมนก็เอ่ยขึ้นมา กลับทำให้กานต์งงงวย
“ผมชอบมาตลอดแหละ หม่ามี้ หม่ามี้คงจะไม่ได้อยากเล่นเกมกับผมสักตาใช่ไหม?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เพียงแต่หม่ามี้ไม่ชอบให้ลูกเล่นมือถือ พวกเราไปเล่นวิดีโอเกมที่ร้านเกมดีไหม?หม่ามี้ไม่เชื่อหรอก ว่าแบบนี้แล้วหม่ามี้จะยังแพ้ลูกได้?”
นรมนไม่ถนัดเล่นเกมมือถือ เพราะตามความเร็วมือไม่ทัน หากเล่นเกมมือถือกับกานต์ เดาว่าคงจะถูกลูกชายดูถูกแย่เลย
เพียงแค่เครื่องเล่นวิดีโอเกมนั้นไม่เหมือนกัน เธอเล่นบ่อยตอนเป็นเด็ก
กานต์มองเห็นแววตาท้าทายของนรมน จึงอดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้ : “ได้เลย หม่ามี้อยากเล่นอะไรก็เล่นอันนั้นแหละ”
“นี่ลูกพูดเองนะ ถ้าหม่ามี้ชนะ ลูกอย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งนะ”
“หม่ามี้ มันก็ไม่แน่หรอกว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”
กานต์มั่นใจเต็มร้อย
นรมนฉีกยิ้ม ขับรถพากานต์ไปร้านเกมขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง
ที่นี่มีวัยรุ่นเยอะมาก คนที่พาลูกชายมาเล่นเกมอย่างนรมนมีค่อนข้างน้อย
พนักงานแลกเหรียญเล่นเกมให้แก่พวกเขา
กานต์กับนรมนดูเครื่องเล่นวิดีโอเกมคร่าว ๆ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า หม่ามี้ หม่ามี้อยากเล่นเกมอะไรครับ
“เทพมวยดีไหม?”
“ครับ”
กานต์พยักหน้าอย่างไม่ลังเล
นรมนเดินเข้าไปอย่างมั่นใจเต็มร้อย หลังจากหยอดเหรียญลงไปก็เริ่มเล่นกับกานต์
เดิมทีเธอคิดว่าจะสามารถเอาชนะกานต์ได้ แต่หลังจากสองตาผ่านไป กานต์กลับเป็นฝ่ายที่เอาชนะเธอ
นรมนรู้สึกหดหู่ใจ
“ลูกเคยแอบหม่ามี้มาเล่นที่นี่ใช่ไหม?”
“เปล่านะครับ ผมสาบานได้ นี่เล่นครั้งแรก”
คำพูดของกานต์ทำให้นรมนไม่อยากเชื่อ
“นี่เล่นเป็นครั้งแรกเหรอ? ขี้โม้ หม่ามี้เล่นมาเป็นสิบยี่สิบปี คิดไม่ถึงว่าจะเล่นสู้ลูกไม่ได้เลย?”
“จริงนะครับ หม่ามี้ บางคนเกิดมามีไอคิวสูง ผมเองก็จนปัญญาครับ!”
นรมนกัดฟันอย่างโมโห
ลูกคนนี้เธอคลอดออกมาเองจริงเหรอเนี่ย?
กวนบาทาสุด ๆ หรือไม่จริง?
“ไปเถอะ เล่นอันอื่นบ้าง”
นรมนยังไม่เชื่อ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะเล่นสู้ลูกไม่ได้
กานต์หัวเราะเดินตามนรมนไป ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอเกมอะไร ตราบใดที่กานต์เล่น ก็เรียนรู้ทักษะได้ภายในสองเกม สุดท้ายก็เองชนะนรมนได้
นรมนกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งร้านเกมถูกดึงดูดด้วยสองแม่ลูกคู่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการเล่นยอดเยี่ยมของกานต์ยิ่งได้รับเสียงปรบมือจากทุกคนจากชัยชนะ
นรมนทั้งดีใจและทั้งหดหู่ใจ
ในขณะนั้นเอง มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเดินตรงมาที่พวกเขา
“เฮ้ ไอ้น้อง พวกเรามาเล่นกันสักตา คนแพ้ต้องเห่าเป็นหมาและคลานออกไป ว่าไง? กล้าไม่กล้า?