แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1258 ร่างกายของหนูไม่อนุญาต
นรมนส่ายหน้าเล็กน้อย
“คุณชายธเนศพลเป็นเพื่อนของคุณ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของเขาในตอนนี้เขาอาจจะมีเรื่องสงวนไว้สำหรับคุณ แต่ฉันเชื่อว่าในเรื่องนี้นั้นเขาไม่มีทางหลอกคุณหรอก เพียงแต่แค่อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าบางทีข้างในนี้อาจจะมีเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจอีก และเรื่องที่ไม่เข้าใจนี้บางทีอาจจะเป็นเรื่องสำคัญก็ได้”
นรมนพูดตามสถานการณ์ขึ้นมา
สำหรับธเนศพลนั้น เธอไม่ค่อยเข้าใจ และก็ไม่เคยเจอด้วย เพียงแต่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาไม่กี่ครั้ง เพราะฉะนั้นตกลงคนคนนี้เป็นคนยังไงเธอก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่ว่าบุริศร์ก็ไปหาธเนศพลตอนที่ยากลำบากที่สุด และอีกอย่างยังบอกสถานการณ์ของตัวเองให้กับเขา งั้นก็เห็นได้ชัดว่าธเนศพลคนนี้เป็นคนที่บุริศร์เชื่อมั่นได้
แน่นอนว่าคนที่บุริศร์เชื่อมั่นก็คงจะไม่ได้แย่ไปถึงไหนแน่
นรมนนี่คือกำลังสนับสนุนและปกป้องบุริศร์อยู่
หัวคิ้วของบุริศร์ขมวดเข้าด้วยกันแน่น แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองเงียบขรึมกันไปชั่วครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยังเป็นบุริศร์ที่ทำลายความเงียบลง
“นรมน ผมอยากจะไปหมู่บ้านดารายนสักเที่ยว บางทีคำตอบของเรื่องราวมากมายอาจจะหาได้จากที่นั่น”
“ได้ค่ะ”
นรมนเดาออกได้ตั้งนานแล้วว่าต้องเดินทางในครั้งนี้ พอมาตอนนี้ก็ไม่มีอะไรอิดออด และอีกอย่างกมลก็มีภารกิจอะไรต้องไปหมู่บ้านดารายนด้วย ก็พอดีเลยทุกอย่างจะได้ลงตัวพอดี
“แต่ว่าร่างกายของกานต์เหมือนกับว่ายังจะไม่ค่อยดี ครั้งนี้อย่าเขาไปเลยนะคะ สภาพเขาในตอนนี้ต้องการการพักฟื้น อยู่ที่นี่ฉันยังไม่วางใจเลย ยิ่งจะมาเดินทางไกลกับเราได้ยังไง หรือไม่ก็ให้อยู่ที่ฐานใหญ่สหภาพQTไปก่อน จะได้มีคนมากมายช่วยดูแล แถมยังมีวินเซนต์ด้วย ฉันรู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยมากกว่าหน่อยหนึ่งนะ”
ในเมื่อนรมนเป็นแม่คนหนึ่ง สำหรับลูกแล้วก็ยังเป็นห่วงเป็นใยอยู่
บุริศร์พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ให้กานต์อยู่ที่นี่ก็ดี พอดีเลยจะได้ช่วยจิ้งจอกเงินสืบค้นเรื่องราวในตอนนั้นและเบาะแสปัจจุบันของอารองตระกูลทวีทรัพย์ธาดา จากที่คุณชายธเนศพลพูดมา มีความเป็นไปได้สูงมากที่อารองตระกูลทวีทรัพย์ธาดาจะอยู่ที่ประเทศF ในส่วนนี้ผมต้องการฝีมือของกานต์และจิ้งจอกเงิน ในเมื่อตอนนี้ประเทศFได้มีการป้องกันแน่นหนา แล้วพวกเราก็เข้าไปไม่ได้”
นรมนพยักหน้าเล็กน้อย
“ยังไงก็ต้องให้กานต์พักผ่อนเยอะ ๆ ในเมื่อเขาบาดเจ็บอยู่ และอีกนิดเดียวก็เกือบจะโดนที่หัวใจแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว นรมนก็รู้สึกโกรธขึ้นมา แล้วก็แทบอยากจะตบธิดาวีร์อีกหลาย ๆ ฉาด
“อ๋อใช่แล้ว นาวินฟื้นขึ้นมาหรือยังคะ?”
“ยังไม่ฟื้นเลย หมอบอกว่าความอยากจะมีชีวิตอยู่ของนาวินมีไม่มากเท่าไหร่”
บุริศร์ถอนหายใจทีหนึ่ง เขานั้นเข้าใจนาวินดี
ความรู้สึกที่มีต่อธิดาวีร์ลึกซึ้งมาแค่ไหน ตอนนี้นาวินก็เจ็บมากแค่นั้น
ตั้งแต่เล็กจนโต นาวินแทบจะมีชีวิตอยู่เพื่อธิดาวีร์มาทั้งนั้น หนำซ้ำเพื่อธิดาวีร์แล้ว เขายังวางความโกรธแค้นที่มีต่อตระกูลโตเล็กลงด้วยซ้ำ และอยากจะอยู่ไปจนแก่เฒ่าพร้อมกับเธอ หรือกระทั่งเพื่อธิดาวีร์แล้วยังยอมไปต่อสู้ฝ่าฟัน แต่ว่าความพยายามทั้งหมดสุดท้ายแล้วกลับกลายมาเป็นแค่ด้านเขาแค่ฝ่ายเดียว
ผู้หญิงคนนั้นที่เขาประคบประหงมไว้ในมือตลอดกลับเอามีดแทงมาที่หัวใจเขาอย่างไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด เปลี่ยนเป็นใครก็คงจะแบกรับไว้ไม่ไหวหรอก
นรมนเองก็ถอนหายใจตามไปด้วยแล้วก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ความรักนี้ รักลึกซึ้งเกินไป ก็จะทำให้คนเจ็บได้ง่าย”
“ความรัก ตั้งแต่แรกก็เป็นดาบสองคมอยู่แล้ว ก็ดูที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถควบคุมไว้ได้หรือเปล่า เหมือนกับผม ที่เมื่อห้าปีก่อนก็ได้ทำร้ายคุณ ทำร้ายตัวเองไปไม่ใช่เหรอ?”
พอบุริศร์นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าตอนนี้นรมนจะอยู่ข้างกายเขา ทุกวันนอนตื่นมายังสามารถเห็นเงาร่างจองเธอได้ แต่ว่าไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้นอาจจะกลายเป็นบาดแผลที่เจ็บที่สุดและลึกที่สุดในของใจบุริศร์ และแตะโดนง่าย ๆ ไม่ได้แล้ว
นรมนจ้องมองความรู้สึกผิดและความเสียใจในดวงตาบุริศร์ แล้วก็รีบเดินเข้าไปจับมือของเขาไว้ และพูดเสียงอ่อนโยนว่า “มันผ่านไปหมดแล้วค่ะ”
“คุณมักจะปลอบใจผมแบบนี้ แต่ว่าผมรู้ว่ามันผ่านไปไม่ได้ ถ้าเกิดไม่ใช่ผม คุณเองก็คงจะไม่กลายเป็นอย่างเช่นตอนนี้ ร่างกายของคุณก็คงจะแข็งแรงเป็นอย่างมาก ลูก ๆ ของเราก็คงจะไม่ต้องสูญเสียเวลาห้าปีที่จะได้อยู่กับพ่อไป มีบางครั้งตื่นมากลางดึกผมยังรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างมาก ของคุณสวรรค์ที่ยังส่งพวกคุณสามแม่ลูกกลับมาอยู่ข้างกายผมอีกครั้ง หรือกระทั่งผมยังรู้สึกว่าถึงจะต้องเสียทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลไปเพื่อแลกกับความปลอดภัยของพวกคุณ ผมก็จะไม่เสียดายอะไรเลย ยังดี ที่ตอนนี้คุณยังอยู่ ยังดีที่ทุกอย่างยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ นรมน ผมกลัวว่าจะต้องสูญเสียคุณไปมากจริง ๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวไม่ได้นะรู้ไหม?”
พูดไปพูดมา บุริศร์ก็พูดวกกลับมาที่หัวข้อนี้อีกแล้ว
นรมนรู้ว่า เรื่องที่ตัวเองทำให้เขาสงบไปแล้วไปเผชิญหน้ากับธิดาวีร์คนเดียวนั้นทำให้เขามีภาพฝังใจที่ลึกซึ้งมาก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ได้ เรื่องของธิดาวีร์นั้นเป็นเพราะว่าฉันคิดวิเคราะห์น้อยไป ฉันรับรองว่าจะไม่เป็นอย่างนี้อีกแล้ว”
“ผมจำการรับรองของคุณไว้แล้วนะ ถ้าหากครั้งหน้าคุณยังเป็นอย่างนี้อีก ก็ให้สวรรค์ลงโทษผมเลย”
คำพูดของบุริศร์เพิ่งจะจบลง นรมนก็ยื่นมือไปปิดปากของเขาไว้ แล้วก็พูดอย่างโกรธเล็กน้อยขึ้นมาว่า “คุณพูดไปเรื่อยอะไร”
“ผมรู้ว่าคุณเห็นผมสำคัญมากกว่าตัวคุณเอง และเพื่อไม่ให้คุณทำเรื่องโง่ ๆ อีก ผมก็เลยยอมใช้ตัวเองมาเป็นตัวพนัน มีแต่แบบนี้เท่านั้นคุณถึงจะทำตัวดี ๆ ได้”
ดวงตาของบุริศร์สว่างแวววาว นรมนกลับไม่กล้าที่จะสบตาด้วยเล็กน้อย
เธอเบือนหน้าหนีไป ในแววตากลับมีคราบน้ำตาระรื่นขึ้นมา
ความรักของผู้ชายคนนี้ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก จนทำให้เธอจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
ทั้งสองคนอิดออดกันไปอีกพักหนึ่ง แล้วบุริศร์ก็ออกคำสั่งไปว่าให้เตรียมเครื่องบินส่วนตัวเพื่อไปหมู่บ้านดารายนอีกครั้ง
ก่อนที่จะออกเดินทาง บุริศร์กับนรมนยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย
นรมนมาถึงห้องของกานต์
ไม่รู้ว่าเด็ก ๆ ทั้งสามคนกำลังพูดอะไรอยู่ ท่าทางดูสมัครสมานสามัคคีกันมาก
ตอนที่เห็นนรมนเข้ามานั้น กมลก็คลี่ยิ้มออกมาทันที
“หม่ามี้ หม่ามี้กับแด๊ดดี้จู๋จี๋กันเสร็จแล้วเหรอคะ?”
นรมนเกือบจะโดนน้ำลายตัวเองสำลักเข้าแล้ว
“กมล หนูรู้จักศัพท์คำว่าจู๋จี๋นี้มาไหนกัน?”
“ห๋า? หรือว่าไม่ควรใช้แบบนี้เหรอ? แต่ว่าในละครมันก็อย่างนี้นี่คะ”
กมลกะพริบตาดวงโต ๆ ของตัวเองไป แล้วทั้งหน้าก็มีแต่ความสงสัยและไม่รู้เรื่อง
กานต์จ้องมองนรมนอย่างหมดคำพูดแล้วพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้กมลกำลังดูละครแนวชีวิตอยู่”
“ละครอะไรนะ?”
นรมนรู้สึกว่าโดนสะกดนิ่งไปเลย
เด็กที่อายุห้าขวบคนหนึ่งดูละครแนวชีวิตแล้วเหรอ นี่มันเป็นเรื่องจริงจังเหรอ?
กานต์พยักหน้าขึ้นอย่างเบื่อหน่ายแล้วพูดขึ้นว่า“ละครชีวิต พวกคุณอาเจ็ดคุณนายแปดอะไรพวกนั้น น่าจะดูที่บ้านคุณลุงคริชณะมา แล้วยังดูไม่จบ พอกลับมาแล้ววัน ๆ ก็เอาแต่ถือแท็บเล็ตดูอยู่นั่นแหละ”
กมลรีบพยักหน้าพูดขึ้นว่า “ใช่ค่ะ สนุกมากเลยนะคะ คุณป้างามสุดาดูทุกวันเลยค่ะ”
นรมนรู้สึกหมดคำพูดอยู่บ้าง
“หนูไม่ควรจะต้องดูการ์ตูนเหรอ?”
“อุ๊ย พวกนั้นมันไม่มีความหมายเลยค่ะ”
กมลพูดไปอย่างผู้ใหญ่ตัวเล็กคนหนึ่ง
สำหรับการเลือกแบบนี้ของลูก นรมนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรดี จึงได้แต่รีบเปลี่ยนหัวข้อพูดไปอย่างรวดเร็ว “คือว่าหม่ามี้กับแด๊ดดี้เตรียมตัวจะออกเดินทางแล้ว เพราะฉะนั้นหนูกับกิจจาไปเก็บของสักหน่อยนะ”
“ไปไหนคะ?”
กมลถามขึ้นอย่างอัตโนมัติ
นรมนกลับไม่ได้ตอบ เพียงแต่แค่หัวเราะและก็พูดขึ้นว่า “ไม่ว่าจะไปที่ไหน หนูก็ชอบออกไปท่องเที่ยวไม่ใช่เหรอ? ครั้งนี้แด๊ดดี้กับหม่ามี้จะพาหนูไปเล่นซะให้พอเลย?”
“ดีค่ะ! แต่ว่าตอนนี้พี่เป็นอย่างนี้อยู่จะทำยังไงคะ?”
กานต์เองก็มองไปที่นรมน แล้วรู้สึกว่าหม่ามี้น่าจะมีคำพูดอะไรพูดกับตัวเอง จากนั้นก็พูดกับกมลและกิจจาขึ้นว่า “พี่ กมล พวกเธอไปเก็บของเธอ เดี๋ยวหม่ามี้จะจัดการให้เอง”
“งั้นก็ได้ค่ะ พี่พักผ่อนดี ๆ นะคะ”
ดวงตาของกมลมีแววดีใจผาดผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง
ขอแค่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ก็จะสามารถมุ่งหน้าไปหมู่บ้านดารายนได้อย่างรวดเร็วแล้ว งั้นเรื่องตัวเองที่รับปากกับพี่ดนัยไว้ก็จะสามารถจัดการให้เสร็จได้เร็วขึ้นแล้ว
หลังจากที่เด็กทั้งสองคนจากไปแล้ว ตอนที่ในห้องเหลือแต่กานต์และนรมนนั้น กานต์ก็พูดขึ้นอย่างหดหู่เล็กน้อยว่า “หม่ามี้ แด๊ดดี้กับหม่ามี้กะว่าจะไม่พาผมไปด้วยใช่ไหมครับ?”
พอเห็นท่าทางที่เสียใจเหล่านั้นของลูกชาย ในใจของนรมนก็เป็นทุกข์อยู่เหมือนกัน
“กานต์ ขอโทษนะจ๊ะ แด๊ดดี้กับหม่ามี้มีเรื่องที่จะต้องไปทำ และอีกอย่างตอนนี้บาดแผลของหนูก็ไม่เหมาะกับการเดินทางไกล”
“ผมรู้ครับ หม่ามี้ไม่ต้องขอโทษผมหรอก หม่ามี้ หม่ามี้มีเรื่องอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ?”
ถึงแม้ว่ากานต์จะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นกับแด๊ดดี้และหม่ามี้ แต่ว่าก็รู้สภาพร่างกายของตัวเองเขาก็ชัดเจนดี ถ้าหากว่าแผลเปิดขึ้นมา คาดว่าแด๊ดดี้กับหม่ามี้จะต้องเป็นกังวลแน่
ท่องเที่ยวต่อไปมันยังมีโอกาสอีก แต่ในเมื่อร่างกายเป็นของตัวเอง ยังไงเขาก็เชื่อฟังคำสั่งของแด๊ดดี้กับหม่ามี้ดีกว่า
พอเห็นลูกชายรู้เรื่องขนาดนี้ นรมนก็รู้สึกว่ารู้สึกติดค้างกานต์อยู่เล็กน้อย
เธอนั่งลงข้างกายกานต์ แล้วก็เอามือเล็ก ๆ ของเขามากุมไว้ในมือตัวเอง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “กานต์ หนูมักจะรู้เรื่องมากขนาดนี้ มันทำให้หม่ามี้ปวดใจมากเลย หม่ามี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนูจะสามารถอ้อนในอกหม่ามี้ โกรธ หรือว่าจะร้องไห้สักครั้งก็ยังดี ท่าทางที่หนักแน่นของหนูในตอนนี้มีแต่จะทำให้หม่ามี้รู้สึกว่าหนูโตก่อนวัยจนทำให้คนปวดใจ”
กานต์กลับอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “หม่ามี้ ถ้าผมร้องไห้ขึ้นมาครั้งหนึ่งหรือว่าโมโหโวยวายขึ้นมา หม่ามี้กับแด๊ดดี้ก็จะผมไปด้วยเหรอครับ?”
“แบบนั้นไม่ได้ ร่างกายของหนูยังไม่อนุญาต”
นรมนรีบส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น
กานต์ยักไหล่แล้วพูดขึ้นว่า “เพราะฉะนั้น ในเมื่อผลก็ออกมาเหมือนกัน งั้นถ้าผมจะร้องไห้ครั้งหนึ่งหรือว่าโมโหโวยวายสักรอบมันจะไปมีความหมายอะไร? ในเมื่อไม่มีความหมาย ผมจะเสียแรงกายแรงใจไปครั้งหนึ่งทำไม? ยังสู้จัดการเรื่องราวอย่างฉลาด และคิดถึงเรื่องราวต่อไปไม่ดีกว่าเหรอ”
พอได้ยินลูกชายพูดแบบนี้แล้ว ใจของนรมนก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ดูซิ นี่มันเหมือนคำพูดของเด็กห้าขวบคนหนึ่งซะที่ไหน
แต่ว่านรมนเองก็รู้ ว่าสิ่งที่กานต์พูดมานั้นก็อยู่ในหลักการ เพียงแต่ว่าเขาแค่ค่อนข้างมีเหตุมีผล ค่อนข้างหนักแน่นเท่านั้น
นรมนถอนหายใจทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “กานต์ หนูมักจะเป็นอย่างนี้ เหมือนกับแด๊ดดี้หนูมากเลยนะ”
“ก็ผมเป็นลูกของคุณบุริศร์ ถ้าไม่เหมือนเขาก็เหมือนกับว่าจะพูดผ่านไปไม่ได้แล้วนะ”
เอาเถอะ นรมนรู้สึกว่าตัวเองพูดคุยกับลูกชายยังไงก็เหมือนกับว่าจะไม่มีทางชนะ ก็เลยไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว แล้วก็พูดขึ้นตรง ๆ เลยว่า “แด๊ดดี้ของหนูหวังว่าหนูกับจิ้งจอกเงินจะสามารถช่วยสืบค้นเรื่องอารองตระกูลทวีทรัพย์ธาดาของหม่ามี้หน่อย เบาะแสที่รู้ในตอนนี้คือเขาอาจจะอยู่ที่ประเทศF และอีกอย่างสถานการณ์อาจจะไม่ดีเอามาก ๆ อย่างอื่นก็ไม่รู้อะไรแล้ว หม่ามี้รู้ว่าเรื่องนี้อาจจะทำให้หนูลำบาก ในเมื่อหนูยังเป็นป่วยอยู่ แต่ว่าตอนนี้นอกจากหนูและจิ้งจอกเงินแล้ว ถ้าให้คนอื่นไปสืบค้น หม่ามี้กับแด๊ดดี้ก็จะไม่วางใจ ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์ของบ้านเราค่อนข้างพิเศษอยู่”
นรมนรู้ว่าสำหรับกานต์แล้วจะมาใช้วิธีที่เลี้ยงเด็กทั่วไปมองเขาไม่ได้ ก็เลยเอาเรื่องทั้งหมดเปิดเผยกับเขาไปเลย
กานต์ฟังไปอย่างเงียบ ๆ หัวคิ้วย่นขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่นรมนพูดจบแล้ว เขาก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “หม่ามี้ ทำไมคุณปู่รองถึงไปที่หมู่บ้านดารายนล่ะครับ?”
“และนี่ก็คือจุดที่หม่ามี้และแด๊ดดี้ของหนูสงสัยเหมือนกัน และอีกอย่างเวลาของตอนนั้นก็เหมือนกับว่าจะไม่ค่อยถูกต้องเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลย เพราะฉะนั้นหม่ามี้กับแด๊ดดี้ก็เลยกะว่าจะไปที่หมู่บ้านดารายนอีกครั้ง”
คำพูดของนรมนทำให้หัวคิ้วของกานต์ขมวดกันแน่นขึ้น เหมือนกับว่าจะนึกอะไรออก และก็เหมือนกับว่าจะนึกไม่ออก