แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1262 ธูปนี้มีปัญหา
บุริศร์คิ้วขมวดเบาๆ นรมนก็มองกระจกหลังตามสัญชาตญาณ มีรถเก๋งสีดำตามหลังพวกเขาจริง ขับไม่ช้าไม่เร็ว เหมือนเป็นเงาติดตาม
นรมนกับบุริศร์สบตากัน พยักหน้าอย่างรู้กันทั้งสองฝ่าย
บุริศร์นำกมลมากอด ส่วนนรมนก็นำกิจจามากอดเอาไว้
“แด๊ดดี้?”
“หม่ามี้?”
กิจจากับกมลงุนงงพร้อมกัน
“นอนไปนะจ๊ะ”
นรมนยิ้มบางๆ กิจจาพยักหน้า หลับตาลงและหลับไปในอ้อมแขนของนรมน ส่วนกมลเห็นกิจจาหลับไป เดิมทีง่วงอยู่แล้วจึงฟุบหลับไปบนตัวของบุริศร์
“ขับตรงไป!กลับรถทางแยกข้างหน้า”
เสียงของบุริศร์ไม่ดัง แต่คนขับได้ยินชัดเจน
รถยังคงขับเกาะถนนอย่างมั่นคง เมื่อถึงทางแยกข้างหน้า คนขับหักเลี้ยวกะทันหัน และเบรกรถอย่างรีบร้อน ส่วนรถด้านหลังเหมือนกับไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ รีบเหยียบเบรกภายใต้สถานการณ์คับขัน น่าเสียดายกลับไม่ทันการ
“โครม” รถชนเข้ากับรั้วข้างทาง เกิดเสียงดังสนั่น
รถของบุริศร์เลี้ยวกลับมาแล้ว ขับแฉลบผ่านด้านข้างของรถด้านหลังไป
เนื่องจากท้องฟ้าค่อนข้างมืด นรมนจึงมองอีกฝ่ายในรถไม่ชัดว่าเป็นใคร แค่รู้สึกว่ามีสายตาหม่นหมองติดตามพวกเขา ทำให้อึดอัดมาก
นรมนขมวดคิ้ว ก็ได้ยินบุริศร์พูดขึ้น “เลี้ยวซ้ายข้างหน้า เปลี่ยนรถหลังจากเข้าไปในซอย”
“ครับ ประธานบุริศร์”
คนขับรีบนำมือถือออกมาติดต่อ
นรมนไม่ได้ถามอะไร เงียบสงบสุดๆ แต่เต็มไปด้วยความตื่นตัว เอาแต่มองออกไปข้างนอก
รถที่สะกดรอยตามคันนั้นไม่ได้ตามมาอีก หลังจากบุริศร์กับนรมนเปลี่ยนรถในซอยก็ตรงไปสนามบิน
ที่นั่นมีเครื่องบินส่วนตัวจอดรออยู่ เมื่อเห็นบุริศร์กับนรมนมาถึง พวกเขาก็เปิดประตูเครื่องบินอย่างรวดเร็ว ออกแรงดึงบุริศร์กับนรมนและคนอื่นขึ้นไปทันที
หลังจากเครื่องบินบินขึ้นไป นรมนถึงจะเอ่ยถาม “รถที่สะกดรอยตามพวกเราเป็นใคร?”
“ไม่รู้สิ”
บุริศร์ส่ายหน้า สีหน้าเคร่งขรึม
คิ้วของนรมนขมวดยิ่งกว่าเดิม
“ฉันรู้สึกถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรคอยจ้องพวกเราตลอดทาง ฉันกล้ารับรองว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นมิตรกับพวกเรา”
“ไม่เป็นไรนะ มีผมอยู่ ผมไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับคุณและลูกๆ”
บุริศร์กุมมือปลอบโยนนรมน
นรมนกลับถอนหายใจเบาๆ “ฉันไม่ได้กลัวว่าจะมีอันตรายอะไร ฉันแค่แปลกใจ เขมทัตถูกพวกเราจับไปแล้ว ยังมีใครคิดจะสะกดรอยตามพวกเราอีก?จะเป็นกล้าณรงค์รึเปล่า?”
“ไม่มีทาง ตอนนี้กล้าณรงค์ยุ่งมาก ไม่มีทางมุ่งเป้ามาที่พวกเรา”
ในเมื่อบุริศร์พูดแบบนี้ แน่นอนว่าจะต้องรู้เบาะแสในปัจจุบันของกล้าณรงค์
นรมนไม่ได้ถามเรื่องนี้ แต่เอ่ยถามเบาๆ ว่า “น่าแปลก ยังมีใครคอยจ้องพวกเราอีก?”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ หลังจากพวกเราไปหมู่บ้านดารายนแล้วค่อยว่ากัน ถ้ามีคนคิดติดตามพวกเราความจริงจะเผยให้เห็นเอง”
ได้ยินบุริศร์พูดแบบนี้ นรมนทำได้เพียงพยักหน้า แต่พูดสิ่งที่นึกขึ้นได้ออกมา “จะเป็นคนของธนเดชรึเปล่า?”
“ไม่แน่ใจ ค่อยดูตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆ”
ทั้งสองคนจับมือกันแน่น ในขณะเดียวกันก็รู้ว่า การเดินทางไปหมู่บ้านดารายนครั้งนี้อาจจะไม่ค่อยราบรื่น
บุริศร์ไม่พักผ่อนตลอดทาง แต่กลับเร่งรัดให้นรมนหลับสักงีบ
นรมนไม่อาจต้านทานการเร่งรัดของบุริศร์ได้ จึงหลับตาพักผ่อน แต่ไม่รู้ว่าตนเองผล็อยหลับไปได้อย่างไร
เมื่อเธอตื่นขึ้นอีกครั้ง เครื่องกำลังจะลงจอด
เห็นสถานที่ที่คุ้นเคยแห่งนี้ อารมณ์ของนรมนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
คราวก่อนมาที่นี่ไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีก วันนี้ได้เหยียบลงบนผืนดินนี้อีกครั้ง นรมนไม่อาจพูดได้ชัดเจนว่าในใจรู้สึกอย่างไร
ส่วนบุริศร์ก็นิ่งไปมาก เหมือนกำลังคิดอะไร และเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่นัยน์ตาของเขามืดมนอยู่ตลอด ทำให้คนคาดเดาไม่ถูก
หลังจากพวกเขาลงจากเครื่องบิน ก็มีรถจอดรอพวกเขาที่สนามบิน
นรมนเห็นเครื่องแบบบอดี้การ์ดตระกูลโตเล็ก จึงอดถามไม่ได้ “คุณพาพวกเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“คราวก่อนหลังจากซื้อหมู่บ้านก็ส่งคนมา อย่างไรเสียที่นี่คือบ้านเกิดของเธอ”
บุริศร์อุ้มกมลลงจากรถก่อน
กมลอ้าปากหาว เห็นที่โล่งโกร๋นตรงหน้า กลับมีศาลบรรพบุรุษตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น จึงอดขยี้ตาถามไม่ได้ “แด๊ดดี้ ที่นี่ที่ไหนคะ?”
“หมู่บ้านดารายน”
เมื่อบุริศร์พูดออกมา นัยน์ตาของกมลส่องแสงทันที
“ที่นี่คือหมู่บ้านดารายนเหรอ? ไม่เหมือนกับที่หนูจินตนาการเอาไว้เลยสักนิด”
กมลผิดหวัง
ไม่ว่าอย่างไรหมู่บ้านดารายนก็คือหมู่บ้านหนึ่ง ทำไมถึงได้รกร้างแบบนี้?
กิจจากลับมองทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น ถามเสียงเบาว่า “แด๊ดดี้ นั่นคือทุ่งสมุนไพรเหรอครับ?”
เขาเรียนหมอ แน่นอนว่าค่อนข้างว่องไวในด้านนี้
นรมนนึกถึงคราวก่อนบุริศร์ได้อนุรักษ์ทุ่งสมุนไพรนี้เอาไว้ก่อนจากไป วันนี้เห็นกิจจาตื่นเต้นแบบนี้ จึงอดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ใช่จ้ะ นั่นคือทุ่งสมุนไพร ว่ากันว่ามีสมุนไพรหายากเยอะเลย”
“ผมเข้าไปดูได้ไหมครับ”
กิจจาดูต้องการมาก
บุริศร์พยักหน้า
ที่นี่คืออาณาบริเวณของเขา เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล แถมข้างกายยังมีบอดี้การ์ดของตระกูลโตเล็กมากมาย บุริศร์จึงวางใจ
เขาวางกมลลง
ขาสั้นๆ ของกมลวิ่งตามกิจจาเข้าไป
นรมนเป็นห่วงเล็กน้อย อยากตามเข้าไป กลับถูกบุริศร์ดึงมือไว้
“ให้พวกเขาเล่นกันเองเถอะ”
นรมนจึงพบว่าบุริศร์อารมณ์ไม่ค่อยดี
“คุณเป็นอะไรไป? ทำไมสีหน้าดูแย่แบบนี้?”
ในระหว่างพูดนรมนกำลังจะแตะหน้าผากของบุริศร์ กลับถูกเขาหลีกเลี่ยง
“ผมไม่เป็นไร แค่รู้สึกทุกข์ใจมาก เหมือนในหัวใจมีคนสะอื้นไห้นับไม่ถ้วน อึดอัดใจมาก”
บุริศร์ไม่ได้ปิดบังนรมน
เขาได้รับผลกระทบจากพิษของความทรงจำ เมื่อกลับมาเหยียบบนแผ่นดินของหมู่บ้านดารายนอีกครั้ง จึงอึดอัดใจสุดๆ ในหูเต็มไปด้วยเสียงร้องระทม ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแวบวาบในสมองไม่หยุด เสียงดังกึกก้อง สะเทือนประสาทสัมผัสทั้งห้า
นรมนรีบดูหยกเลือดตรงหน้าอกของบุริศร์
ภายในหยกเลือดเหมือนมีบางอย่างไหลเวียนอยู่ เห็นไม่ชัดเจน
“บุริศร์ หยกของคุณ……”
“นรมน ไปจุดธูปที่ศาลบรรพบุรุษเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
เสียงของบุริศร์กับนรมนดังขึ้นพร้อมกัน
“ได้”
เธอจับมือบุริศร์แน่น เดินตรงไปที่ศาลบรรพบุรุษ แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจและกระวนกระวาย
นรมนไม่รู้ว่าตนเองไม่สบายใจเรื่องอะไร และไม่รู้ว่าทำไมตนเองต้องกระวนกระวาย แต่ความรู้สึกสองอย่างนี้ติดค้างในใจทำให้เธอยิ่งเข้าใกล้ศาลบรรพบุรุษก็ยิ่งรู้สึกตึงเครียด
“บุริศร์!”
ฝีเท้าของเธอหยุดลงที่ประตูศาลบรรพบุรุษ คว้าข้อมือของบุริศร์เอาไว้แน่น
“เป็นอะไรไป?”
บุริศร์หน้าขาวซีด ริมฝีปากก็ขาวซีดไปด้วย รู้สึกเหี่ยวแห้งและโศกเศร้ามาก
จู่ๆ นรมนก็พูดไม่ออก คำพูดที่ไม่อยากให้เขาเข้าไปค้างอยู่ที่ลำคอ ติดอยู่กลางอากาศ
“เปล่า คุณอยากสูดลมหายใจเข้าลึกกับฉันสักสามครั้งไหม?ฉันได้ยินว่าเวลากดดันถ้าสูดลมหายใจเข้าลึกสามครั้งจะดีขึ้น”
นรมนมองบุริศร์และพูดเสียงเบาออกมา น้ำเสียงมีความเป็นห่วง
เดิมทีบุริศร์คิดจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่เห็นสายตาเป็นห่วงของนรมน จึงอดพยักหน้าไม่ได้
“อืม”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกสามครั้งต่อหน้านรมน รู้สึกได้ว่าความกดดันในใจดีขึ้นมาจริงๆ จึงจูงมือนรมนเดินเข้าไป
เรื่องการซ่อมแซมศาลบรรพบุรุษ ตอนแรกบุริศร์ให้โสธรเป็นคนไปทำ ถึงแม้โสธรจะกลับเมืองชลธีไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องนี้อย่างลวกๆ และหละหลวม ดังนั้นหลังจากบุริศร์กับนรมนเข้าไป ก็พบว่าศาลบรรพบุรุษเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
แผ่นจารึกของป้าโอจัดวางอยู่ภายในศาลบรรพบุรุษเรียบร้อย
บุริศร์มองแผ่นจารึกของเธอ ในสมองนึกถึงพิรุณกับบุณพจน์ทันที
เธอเคยรักบุณพจน์เด็กคนนั้นแบบนั้น เธอเคยดูแลเขากับตรินท์ด้วยท่าทางอ่อนโยน น่าเสียดายที่สุดท้ายเธอมอบความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ไว้บนมือเขาบุริศร์ ไม่ใช่บุณพจน์
บุริศร์ไม่รู้ว่าในตอนนี้ตนเองควรรู้สึกอย่างไรถึงจะเหมาะสม
เขาดึงมือนรมนเข้าไป นำธูปจุดไฟ จุดธูปให้แก่บรรพบุรุษของหมู่บ้านดารายน
นรมนยืนอยู่ข้างๆ ทำตามเขา ไม่เอ่ยถามอะไร
หลังจากบุริศร์จุดธูปเสร็จ มองแผ่นจารึก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นรมนรู้สึกแค่ธูปนี้มีกลิ่นหอม เป็นกลิ่นทำนองเดียวกับไม้จันทน์ แต่เหมือนจะไม่ใช่ กลิ่นนี้เมื่อสูดดมแล้วทำให้คนเวียนหัวอยากนอน
เธอส่ายหน้าทันที กลับรู้สึกว่าเปลือกตาของตนเองหนักอึ้ง
นรมนรีบดึงแขนเสื้อบุริศร์ กระซิบว่า “บุริศร์ ฉันคิดว่าธูปนี้มีปัญหา”
“หือ?”
ราวกับว่าตอนนี้บุริศร์กำลังจมอยู่ในความคิด จึงไม่ค่อยมีการตอบสนองกับคำพูดของนรมน แค่พูดตอบด้วยจิตใต้สำนึก
ในเวลานี้เกิดเสียงเตือนดังขึ้นในใจของนรมน
นี่มันไม่ถูกต้อง!
ธูปนี้มีปัญหา!
เธอสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าที่เข้าโจมตี เปลือกตาของตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจะลืมตาไม่ขึ้น
“บุริศร์!”
เธอคิดจะดึงแขนเสื้อของบุริศร์ แต่ไม่อาจทำตามที่ต้องการได้
ความรู้สึกหมดหนทางพรั่งพรูออกมาจากหัวใจ
เมื่อนรมนคิดจะพูดอะไรกับบุริศร์ หรือคิดจะเตือนอะไรเขา กลับรู้สึกเพียงตรงหน้ามืดมิด “โครม” ล้มไปข้างหน้าทันที
บุริศร์ได้สติกลับมาโดยพลัน อุ้มร่างที่ร่วงลงไปของนรมนตามสัญชาตญาณ กลับรู้สึกเวียนหัว ยืนได้ไม่มั่นคง ตนเองกับนรมนแทบจะล้มลงไป
เขาตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ทันที รีบล้วงกริชทหารออกมาจากรองเท้าบูต เฉือนไปที่แขนตนเองโดยไม่คิดอะไร
เลือดสดสีแดงกระฉูดออกมาทันที ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้บุริศร์ที่ใกล้จะสลบไสลตัวสั่นโดยฉับพลัน เสมือนกับตกใจตื่นขึ้น
เขากอดนรมนไว้แน่น คิดจะหันตัวเดินไป กลับพบว่าด้านนอกมีเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ล้อมรอบศาลบรรพบุรุษ
ใคร?
ใครกันที่กล้าบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวของเขา?