แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1390 ฉันว่านายอยากตาย
“จวัตณ์ คุณช่วยได้ไหม? ฉันหมายถึงการผ่าตัดนี้ คุณช่วยได้หรือเปล่า?”
เสียงของนรมนนุ่มนวลเป็นอย่างมาก เธอไม่รู้ว่าจวัตณ์จะตอบตกลงหรือเปล่า เธอจึงเอารอยยิ้มเข้าสู้ ถ้าเธออ่อนน้อม และจริงใจมากพอ เขาก็น่าจะยอมช่วยไหมนะ?
แต่ว่าเมื่อทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของบุริศร์มันกลับเป็นอะไรที่บาดตาเหลือเกิน
จวัตณ์มองมาที่นรมน แล้วหันไปมองบุริศร์ที่แทบจะกินหัวเขาอยู่แล้ว จู่ๆก็พูดออกมาอย่างนึกสนุกว่า “ก็ไม่ใช่ว่าช่วยไม่ได้ เพียงแต่ว่าการผ่าตัดในรูปแบบนี้เคสที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบันมีอยู่ไม่มาก ซึ่งเผอิญว่าผมทำสำเร็จไปแล้วหนึ่งเคส ดังนั้นถ้าผมช่วยเธอก็ไม่น่าจะมีปัญหาโรคภัยตามมาภายหลัง แต่ว่าผมเองก็เป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง ถ้าเรื่องไหนไม่มีประโยชน์กับผมแน่นอนว่าผมไม่ทำอยู่แล้ว”
“ฉันให้เงินคุณได้ คุณต้องการเท่าไหร่ก็แค่บอกมา”
นรมนเอ่ยพูดขึ้น
แต่จวัตณ์กลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน ถึงแม้ข่าวลือข้างนอกจะพูดกันว่าตระกูลแหลมวิไลตกอับ แต่ถ้าผมอยากได้เงิน ผมก็สามารถหามาใช้ได้ตลอดเวลา เอาอย่างนี้ดีไหม คุณมาอยู่กับผมหนึ่งวัน แลกกับการที่ผมจะผ่าตัดให้เธอ เป็นไง?”
พูดออกไปได้ไม่ทันไร หมัดของบุริศร์ก็พุ่งเข้าไปหาเขา
“ฉันว่านายวอนหาเรื่องแล้ว”
บุริศร์พูดพร้อมกับกัดฟันกรอด การกระทำไม่มีความปรานีเลยสักนิด
นรมนเองก็นิ่งอึ้งไปเหมือนกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจวัตณ์จะยื่นข้อเสนอแบบนี้ออกมา
เขาเป็นคนของคุณอาสามไม่ใช่เหรอ?
เป็นทหารใต้บังคับบัญชาของบุริศร์ไม่ใช่หรือไง?
ทำไมถึงกล้าพูดอะไรไร้ยางอายอย่างนี้?
ด้านปัญญ์ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
แม้ว่าเขาอยากเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายให้มายด์รักษาหายจนพูดได้ แต่ถ้าความรู้สึกที่ว่าต้องแลกมากับการที่นรมนต้องเสียสละ เขายอมหาวิธีอื่นจะดีกว่า
ไม่ใช่ว่าไม่สงสารมายด์ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเรื่องไหนได้ เรื่องไหนไม่ได้
ด้านมายด์เองก็นิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
แม้ว่าเธออายุยังน้อย แต่ก็พอจะรู้สึกได้ว่าจวัตณ์ไม่น่าจะรู้สึกในเชิงนั้นกับนรมน แต่ทำไมต้องยืนข้อเสนอแบบนี้ออกมาล่ะ?
ทุกคนต่างแสดงสีหน้าออกมาแตกต่างกันเพราะคำพูดของจวัตณ์ ในขณะที่บุริศร์กับจวัตณ์ซัดหมัดใส่กันไปหลายยกแล้ว
แม้ว่าจวัตร์จะยศน้อยกว่าบุริศร์ แต่ไม่ว่าจะเพราะความรู้สึกส่วนตัวหรือเพราะอะไรก็ตาม เขาก็อยากปะลองฝีมือกับบุริศร์สักครั้ง จึงได้โอกาสลองเชิงพอดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการโจมตีของบุริศร์จะดุดันจนเขาแทบจะตั้งรับเอาไว้ไม่ทัน
ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้บุริศร์ลุยด้านธุรกิจมาตลอด ไม่ได้อยู่ในกองทัพ คิดไม่ถึงเลยว่าฝีมือของเขาจะยังเก่งกาจถึงขนาดนี้
จวัตณ์ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกบุริศร์ประเคนหมัดใส่หน้า เจ็บจนฟันแทบหลุดแถมยังปากแตก ในตอนที่กำลังจะสวนกลับหางตาก็เหลือบไปเห็นท่าทีเป็นห่วงของนรมน สุดท้ายจึงหยุดการกระทำลง รีบเอ่ยขอร้องขึ้นมาว่า “พอๆๆ ฉันแค่ล้อเล่น นายเอาจริงเหรอ?”
“ล้อเล่น? ฉันว่านายอยากตายมากกว่า”
บุริศร์ไม่สนเหตุผลของอีกฝ่าย ประโยคเมื่อสักครู่แทบจะทำเอาเขาฆ่าจวัตณ์ตายคาที่ แต่ที่ทำให้เขาโมโหที่สุดก็คือท่าทีที่นรมนมีต่อจวัตณ์
เธอมีท่าทีอ่อนหวานกับอีกฝ่ายถึงขนาดนั้นได้ยังไง!
ประกอบกับท่าทีที่จวัตณ์มีต่อนรมน จะไม่ให้บุริศร์หึงก็คงยาก
จวัตณ์คิดว่าถ้าตัวเองกับบุริศร์ยังสู้กันต่อไปล่ะก็ คืนนี้เขาคงได้นอนหยอดน้ำเกลือบนเตียงเป็นแน่ ในสถานการณ์คับขันอย่างนี้จึงทำได้แค่ตะโกนออกมาว่า “บุริศร์ นายหยุดเลยนะโว้ย! ฉันเป็นพี่เขยนายนะ! ถ้านายกล้าทำร้ายฉัน เชื่อไหมฉันจะบอกอาสาม คุณอาแล้วก็พ่อของฉันห้ามไม่ให้นรมนกลับตระกูลโตเล็ก”
ประโยคนี้ถูกพูดออกมา บุริศร์กับนรมนก็นิ่งไปพร้อมกัน
“นายว่าไงนะ?”
สีหน้าของบุริศร์เริ่มดูไม่ได้ แต่เมื่อเขามองไปที่จวัตณ์ ก็พบว่าหมอนี้ไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อกี้เขาพูดว่าอาสามกับคุณอา แล้วยังมีพ่อของเขาอีก?
อาสามกับคุณอาบุริศร์พอจะเข้าใจได้ แต่พ่อของเขานั่นหมายความว่าอะไร?
หรือว่าจวัตณ์จะเป็นคนของตระกูลทวีทรัพย์ธาดา?
นรมนเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน ในเวลานี้เธอจึงมองไปที่จวัตณ์ด้วยใบหน้าสงสัย
จวัตณ์ถูกมองจนเริ่มกระอักกระอ่วน จึงกระแอมไอออกมาแล้วพูดว่า “พ่อของฉันคือบุญทิวา แม่ของฉันคือนงลักษณ์ พูดแบบนี้พอจะเข้าใจไหม?”
“คุณว่าไงนะ?”
คราวนี้ถึงตานรมนตกตะลึงบ้าง
“คุณคือลูกของคุณอารองงั้นเหรอ? เป็นไปได้ยังไง! คุณ……”
“ฉันแก่กว่าเธอสองปี คิดว่าไงล่ะ?”
จวัตณ์นำเรื่องของนงลักษณ์มาเล่าให้พวกเขาฟัง ถึงยังไงพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ชิดของเขา มีแค่ปัญญ์เท่านั้นที่เป็นคนนอก แต่ดูจากท่าทีที่นรมนมีต่อปัญญ์ เดาว่าคงเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาก ดังนั้นจวัตณ์จึงเล่าออกมาอย่างไม่ปิดบังอะไร
สำหรับเขาแล้วเขาอยากกลับตระกูลตั้งนานแล้วโอเคไหม
“ฉันย้ายสัญชาติตอนอายุสิบหก ตอนที่แม่คลอดฉันออกมาแม่กลัวว่าสมชัยจะรู้ถึงการมีอยู่ของฉัน แล้วใช้ฉันเป็นเครื่องมือต่อรองกับพ่อ ดังนั้นจึงปกปิดตัวตนของฉันมาตลอด ทั้งยังส่งฉันไปให้ตระกูลแหลมวิไลเลี้ยงดู แต่ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นใครมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ดังนั้นตอนอายุสิบหกเลยย้ายสัญชาติ เรื่องนี้คุณอาสามก็รู้มาตลอด ที่ฉันเข้าร่วมกองทัพก็เป็นเพราะอาสามแนะนำมาอีกที ฉันตั้งตารอคอยที่จะได้รวมตัวกับครอบครัวมาตลอด และก็รอคอยที่จะได้กลับประเทศไวๆ หวังว่าครั้งนี้คงไม่ไกลเกินหวังนะ”
คำพูดของจวัตณ์ทำให้นรมนช็อกเป็นอย่างมาก
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าคุณอารองจะมีทายาทด้วย!
หลังจากที่ได้รู้ว่าคุณอารองถูกสมชัยทรมานจนไม่เหลือความเป็นชาย นรมนก็สงสารมาก ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นก็คือ การที่ได้มารับรู้ว่าคุณอารองเองก็มีลูกชายอยู่บนโลกใบนี้อย่างกะทันหัน ทั้งยังเป็นคนที่โดดเด่นมากถึงขนาดนี้ กระนั้นเธอก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“งั้นฉันก็เรียกคุณว่าลูกพี่ลูกน้องได้น่ะสิ?”
“เรียกพี่ก็พอ ฉันได้ยินเรื่องของคุณลุงมาบ้างแล้ว เขาคือความภาคภูมิใจของตระกูลทวีทรัพย์ธาดา ฉันเองก็ไม่มีพี่น้องที่ไหน ตอนนี้คุณอาสามกับคุณอาก็ยังไม่แต่งงาน รุ่นเราในตระกูลทวีทรัพย์ธาดาตอนนี้ก็มีแค่เราสองคน เรียกฉันว่าพี่ก็พอแล้ว”
แววตาของจวัตณ์ทอแววอบอุ่น แม้จะเปิดเผยตัวตนออกมาแล้ว แต่บุริศร์ก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายขัดหูขัดตาแปลกๆ
เขายืนบังนรมนเอาไว้ เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “ที่นายบอกว่าเป็นพี่เขยของฉันนายแน่ใจแล้วใช่ไหม? เรื่องนี้ฉันคงต้องกลับไปหาหลักฐานก่อน”
“ไม่ต้องหรอก ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเขาแปลกๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ตอนนี้พอดูๆแล้วอาจจะเป็นเพราะว่าเขาหน้าตาเหมือนคุณอารองกับคุณป้า ฉันก็เลยรู้สึกคุ้นเคย บุริศร์ เรื่องของสายเลือดน่ะมันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากเลย ตอนนี้ฉันมีพี่ชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคนเชียวนะ คุณไม่รู้สึกดีใจกับฉันเหรอ?”
นรมนรู้สึกดีใจจริงๆ
ตัวเธอเองก็หวังว่าพ่อกับแม่จะได้มาอยู่ข้างๆ น่าเสียดายที่ความปรารถนานี้ไม่สามารถเป็นจริงได้แล้ว พอตอนนี้ได้มารู้ว่าตัวเองมีพี่ชาย ก็อดที่จะดีใจออกนอกหน้าไม่ได้
ใบหน้าของบุริศร์อึมครึม แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่นรมนต้องเผชิญ เขาจึงคลายสีหน้าลง
ช่างเถอะ ถึงยังไงหลังจากนี้ภรรยาของเขาก็จะมีคนเอ็นดูเพิ่ม และอีกฝ่ายก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพียงแต่เขากลัวว่าตำแหน่งสามีอย่างเขาจะลดลงเรื่อยๆน่ะสิ
บุริศร์รู้สึกฮึดฮัดในใจ กระนั้นก็ยอมหลีกทางให้แต่โดยดี
ตอนนี้นรมนไม่ได้สนใจเลยว่าบุริศร์จะรู้สึกยังไง เธอโถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของจวัตณ์อย่างเป็นธรรมชาติ
“พี่ชาย!
นรมนรู้สึกดีมากที่มีพี่ชายเพิ่มมาอีกคน
เมื่อจวัตณ์ถูกเธอเรียกว่าพี่ชายในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา แม้จะแลกมากับความเจ็บปวดบนใบหน้าก็รู้สึกคุ้มค่า
เธอมองนรมนอย่างนึกเอ็นดู เอ่ยพูดยิ้มๆว่า “ดีจังเลย ที่มีน้องสาวเป็นเธอ”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว เดี๋ยวถ้าได้กลับประเทศ ฉันจะให้คุณอารองเตรียมจัดโต๊ะฉลอง ให้ทุกคนได้รู้เลยว่าพี่คือผู้นำตระกูลทวีทรัพย์ธาดาของเรา”
คำพูดของนรมนทำให้ในใจของจวัตณ์มีความหวัง เขาพูดเสียงต่ำว่า “ก่อนจะกลับประเทศ ต้องสะสางเรื่องของสมชัยกับฉัตรพลก่อนเป็นอันดับแรก เรื่องของประเทศพวกเขาเราไม่สามารถสอดมือเข้าไปยุ่งได้ ถ้าเราสอดมือเข้าไปอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสร้างความยุ่งยากให้กับประเทศ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือทำให้พวกเขาวุ่นวายกันเองภายในประเทศ และถ้ามีคนสามารถแทนที่ตำแหน่งของสมชัยได้ทุกเวลา ก็ต้องมีการผูกพันธมิตรกับประเทศเรา และพอถึงตอนนั้นสมชัยกับฉัตรพลต้องถูกนำตัวไปขึ้นศาล สหประชาชาติก็จะมอบสิ่งตอบแทนให้แก่เรา”
ข้อนี้สอดคล้องกับความคิดของบุริศร์อย่างบังเอิญ
เหตุผลที่บุริศร์ทำให้สมชัยกับฉัตรพลขัดแย้งกันเอง ก็เพราะว่าเหตุผลนี้
นรมนเข้าใจความหมายในคำพูดของจวัตณ์
“พี่ อย่าบอกนะว่าพี่จะให้ราเชนขึ้นรับตำแหน่ง?”
ในตอนนี้เองนรมนเพิ่งนึกได้ว่าจวัตณ์กับราเชนเป็นพี่น้องท้องเดียวกันแต่คนละพ่อ
“ทำไมจะไม่ได้? น้องของตัวเองเชื่อถือได้เสมอนั่นแหละ”
“แต่เขาไม่รู้สักหน่อยว่านายคือพี่ชายของเขา”
บุริศร์สาดน้ำดับฝันทำให้จวัฒณ์ถึงกับฮึดฮัด
“ฉันจะหาเวลาบอกกับเขาเอง”
“นายไม่กลัวว่าเขาจะรับไม่ได้เหรอ? ถึงยังไงนายก็ถูกคุณป้าเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เกิด หรือถ้าพูดอย่างใจร้ายหน่อยคือตั้งแต่นายเกิดมา คุณป้าก็ทำเพื่อนายทุกอย่าง ถึงขั้นยอมปกป้องนายอย่างไม่สนสิ่งใด แต่ราเชนล่ะ? เขาถูกเลี้ยงดูอย่างทิ้งๆขว้างๆ ถึงคุณป้าจะแอบปกป้องเขาเงียบๆ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับนายแล้วทุกอย่างที่เขาได้รับไม่ได้ถือว่าดีด้วยซ้ำ ราเชนเป็นคนสุดโต่ง หากได้ปักใจเรื่องไหนแล้วใครบอกก็ไม่ฟังทั้งนั้น และนายคือคุณชายตระกูลแหลมวิไล ถึงแม้จะเปลี่ยนสถานะแล้ว แต่นายอยากได้อะไรก็ได้มาทุกอย่าง อยากได้ชีวิตแบบไหนก็ได้ชีวิตแบบนั้น แล้วราเชนล่ะ? เขาได้ชื่อว่าเป็นองค์ชาย แต่เขากลับต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ แค่ชีวิตที่มั่นคงก็ยังมีไม่ได้ ที่ตอนนี้เขาเริ่มแย่งชิงอำนาจทุกอย่างไม่ใช่เพราะความต้องการของเขา แต่เป็นเพราะเขาถูกบังคับเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปต่างหาก ถ้านายไปบอกเขาว่านายคือพี่ชายต่างพ่อ คือลูกชายคนโตของนงลักษณ์ นายคิดว่าราเชนจะรับได้ไหม?”
บุริศร์มองปัญหาได้อย่างเฉียบคมเสมอ
นรมนพลันได้สติขึ้นมา ส่วนจวัตณ์เองก็นิ่งเงียบไป
จุดนี้เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
ชั่วขณะบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความกดดันและอึดอัด
นรมนเหลือบมองมายด์ที่อยู่ข้างๆ จู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า “เรื่องของราเชนเอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน แต่ว่าตอนนี้มีเรื่องหนึ่ง ที่พี่จำเป็นต้องช่วย”
“พี่ พี่ช่วยเธอสักครั้งเถอะนะ เธอยังเด็ก ชีวิตหลังจากนี้ยังต้องเจออะไรอีกมากมาย ถ้าหากลำคอมีปัญหาจนไม่อาจพูดได้อีกต่อไป คงจะเสียดายน่าดู”
นรมนมองมาที่จวัตณ์ด้วยท่าทางน่าสงสาร ราวกับว่าคนที่ผ่าตัดไม่สำเร็จคือเธอซะเอง
จวัตณ์ถอนหายใจออกมา เมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนของนรมน ก็อดใจอ่อนไม่ได้
ในตอนนี้เองจู่ๆบุริศร์ก็พูดขึ้นมาว่า “หลังจากนี้นายต้องผ่าตัดแบบเดียวกันอีกเคสหนึ่ง เอาเป็นว่าตอนนี้นายต้องช่วยผ่าตัดให้สำเร็จก่อน หลังจากกลับประเทศฉันจะจัดการเรื่องผ่าตัดอีกเคสให้นายเอง”
“มีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ?”
จวัตณ์ฮึดฮัดขึ้นมา
เขาเป็นพี่เขยนะ บุริศร์ควรที่จะดีกับเขาหน่อยไม่ใช่เหรอ?
การผ่าตัดนี้เขารับปากก็เพราะเห็นแก่หน้านรมนหรอก แต่ผลลัพธ์คือบุริศร์ใช้น้ำเสียงแบบนี้น่ะเหรอ? แถมยังสั่งให้เขาทำการผ่าตัดให้อีกครั้งหลังจากกลับประเทศด้วย?