แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1669 ฉันก็แค่พูดเผื่อไว้
“เชร้ด นั่นคนหรือเปล่า?”
กิจจาหลุดสบถออกมา ตั้งแต่เติบโตเขาก็มักจะวางตัวสุขรุมเหมือนเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กอย่างสม่ำเสมอ แต่ว่าครั้งนี้เขาเซอร์ไพรส์มากจริงๆ
แม้ว่ากานต์ออกจะสบถออกมาบ้ง แต่พอได้ยินที่กิจจาพูด เขาก็ปิดปากลง แต่ในใจก็คิดเหมือนกันกับกิจจา
ไม่ว่าทั้งสองจะซ่อนตัวมิดชิดขนาดไหน แต่คนคนนั้นก็ยังวิ่งพรวดเข้ามากำคอเสื้อของพวกเขายกขึ้นสูงด้วยมืออย่างะข้าง
“แว๊กๆๆ!”
กิจจาร้องออกมาอย่างตกใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาว่า “หุบปาก!”
เขาจำเสียงนี้ได้
“คุณตา?”
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะล่อคุณตาออกมาได้จริงๆ แต่ว่าเงาคนเมื่อกี้คือคุณตาเหรอ?
กิจจาอึ้งกิมกี่
แม้ว่ากานต์จะได้ยินเรื่องที่ชินทรกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่พอได้มาเห็นและได้ยินเองกับหูกับตามันแตกต่างกับที่จินตนาการไว้มากๆ
กานต์ใจเย็นพอสมควร ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา ปล่อยให้ชินทรยกลอยอยู่อย่างนั้น รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดโชยข้างหู เย็นสบายเป็นไหนๆ
เขามาเร็วแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ชินทรไม่รู้เลยว่าตัวเองสร้างความช็อกให้เด็กทั้งสองคนขนาดไหน เขามองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว คนตระกลูสิทธิรัตน์สุนทรใกล้จะมาแล้ว เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย เขาจึงต้องพาเด็กทั้งสองคนออกไปก่อน
กิจจาและกานต์ถูกชินทรพามายังเรือนสี่ประสาน ที่นี่มิดชิดเป็นอย่างมาก แต่ดูจากที่ทางแล้วเป็นสถานที่ที่คนปกติไม่น่าจะอยู่ได้
กานต์มองประเมินรอบๆ แม้ว่าระหว่างชินทรจะไหวตัวรวดเร็วเป็นอย่างมาก แต่กานต์ก็ยังสังเกตเห็นสภาพและสิ่งแวดล้อมรอบด้าน
ที่นี่น่าจะเป็นบ้านพักส่วนตัว
แปลว่าที่นี่คือบ้านของคุณตาเหรอ?
ในระหว่างที่กานต์ครุ่นคิดในใจ ชินทรก็พาเขาเข้ามาข้างใน พร้อมกับวางลงบนพื้น
นัยน์ตาของกิจจาวิบวับไปด้วยเปลวไฟลุกโชน
“คุณตา ผมขอเจาะตัวอย่างเลือดของคุณตานิดหนึ่งได้ไหม?”
ชินทรไม่ได้เหนือความคาดหมายเลยสักนิด เขาสังเกตกิจจาไม่ใช่แค่วันสองวัน จึงรู้ว่ากิจจาหลงใหลการแพทย์มากแค่ไหน ถึงตอนแรกจะเป็นเพราะถูกมิลินบังคับก็เถอะ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กคนนี้คืออัจฉริยะทางด้านการแพทย์จริงๆ
“ได้ แต่สายเลือดของตระกูลทวีทรัพย์ธาดาค่อนข้างซับซ้อน อีกอย่างในร่างกายของฉันยังมียีนกลายพันธุ์อยู่ด้วย อาจจะแยกสายเลือดดั้งเดิมยากหน่อยนะ ฉันกลัวว่าจะแกจะใช้เวลาเยอะ ก็เลยให้คนเจาะออกมาไปเก็บไว้แล้ว เผื่อไว้ให้แกใช้ในการทดลอง ต่อให้ฉันเป็นอะไรไป ก็ไม่กลัวว่าหัวข้อวิจัยของแกจะไปต่อไม่ได้ กิจจา โชคชะตาและอนาคตของตระกูลทวีทรัพย์ธาดาต่อจากนี้ ฉันขอฝากแกด้วยนะ”
ชินทรพูดออกมาอย่างเรียบๆ แต่กิจจากลับรู้สึกเศร้าและกดดัน
“คุณตา คุณตาจะทำอะไร? คิดจะดับเครื่องชนเหรอ?”
ถ้าเขาไม่สังเกตเห็นอะไรในประโยคคำพูดของชินทรเมื่อสักครู่ แบบนั้นเขาก็ไม่สมควรถูกเรียกว่าอัจฉริยะแล้วล่ะ
หัวคิ้วของกานต์ขมวดแน่น แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่มีแววตาก็ไม่ต่างกันกับกิจจา
ชินทรรู้สึกทึ่งกับความรู้สึกไหวของทั้งสองเล็กน้อย กระนั้นก็ยังรู้สึกอุ่นใจ
“ฉันก็แค่พูดเผื่อไว้”
“มีผมกับกานต์อยู่ทั้งคน คุณตาไม่ต้องเผื่ออะไรทั้งนั้น!กว่าหม่ามี๊จะกลับมารวมตัวกับครอบครัวได้ คุณตาอย่าเห็นแก่ตัวอย่างนี้สิ ถ้าคุณตาเป็นอะไรไป คุณยายจะทำยังไง? หม่ามี๊จะทำยังไง? คุณตาอยากเห็นหม่ามี๊กับคุณยายเสียใจเหรอ?”
กานต์ไม่คิดเลยว่ากิจจาจะเก่งเรื่องการพูดจาขนาดนี้ ถ้าไม่เป็นหมอก็คงเป็นทนายความได้สบายๆ
ด้านชินทรก็นิ่งไปกับคำถามของกิจจา
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากทำอย่างนั้น แต่ว่าบางเรื่องเขาก็เตรียมใจเอาไว้ตั้งนานแล้ว
“พวกแกมาหาฉันทำไม?”
“ลืมแล้ว”
กิจจาตอบอย่างพาซื่อจนกานต์หลุดขำ พออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว เขาก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง
ชินทรเองก็ยิ้มออกมา
สามคนตาหลานนั่งอยู่ด้วยกัน ความสงบและความสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ก่อให้เกิดความรู้สึกสงบสุขอย่างหนึ่ง
ด้านสนามฝึกซ้อมของตระกลูสิทธิรัตน์สุนทรกลับไม่เงียบสงบเมือนทางนี้ นักข่าว รถดับเพลิง และรถตำรวจต่างก็เริ่มเคลื่อนไหว เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ภายในสองวัน จึงดึงดูดความสนใจของทุกคนขึ้นมาชั่วขณะ
ยิ่งคนถ่ายรูปถ่ายคลิปไปโพสต์บนอินเทอร์เน็ตมากเท่าไหร่ ตุลธรก็ยิ่งนั่งไม่ติด
“ให้ตาย!ใครมันเป็นคนวางเพลิง?”
เขาถีบเก้าอี้หงาย กระนั้นก็ยังไม่หายเดือด
“ชินทร!ต้องเป็นเขาแน่ๆ!”
ดวงตาของตุลธรแดงเถือก
แก้วตาไม่เคยมีสิทธิ์พูดจาภายในครอบครัว นั่นเพราะมีสาเหตุมาจากที่เธอคลอดแต่ลูกผู้หญิงจนไปขัดหูขัดตาตุลธร เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา ตุลธรก็เดินพรวดราดเข้าไป กระชากผมเธออย่างกรุ่นโกรธ
“โอ๊ย!”
แก้วตากรีดร้องเสียวแหลมออกมาอย่างเจ็บปวด แต่กลับดิ้นไม่หลุด รู้สึกเหมือนหนังศีรษะจะหลุดออกมา
“ร้องทำไม? แกมันตัวซวย!ถ้าไม่ใช่เพราะแกคลอดลูกชายให้ฉันไม่ได้ ชีวิตฉันก็คงไม่ติดขัดแบบนี้หรอก เข้าใจไหม?”
ตุลธรบรรดาลโทสะทั้งหมดลงที่แก้วตา เขาทั้งต่อยทั้งถีบ ทำอย่างกับแก้วตาไม่ใช่คน
แก้วตาจมูกช้ำหน้าบวม แต่ก็เลือกคุ้มกันศีรษะตัวเองเอาไว้ น้ำตาไหลอาบหน้าจนหมดสติ ความหวังในการมีชีวิตรอดแทบจะไม่มีเหลือแล้ว
ตุลธรตบตีจนพอใจ ถึงได้หันมาพูดกับคนใช้ข้างๆ “เอาตัวมันกลับไป อย่าให้มาเกะกะสายตาฉันอีก แล้วก็ อย่าให้มันไปหาหมอ ถ้าให้คนนอกรู้ว่ามันถูกฉันตบตี พวกแกได้เจอดีแน่”
คนใช้สะดุ้ง รีบนำตัวแก้วตาลากกลับไปที่ห้องเหมือนลากหมาตาย
แก้วตานอนมองเพดานอยู่บนเตียง ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างบ้างคลั่ง
เธอไปทำบาปกรรมอะไรมา?
ทำไมต้องมาแต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ด้วย!
ตอนนี้เธอคิดถึงลูกของเธอมาก
ผ่านไปหลายปี ไม่รู้ลูกจะเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้เธอดีใจมากที่ตอนนั้นตัดสินใจส่งตัวลูกไปที่อื่น ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเติบโตมาในครอบครัวแบบนี้ล่ะก็ เธอก็ไม่รู้เลยว่าลูกจะโตมาเป็นคนยังไง
ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอเจ็บจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แก้วตารู้ว่าหลายปีมานี้ตัวเองมีโรคแทรกซ้อนหลายโรค จะอยู่ถึงตอนได้เจอลูกอีกครั้งหรือเปล่าเธอก็ไม่รู้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีความหวังนี้คอยยื้อเธอเอาไว้ เธอก็คงทนอยู่ไม่ไหวตั้งนานแล้ว
เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้นมา แก้วตาไม่ได้เอ่ยเสียงพูด ใครจะเข้ามาเธอก็ไม่สนใจหรอก
แม่บ้านหลิวเปิดประตูเดินเข้ามา เมื่อเห็นร่างกายของแก้วตาเขียวช้ำไปหมด ก็อดที่จะน้ำตารื้นไม่ได้
“คุณผู้หญิงถูกทำร้ายอีกแล้วเหรอคะ?”
แม่บ้านหลิวคือแม่บ้านที่ตามสอยห้อยตามมาจากตระกูลของแก้วตา หลังจากที่แก้วตาแต่งงานก็ไม่เคยไปจากแก้วตาเลย ที่ส่งตัวคุณหนูออกไปในตอนนั้นก็เธอนี่แหละจัดการคนเดียว
แก้วตาไร้ซึ่งชีวิตชีวา เหมือนกับว่าชินกับความเจ็บปวดบนร่างกายแล้ว
แม่บ้านหลิวหยิบยาออกมาทาให้เธออย่างสงสาร จากนั้นก็เอ่ยกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า “คุณผู้หญิง ได้ข่าวคราวของคุณหนูแล้วนะคะ”
“อะไรนะ?”
แก้วตาจับมือของแม่บ้านหลิวเอาไว้ อย่างตื่นเต้น
แม่บ้านใจอ่อนยวบ
ถ้าหากเธอบอกคุณผู้หญิงไป คุณผู้หญิงจะรับได้หรือเปล่านะ?