แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 1052
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 1052
“อืม!”
อาการบาดเจ็บของกู่หลินเฟิงไม่ใช่เรื่องธรรมดา คนผู้นั้นจงใจทำให้เส้นลมปราณขาด แต่กลับไม่ทำให้มันขาดทั้งหมด ยังเหลือไว้ให้มันสามารถรักษาได้ แต่ถ้าต้องการให้เส้นลมปราณของกู่หลินเฟิงไหลเวียน ต้องใช้จิงชี่จำนวนมาก
ต่อให้เป็นนักบู๊แห่งแดนปรมาจารย์ ก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้ แม้แต่นักบู๊แดนเทพ อยากจะรักษาอาการบาดเจ็บของกู่หลินเฟิงให้หาย ก็ต้องใช้พละกำลังเกินกว่าครึ่ง
นอกเสียว่าความแข็งแกร่งของเฉินโม่จะถึงขั้นชั้นเจ็ดแดนรวมพลัง หากต้องการให้ลมปราณของกู่หลินเฟิงไหลเวียน ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร เพียงแต่ว่าหลังจากที่เฉินโม่ถึงขั้นชั้นเจ็ดแดนรวมพลังแล้ว ความแข็งแกร่งของเฉินโม่ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด การรักษาอการบาดเจ็บของกู่หลินเฟิง สามารถประหยัดจิงชี่และเวลาไปได้มาก
หลังจากที่ช่วยทำให้ลมปราณของกู่หลินเฟิงไหลเวียนแล้ว กู่หลินเฟิงก็เริ่มปรับลมปราณทันที เฉินโม่เรียกห่าวเจี้ยนไปด้านข้าง เริ่มถามถึงคนที่ทำร้ายกู่หลินเฟิงคือใครกันแน่
ห่าวเจี้ยนที่ถูกเฉินโม่ไล่ถาม ก็ได้เล่าตามความจริง
“เริ่มแรกคนที่ชื่อหานทงฉีกหน้านาย คนในมหาวิทยาลัยก็ทนดูไม่ได้อยู่ ไอ้อ้วนก็เลยออกหน้าไปคุยกับพวกมัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น”
“เรื่องบางอย่างมันไม่สะดวกที่จะจัดการในมหาวิทยาลัย ดังนั้นพวกเราก็เลยนัดกัน ออกมาสู้กันที่นอกมหาวิทยาลัย พวกเราคิดว่าพวกมันที่มาจากที่อื่น จะเก่งสักแค่ไหนเชียว? อีกอย่างเรายังมีไอ้กู่บัญชาการอยู่ด้วย ก็เลยไม่ได้คิดมาก ไปตามนัดโดยตรง”
“แต่คิดไม่ถึงว่าพวกมันได้วางแผนไว้นานแล้ว คนกลุ่มใหญ่ได้ล้อมพวกเราเอาไว้ หากไม่ใช่ไอ้อ้วนปกป้องพวกเรา คาดว่าเราคงถูกฝังไว้ตรงนั้นแล้ว”
“อีกอย่างในกลุ่มของพวกมันมียอดฝีมือ ชายวัยกลางคนคนนั้นที่ทำร้ายไอ้กู่จนบาดเจ็บ ก็คือคนที่มีฝีมือล้ำเลิศ ได้ยินมาว่าเป็นคนของตระกูลเซินกงในมณฑลไห่ซีที่เลี้ยงเอาไว้!”
“มหาวิทยาลัยตงจิงก็อยู่ที่มณฑลไห่ซี พวกมันต้องเป็นคนของตระกูลใหญ่สักตระกูลในมณฑลไห่ซี!”
หลังจากที่ฟังห่าวเจี้ยนเล่าจบ ในที่สุดเฉินโม่ก็จำได้แล้วว่าคนผู้นั้นคือใคร
หานทงคนนั้น ก็คือคนที่เดิมพันกับเขาตอนที่เขาไปร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่ยานจิง
ก็เพราะเขาทางมหาวิทยาลัยตงจิง ถึงโดนตัดสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนอย่างถาวร ในตอนนั้นเฉินโม่ไม่ได้ให้เขาทำตามการเดิมพัน คิดไม่ถึงว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่สำนึก ยังอาศัยการชื่อของโครงการแลกเปลี่ยน มาแก้แค้นถึงมหาวิทยาลัยหัวหนาน!
เฉินโม่ใบหน้าเยือกเย็น คนประเภทนี้ได้ล้ำเส้นของเฉินโม่ไปแล้ว
“นายเฝ้าเขาอยู่ที่นี่ รอจนเขาตื่น” เฉินโม่ฝากฝังแล้ว ก็ลุกขึ้นออกไป
ห่าวเจี้ยนพอจะเดาได้ว่าเฉินโม่จะไปทำอะไร พูดอย่างเป็นห่วง “เฉินโม่ ระวังด้วย!”
“อืม!” เฉินโม่พยักหน้า เปิดประตูแล้วออกไป
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามจงใจใช้กู่หลินเฟิงเพื่อมาลดพละกำลังของตัวเอง งั้นก็ต้องยังรอเขาอยู่ในมณฑลไห่ซีอย่างแน่นอน
แม้จะรู้เพียงข้อมูลทั่วไปของตระกูลเซินกง แต่ว่าเฉินโม่เชื่อว่าจะตามหาได้ไม่ยาก
มณฑลไห่ซี ชายฝั่งแห่งนี้ กลับไม่ได้คว้าโอกาสในการพัฒนาพื้นที่เอาไว้เลย เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างมณฑลไห่ตง ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจหรือสถานะทางสังคมต่างกันไม่น้อยทีเดียว
แต่ว่าสถานที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธารน้ำขุนเขาลำเนาไพร มีโบราณสถานที่ลึกลับมากมาย นอกจากนี้ยังมีภูมิศาสตร์แบบดึกดำบรรพ์ซึ่งเหมาะสำหรับการฝึกฝน
เฉินโม่มาถึงที่มณฑลไห่ซี จากการสอบถามเพียงเล็กน้อย ก็ทราบที่อยู่ของตระกูลเซินกง ตระกูลเซินกงเป็นตระกูลใหญ่ที่รองลงมาจากตระกูลเสิ่น
วิลล่าอว้จินก็คือวิลล่าของตระกูลเซินกงในมณฑลไห่ซี
ในมณฑลไห่ซีมีการเล่าลือแบบนี้วิลล่าอว้จินที่ยาวแปดพันเมตร พื้นที่ยังไม่เพียงพอต่อตระกูลเซินกง
แค่คำพูดนี้ ก็ทำให้เรารู้ถึงความร่ำรวยและฐานะของตระกูลเซินกง แต่ก็สามารถมองออกถึงความทะเยอทะยานของตระกูลเซินกงอีกด้วย
เฉินโม่จำได้ ผู้มีอิทธิพลในมณฑลไห่ซี น่าจะเป็นผู้นำตระกูลเสิ่นเสิ่นฉีเซิ่ง
ดูเหมือนว่าหลังจากที่เสิ่นฉีเซิ่งยอมแพ้แล้ว เขาก็กลายเป็นคนขี้เกียจ ดังคำโบราณที่ว่าผลประโยชน์ของเราจะให้คนอื่นไปง่ายๆได้อย่างไร ตระกูลเซินกงที่เหิมเกริมขนาดนี้ ตระกูลเสิ่นยังสามารถนิ่งดูดาย เห็นได้ว่าตระกูลเสิ่นไม่มีความคิดที่จะแก่งแย่งความเป็นหนึ่งแล้ว