แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 1253
หนานกงหยู่เป็นปรมาจารย์คนแรกในรอบสามสิบปี สถานะของเขาในโลกฝึกบู๊ แทบจะไม่มีใครสามารถเทียบได้
หนานกงหยู่ออกมาจากการปลีกวิเวกอย่างกะทันหัน หลังจากออกมาจากการปลีกวิเวกแล้ว ก็ไปท้าทายเฉินไต้ซือที่ช่วงนี้ชื่อเสียงกำลังโด่งดังที่ตระกูลเฉินทันที
เพียงแค่คิดก็รู้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่พลังบำเพ็ญของหนานกงหยู่จะทะลวงแล้ว
ถึงแม้ตระกูลเฉินจะไม่ใช่สมาชิกของตระกูลบู๊ แต่เรื่องที่หนานกงหยู่ใช้คนตระกูลเฉิน เพื่อบีบบังคับให้เฉินโม่ปรากฏตัวออกมา แพร่กระจายไปทั่วหัวเซี่ยแล้ว และแน่นอนว่ามันแพร่กระจายไปทั่วโลกฝึกบู๊ด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ นักบู๊มากมายเดินทางมาที่นี่โดยเฉพาะ เพื่อต้องการพบปรมาจารย์คนแรกเมื่อสามสิบปีก่อน
มีข่าวลือว่าหนานกงหยู่ออกมาจากการปลีกวิเวกคราวนี้ เขาทะลวงสู่แดนเทพแล้ว มิเช่นนั้น เขาคงไม่เลือกที่จะออกจากการปลีกวิเวกด้วยเรื่องที่ไม่สำคัญเช่นนี้
แดนเทพ ไม่ได้ปรากฏออกมาเป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว
เมื่อได้ยินหรืออาจจะได้เห็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพ ทำให้สมาชิกของโลกฝึกบู๊แทบจะเป็นบ้า แม้แต่เฒ่าประหลาดบางคนที่ไม่เคยปรากฏตัวออกมาก่อน ต่างก็เดินทางมาที่สุสานบรรพบุรุษของตระกูลหนานกง เพื่อมาดูความคึกคัก
และช่วงนี้ชื่อเสียงของเฉินไต้ซือกำลังโด่งดัง รบทุกครั้งก็ชนะเกือบทุกครั้ง และมีข่าวลือว่าเฉินไต้ซือบรรลุถึงแดนเทพนานแล้ว
หากเป็นจริงตามข่าวลือ มันจะเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งแดนเทพสองคน สามารถกล่าวได้ว่าเป็นศึกสะท้านโลก!
พบเห็นได้ยากมาก!
สุสานบรรพบุรุษของตระกูลหนานกงอยู่บนยอดเขาโม่ผาน สถานที่กว้างขวางมาก ล้อมรอบด้วยกำแพงที่ประณีตสวยงาม
ขณะนี้ ผู้คนนั่งเต็มอยู่บนกำแพงรอบ ๆ บางคนไม่มีที่นั่ง ก็มายืนอยู่ในบริเวณสุสานบรรพบุรุษของตระกูลหนานกง เพื่อเฝ้ามองหนานกงหยู่ลงมือเคลื่อนไหว
ฉากยิ่งใหญ่อลังการมาก
เมื่อนักบู๊เหล่านี้เห็นสมาชิกบางคนของตระกูลเฉิน ได้ยินเสียงหนานกงหยู่ตะโกนเบา ๆ ก็ตกใจกลัวจนคุกเข่าลง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
กระทั่งมีนักบู๊บางคนถึงกับกล่าวเยาะเย้ยออกมาตรง ๆ “คนของตระกูลเฉินพวกนี้ขี้ขลาดจริง ๆ ทำไมตระกูลแบบนี้ ถึงสามารถบ่มเพาะอัจฉริยะอย่างเฉินไต้ซือได้!”
เฉินกั๋วเหลียงหลับตาด้วยความจำใจ ลูกหลานพวกนี้ทำให้ตระกูลเฉินอับอายขายหน้าไปจนหมดสิ้นแล้ว
เมื่อมองคนของตระกูลเฉินที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น หนานกงหยู่แสดงสีหน้าเหยียดหยาม และกล่าวด้วยความรังเกียจ “สภาพเช่นนี้ ยังกล้าต่อกรกับตระกูลหนานกงอีก! ถ้าฆ่าพวกคุณ เกรงว่ามือของผมจะสกปรก!”
หนานกงหยู่มองคนของตระกูลเฉินที่ยังยืนอยู่ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุกเข่า!”
คนรุ่นหลังอย่างเฉินเหล่ยและคนอื่น ๆ ตกใจจนหน้าขาวซีด ขาทั้งคู่สั่น แต่พวกเขาเป็นลูกหลานสายหลักของตระกูลเฉิน และเป็นสมาชิกที่โดดเด่นของตระกูลเฉิน ทำให้พวกเขาไม่สามารถคุกเข่าได้
เฉินกั๋วเหลียงมองสมาชิกของตระกูลเฉินที่ยังยืนอยู่ด้วยความพึงพอใจ พยักหน้าด้วยสีหน้าปลื้มใจ “พวกคุณเป็นแบบอย่างที่ดี พวกเราตระกูลเฉินไม่กลัวตาย และไม่สามารถทนรับความอัปยศอดสูเช่นนั้นได้!”
หนานกงหยู่หัวเราะเยาะ “จริงเหรอ? งั้นผมจะฆ่าจนกว่าพวกคุณจะคุกเข่า!”
ตุ๊บ!
“อย่าฆ่าผม ผมคุกเข่าแล้ว!” ในที่สุดเฉินเหล่ยและคนอื่น ๆ ก็ทนแรงกดดันของหนานกงหยู่ไม่ไหว คุกเข่าลงบนพื้น ก้มหน้าและไม่กล้ามองใคร
เฉินกั๋วเหลียงหลับตาลง และถอนหายใจด้วยความจำใจ “ใครที่กลัวตาย ก็คุกเข่าตอนนี้เถอะ!”
เฉินตงหวาและคนอื่น ๆ มองเฉินกั๋วเหลียงด้วยหน้าแดงก่ำ และกล่าวว่า “ผู้นำตระกูล ขอโทษด้วย พวกเราจะตายเปล่า ๆ แบบนี้ไม่ได้”
หลังจากกล่าวจบ เฉินตงหวาและคนอื่น ๆ ก็คุกเข่าเช่นกัน
ตอนนี้ เหลือเพียงผู้อาวุโสสามของตระกูลเฉิน เฉินจิงเย่และภรรยา เฉินตงซุ่น เฉินธง เฉินเข่อเอ๋อร์ เฉินหลี้ ที่ยังคงยืนอยู่
เฉินตงหวาแอบขยิบตาให้เฉินเข่อซิน จากนั้นเฉินเข่อซินแอบจับมือเฉินเข่อเอ๋อร์ “เข่อเอ๋อร์ คุกเข่าลง เมื่อตกที่นั่งลำบาก ก็สามารถยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว เพื่อจะได้ไม่เป็นเบี้ยล่าง เพราะการมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด!”
สีหน้าของเฉินเข่อเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดื้อรั้น และมองหนานกงหยู่ด้วยความโกรธ “ฉันเชื่อว่าพี่เฉินโม่ จะต้องมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน ฉันไม่ยอมคุกเข่าให้คนเลวหรอก!”
หนานกงหยู่หันมามองเฉินเข่อเอ๋อร์ทันที ยิ้มด้วยความเย็นชา แล้วเดินมาหาเฉินเข่อเอ๋อร์