แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 1474
“เยี่ยมมาก ในเมื่อพี่ตู๋กูคิดแผนที่ดีแบบนี้ออกมาได้ งั้นผมขอเสนอว่าการดำเนินการในครั้งนี้ให้พี่ตู๋กูเป็นผู้นำทัพเป็นไง?” ผู้นำตระกูลฉางพูดขึ้นมา
ผู้นำตระกูลกงซุนพยักหน้า “ผมว่าใช้ได้”
ผู้นำตระกูลจ้าวก็พยักหน้า “ผมเองก็ไม่ติด”
ตู๋กูอู๋ซวงแสดงสายตาที่ดีใจ แต่ต่อหน้าก็ยังทำเหมือนจะปฏิเสธ สองมือของตู๋กูอู๋ซวงบกอยู่ตรงหน้าอก แล้วพูดอย่างแตกตื่นว่า “ไม่ได้ไม่ได้ ถ้านับตามอายุพี่กงซุนโตสุดผมไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น? ให้ พี่กงซุนเป็นผู้นำหลัในครั้งนี้จะดีกว่าครับ!”
ผู้นำตระกูลกงซุนพูดไปยิ้มไปว่า “เฮ้อ น้องตู๋กู ผมก็โตกว่าคุณแค่ไม่กี่ปี ให้ผมเป็นคนสั่งการ ผมคิดแผนดีๆ แบบนั้นออกมาไม่ได้หรอก คุณไม่ต้องถ่อมตัวแล้ว”
“ใช่พี่ตู๋กู คุณเลิกปฏิเสธได้แล้ว” ผู้นำตระกูลฉางพูด
ผู้นำตระกูลจ้าวเกลี้ยกล่อมเหมือนกัน “พี่ตู๋กู พวกเราเชื่อในตัวคุณนะ!”
ตู๋กูอู๋ซวงพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอน้อมรับไว้เลยนะครับ!”
ด้วยเหตุนี้ พันธมิตรกำจัดโม่ก็ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในตอนที่ผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่กำลังวางแผนกันอย่างลับๆ ในตระกูลตู๋กูนั้น เฉินโม่ยังคงสอนวิชาให้เฉินกั๋วเหลียงอย่างสบายใจ
หลังได้รับการฝึกจากเฉินโม่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฝีมือของเฉินกั๋วเหลียงได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ถ้าต้องเจอกับหยูจุนโม่อีกครั้ง ก็สามารถสังหารเขาได้ในกระบวนท่าเดียวเลย
อีกอย่างคือ พรสวรรค์ของเฉินกั๋วเหลียงทำให้เฉินโม่ถึงกับต้องมองใหม่อีกครั้งเลย
เฉินโม่คิดว่า ต่อให้เป็นพรสวรรค์ของเอียนชิงเฉิงที่มีสายเลือดหงส์ฟ้ายังไม่สูงกว่าเฉินกั๋วเหลียงเท่าไหร่เลย บางที่นี่อาจจะเป็นคำกล่าวที่ว่ากักเก็บไว้นาน แล้วค่อยๆ ปลดปล่อยออกมา
เฉินกั๋วเหลียงผ่านเหตุการณ์ใหญ่ๆ มาเยอะ กับการเข้าใจสัจธรรมของชีวิตนั้นมีสูงกว่าวัยรุ่นเยอะ ถ้าใช้คำพูดของผู้บำเพ็ญมาพูดก็คือจิตเต๋าแข็งแกร่ง เหมือนตอนที่กษัตริย์เซียนตงหวาพาเฉินโม่ไป ภายใต้สภาพจิตที่สิ้นหวังสุดขีดและไม่มีใจที่ใฝ่หาความกว้างหน้าต่อ มันตรงกับสภาพจิตใจที่ไม่โลภไม่หลงของผู้บำเพ็ญพอดี บนเส้นทางของการฝึกเซียนเต็มไปด้วยความรื่นเริง ในเวลาเพียงหกร้อยปีก็สามารถฝึกจนบรรลุถึงแดนดั่งเทพแล้ว
“ดูท่าต่อไปยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักโม่อาจจะเป็นปู่ก็ได้” เฉินโม่เผยรอยยิ้มที่ประหลาดออกมา
ระหว่างที่เฉินโม่แนะนำการฝึกวิชาให้เฉินกั๋วเหลียงก็ได้เช็ดดูการเคลื่อนไหวของโลกบู๊โบราณไปด้วย ตามหลักแล้วหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่แห่งโลกบู๊โบราณอย่างตระกูลตู๋กูที่สูญเสียผู้อาวุโสแดนเทพไปสองคน การถูกเหยียดหยามขนาดนี้ มันไม่ควรจะเงียบแบบนี้
แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ได้มีข้อมูลว่าตระกูลตู๋กูมีการเคลื่อนไหวอะไรเลย เฉินโม่ก็เลยต้องให้เจียงเหอซานช่วยเขาจับตาดูโลกบู๊โบราณ จากแห่งสายข่าวต่างๆ ของทางการ ถ้าโลกบู๊โบราณมีการเคลื่อนไหวอะไร ไม่มีทางปิดบังพวกเขาได้แน่นอน
ตอนนี้เจียงเหอซานยังไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร แสดงว่าคนของโลกบู๊โบราณยังไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ
“หรือตระกูลตู๋กูจะกลืนความโกรธในครั้งนี้ลงไปจริงๆ?” เฉินโม่แอบสงสัยในใจ
หลังจากอยู่ที่ตระกูลเฉินอีกสองสามวัน เฉินโม่ก็ไม่มีอะไรจะสอนให้เฉินกั๋วเหลียงแล้ว และไม่เห็นผู้คนจากโลกบู๊โบราณและตระกูลตู๋กูก็ยังมีการกระทำอะไรเลย
ว่าแล้ว ก็รีบออกจากบ้านตระกูลเฉินในหนานซู กลับไปเยี่ยมหลี่ซู่เฟินที่ฮ่านหยาง
หลังจากที่เฉินโม่ไปจากตระกูลเฉิน ตระกูลตู๋กูที่รอคอยโอกาสมาโดยตลอดก็ได้เคลื่อนไหวทันที
เฉินโม่เพิ่งมาถึงฮ่านหยางได้แค่สองวัน พอเห็นผู้เป็นแม่สบายดี ในใจก็ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง ก็เตรียมตัวกลับทะเลสาบกลับคืนรังเพื่อแอบเก็บตัวฝึกวิชาอย่างลับๆ
แต่ยังไม่ทันที่เฉินโม่จะได้ออกจากฮ่านหยาง ก็ได้มีข่าวส่งมาจากที่ตระกูลเฉินที่อยู่หนานซูว่าเฉินกั๋วเหลียงกับฉินเยว่ถูกจับตัวไปแล้ว
แถมอีกฝ่ายยังทิ้งจดหมายไว้ให้เฉินโม่ฉบับหนึ่ง บอกเฉินโม่ให้ไปบ้านตระกูลตู๋กูที่หลิ่งหนาน มีเวลาให้เฉินโม่เพียงสามวัน ถ้าเขาไม่ไป ก็เตรียมรับศพของเฉินกั๋วเหลียงกับเฉินเยว่ได้เลย
พอเฉินโม่ฟังที่เฉินตงซุ่นพูดจบ ของที่สามารถแตกได้ที่อยู่ในห้องเขาก็แตกสลายไปทันที
“ก็ว่าทำไมตระกูลตู๋กูถงไม่เคลื่อนไหวสักที ที่แท้พวกนั้นก็รอเราไม่อยู่นี่เอง”
“ดูท่าการไปหลิ่งหนาน ตระกูลตู๋กูคงเตรียมการไว้เป็นอย่างดีแล้ว รอแค่เราเอาตัวเองเข้าไปเท่านั้น”
แต่ว่า ต่อให้หลิ่งหนานเป็นภูเขาดาบหรือทะเลเพลิง เฉินโม่ก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว ขนของปู่เขา ห้ามขาดไปแม้แต่เส้นเดียว
ไม่อย่างนั้น เฉินโม่ต้องให้ตระกูลตู๋กูทั้งตระกูลชดใช้ด้วยชีวิต