แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 333
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 333
“เข้าไป!”
เฉินโม่ไม่ลังเลเลยสักนิด น้ำเสียงที่เฉยเมย และเป็นผู้ที่นำหน้าเดินเข้าไป
ยิงอี้สงสามคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างพยักหน้า ในสายตาเผยความรู้สึกเดิมพันเสี่ยงวัดดวงเป็นครั้งสุดท้าย ก้าวใหญ่เดินไปข้างหน้า ริเริ่มนำทางให้กับเฉินโม่
เห็นได้ชัดว่า ทั้งสามคนได้อุทิศชีวิตทั้งหมดไว้บนตัวเฉินโม่แล้ว
ด้านหลังเขาเฝ้ายามเป็นหุบเขาผืนหนึ่ง ในหุบเขามีทะเลสาบใส เชื่อมต่อกับทะเลสาบเป็นภูเขาที่เป็นระเบียบราวกับตัดด้วยมีดและผ่าด้วยขวาน
หมอกในหุบเขากำลังเพิ่มสูงขึ้น ปราณทิพย์ยิ่งเพิ่มมากกว่าภายนอก แต่ชี่พิฆาตก็แข็งแกร่งกว่าหลายสิบเท่า เฉินโม่และคนอื่นๆมีพลังบำเพ็ญคุ้มกาย จึงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร แต่สีหน้าเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนนั้นซีดเซียวเสียแล้ว ในใจเกิดความหงุดหงิดขึ้น ซึ่งโมโหฉุนเฉียวโดยไร้เหตุผล
ในขณะที่เนี่ยเสี่ยวเชี่ยนกระสับกระส่าย จู่ๆก็รู้สึกว่ามีฝ่ามือที่อบอุ่นเหมือนหยกกุมมือเล็กๆของตัวเองไว้ อากาศที่เย็นค่อยๆไหลเข้ามาจากฝ่ามือ ผ่อนคลายความกระสับกระส่ายในใจของเธอลง ทำให้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้น
“ขอบใจนายนะเฉินโม่!” เนี่ยเสี่ยวเชี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย แล้วมองเฉินโม่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“เกรงใจอะไรกับฉันด้วยนะ” เฉินโม่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
ยิงอี้สงชี้ไปที่ภูเขาที่อยู่ด้านหลังทะเลสาบแล้วพูดว่า “ที่นั่นก็คือสำนักหยินทิพย์ ที่นี่ไกลเกินไปยังมองไม่เห็น รอให้เดินเข้าไปใกล้หน่อยก็จะสามารถเห็นโพรงถ้ำบนกำแพงหิน”
ด้วยสายตาของเฉินโม่ เห็นตั้งนานแล้วว่าบนภูเขานั้นมีถ้ำวงรีหลายสิบแห่ง ซึ่งสามารถรองรับคนสองคนเข้าไปเป็นแถว
ผู้ที่บำเพ็ญเห็นกาลเวลานั้นบอบบาง มักจะใช้ท้องฟ้าเป็นผ้าห่มและพื้นดินเป็นเตียงนอน บ้านเรือนของสำนักหยินทิพย์สร้างอยู่ในใจกลางภูเขา ก็เลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก
“พาฉันเข้าไป!” เฉินโม่พูดเสียงเรียบเฉย
ยิงอี้สงสีหน้าลำบากใจ แล้วพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ผู้อาวุโส แม้ว่าฉันจะเป็นคนของสำนักหยินทิพย์ แต่เพียงแค่มีหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวมทรัพยากรในการบำเพ็ญให้ครบ ข้างในนั้นฉันได้เคยเข้ามาในตอนที่เข้าร่วมสำนักเมื่อสิบกว่าปีก่อนแค่ครั้งเดียว ไม่รู้ว่าด้านในจะมีกลไกค่ายกลประเภทนั้นหรือเปล่า คุณต้องระวังตัวนะ”
ใบหน้าของเฉินโม่เฉยเมย “ไม่เป็นไร กลไกค่ายกลใดๆ ฉันจะทำลายด้วยดาบเดียว!”
“นำทาง!”
ยิงอี้สงสามคนขมวดคิ้วพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น นึกไม่ออกเลยว่าสามารถที่จะทำลายค่ายกลด้วยดาบเดียว จะทรงพลังขนาดไหนกัน!
หรือจะพูดว่าพวกเขาไม่มีทางเชื่อคำพูดของเฉินโม่เลย
เฉินโม่มองความกังวลของพวกเขาออก และก็ไม่ได้อธิบาย ทว่าเดินหน้าไปก่อนเลย
เฉินซงจื่อยิ้มอย่างเย็นชาพร้อมหน้าตาที่ดูแคลน “พวกแกสามคนเป็นกบในกะลา จะเข้าใจพลังของนายน้อยของฉันได้อย่างไร!”
ยิงอี้สงสามคนหน้าตาเต็มไปด้วยความละอายใจ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อ แต่ว่าไม่สามารถจินตนาการได้เลย โลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ ได้จำกัดขอบเขตการจินตนาการของพวกเขาเอาไว้แล้ว
เช่นเดียวกับคนสมัยโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ถ้าใครบอกพวกเขาว่าในอนาคตผู้คนสามารถพูดคุยกันในสถานที่ที่ห่างออกไปไกล สามารถนั่งเครื่องบินบินอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาจะต้องคิดว่าคนนั้นเป็นคนบ้าคนหนึ่ง
เฉินโม่และพรรคพวกมาถึงที่ริมทะเลสาบ ร่างประกายสีดำสองร่างพุ่งออกมาจากถ้ำบนภูเขา แล้วมองไปที่เฉินโม่และคนอื่นๆและพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกแกเป็นใครกัน?”
ยิงอี้สงมองไปที่เฉินโม่อย่างประหม่า สีหน้าของเฉินโม่ยังคงสงบนิ่ง น้ำเสียงก็เย็นชาอยู่บ้าง “เป็นคนที่มาทวงหนี้กับเจ้าสำนักน้อยของพวกแก”
ทั้งสองคนตะโกนอย่างโมโหว่า “อวดดี ดูอายุของแกก็เป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง ถึงกลับไม่เคารพยำเกรงเจ้าสำนักน้อยของเรา รนหาที่ตาย!”
บนตัววัยรุ่นสองคนล้อมรอบด้วยประกายแสงสีดำ โดยที่ลงมือโดยตรง ร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นถึงสามเมตร ลมหายใจของพวกเขาก็แข็งแกร่งกว่ายิงอี้สง
ยิงอี้สงเตือนอยู่ข้างๆว่า “นี่คือคนของสำนักหยิน พลังบำเพ็ญได้ถึงชั้นสูงสุดของแดนสู่ทิพย์แล้ว ผู้อาวุโสระวังตัวด้วย!”
“ฮึ่ม!”ในแววตาของเฉินโม่ฉายเจตนาฆ่าแว๊บผ่านไป แล้วซัดด้วยฝ่ามือหนึ่ง
ปึงปึง!
วัยรุ่นสองคนถูกกระแทกไปบนพื้นโดยตรงด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล และกระอักเลือดออกมา
“แกเป็นใครกันแน่?” ทั้งสองคนหน้าตาตื่นตกใจ พวกเขาได้รับเลือกให้มาเฝ้าประตู ซึ่งเก่งกาจในบรรดาลูกศิษย์ของสำนักหยินทิพย์ ยกเว้นเจ้าสำนักน้อยนับว่าพวกเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้ว
คาดไม่ถึงตอนนี้ไม่สามารถหยุดยั้งการจู่โจมอย่างสบายๆของชายหนุ่มคนนี้ได้!