แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 403
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 403
ท่านจินคิดว่าเฉินโม่ประมาทศัตรูมากเกินไป จึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เฉินไต้ซือครับ ระวังไว้ดีกว่านะครับ ระยะเวลาสามสิบปี ไม่แน่หนานกงหยู่คนนั้นอาจจะก้าวเข้าสู่แดนเทพแล้วจริงๆก็ได้นะครับ !”
เฉินโม่ยิ้มอ่อน บนใบหน้าแสดงความมั่นใจอย่างล้นหลาม “ท่านจินวางใจได้ ผมรับประกันว่าหนานกงหยู่ยังไม่ได้ขึ้นสู่แดนเทพแน่นอน หากว่าเขาได้เข้าสู่แดนเทพแล้วจริงๆ แล้วยังจะปลีกวิเวกไม่ออกมาอีกงั้นหรือครับ?”
ท่านจินคิดตาม รู้สึกว่าคำพูดของเฉินโม่มีเหตุผล หากว่าหนานกงหยู่ได้เข้าสู่แดนเทพแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปลีกวิเวกต่อไป เขาไม่ได้ออกมา ก็สามารถแสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ได้เข้าสู่แดนเทพ
“แม้ว่าหนานกงหยู่จะยังไม่ได้เข้าสู่แดนเทพ แต่ก็เคยเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งมาก่อน เฉินไต้ซืออย่าได้ประมาทศัตรูเด็ดขาดนะครับ ผมไม่รบกวนเฉินไต้ซือแล้วครับ ขอตัวครับ!”
ท่านจินลุกขึ้น พนมมือทำความเคารพบอกลาเฉินโม่
“ท่านจินเดินทางปลอดภัยครับ!” เฉินโม่ลุกขึ้นส่งแขก
เมื่อส่งท่านจินจากไปแล้ว เฉินโม่ยืนอยู่ในลานบ้าน มองดูก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่แสนไกล แววตาลึกซึ้ง
“พลังชี่ทิพย์บนดาวไกอามันน้อยมากเกินไปจริงๆ แม้ว่าฉันจะวางค่ายกลรวมพลังทิพย์ห้าธาตุไว้ แต่ในแต่ละวันก็ดูดเอาพลังชี่ทิพย์มาได้ไม่มาก ดูแล้วคงต้องรีบหาสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อทำการก่อสร้างค่ายกลรวมพลังทิพย์ขนาดใหญ่ เพื่อให้ฉันได้นำมาฝึกฝนแล้วละ”
เมื่อเฉินโม่เริ่มรู้จักเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโลกฝึกบู๊ของหัวเซี่ยมากขึ้น เฉินโม่พบว่าโลกฝึกบู๊ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก เบื้องหลังนี้เหมือนมีพลังงานบางอย่างคอยแอบควบคุมอยู่เสมอ
เช่นหอเทียนจีที่ลึกลับนั่น
ในเมื่อหอเทียนจีสามารถจัดอันดับแดนในและอันดับปรมาจารย์ได้ อย่างนั้นแล้วก็ต้องมีพลังอำนาจแข็งแกร่งมากแน่นอน ไม่อย่างนั้นรายการอันดับของหอเทียนจีก็จะหมดความน่าเชื่อถือ
แต่ในตอนนี้ผู้ที่ไม่เคยได้รู้เกี่ยวกับหอเทียนจีมาก่อนกลับเดินเฉิดฉายอยู่บนโลกมนุษย์ แล้วเฉินโม่จะไม่สงสัยได้อย่างไรกัน?
วันนี้เมื่อได้ยินคำพูดกล่าวเตือนของท่านจิน เฉินโม่ได้เรียนรู้เข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลของโลกฝึกบู๊มากขึ้น เดิมทีคิดว่าแค่ฝึกฝนจนถึงระดับชั้นสี่แดนรวมพลัง ก็สามารถเอาชนะทั่วโลกได้แล้ว แต่ความเป็นจริงมิใช่เช่นนี้ เฉินโม่จำเป็นต้องฝึกฝนเลื่อนระดับของตัวเองอย่างรวดเร็ว
สำหรับปรมาจารย์อันดับหนึ่งเมื่อสามสิบปีก่อน เฉินโม่ไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้สิ่งที่เฉินโม่ต้องการอยากจะทำก็คือหาสถานที่แห่งหนึ่ง ก่อตั้งค่ายกลรวมพลังทิพย์ขนาดใหญ่
เฉินโม่คิดวิเคราะห์อย่างละเอียด สุดท้ายแล้ว ดวงตาเป็นประกาย ภายในใจมีคำตอบที่ตัดสินใจแล้ว
“ก็ดี ถึงเวลาที่ต้องไปรับเบี้ยจากตระกูลว่านแล้วละ” เฉินโม่ฉีกยิ้มขึ้น แล้วพาเฉินซงจื่อ เอียนชิงเฉิงรวมทั้งซังซัง ออกจากลานชุมชนเมืองอย่างเงียบเชียบ
ริมทะเลสาบกลับคืนรัง คฤหาสน์ที่ยอดเขาบนเนินเขาวิหคจอด
เฉินโม่พาพวกเฉินซงจื่อทั้งสามคน ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เงียบๆ
“เคาะประตูสิ!” เฉินโม่มองเฉินซงจื่อแล้วพูด
เฉินซงจื่อพยักหน้า เดินเข้าไป แล้วเคาะประตูคฤหาสน์
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา มองดูพวกเฉินโม่ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พวกคุณคือ?”
แต่ไม่นาน จู่ๆเขาก็ยืดตัวตรง สีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ที่นี่คือบ้านของมหาเศรษฐีตระกูลว่าน ไม่ต้อนรับแขกทั่วไป พวกนายไปซะเถอะ!”
เฉินโม่แค่มองก็รู้แล้วว่าคนคนนี้เป็นเพียงแค่พวกพ่อบ้านเท่านั้น คาดว่าน่าจะเป็นคนที่รับผิดชอบทำความสะอาดคฤหาสน์
“ฉันรู้ว่าที่นี่คือสถานที่ของว่านฉางหรู แต่ว่าต่อไปสถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นของฉันแล้วละ”
เฉินโม่เดินเข้าไป ผลักประตูออกเบาๆ แล้วก็ค่อยๆเดินเข้าไป
“หยุดนะ พวกนายคิดจะทำอะไร? บุกรุกบ้านงั้นหรอ?” ชายวัยกลางคนคนตะคอกต่อว่าด่าทอ
เฉินโม่มองเขา พูดเรียบๆว่า “กลับไปบอกว่านฉางหรูซะ ว่าคฤหาสน์หลังนี้ คือผลกำไรที่ฉันมารับไป ใช่สิ ฉันชื่อว่าเฉินโม่!”
ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะ “นายเป็นเด็กบ้านไหน ช่างกล้ามาวุ่นวายที่นี่? นายรู้หรือไม่ว่าฐานะตัวตนของคุณว่านนั้นสูงศักดิ์มากเพียงใด?”