แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 460
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 460
ในห้องหนึ่งของวิลล่าชิงหลง มู่หรงเค่อยืนอยู่กลางห้อง เฉินโม่ยืนหน้านิ่งๆ อยู่ด้านหลังของเขา แต่ลุงสุ่ยยืนอยู่ที่หน้าประตู
“คุณมู่หรง คุณเรียกผมมามีอะไรหรือครับ?” เฉินโม่รู้แล้วแต่ยังแกล้งถาม
มู่หรงเค่อหันมา สีหน้าเคร่งขรึม แฝงพลังอันรุนแรง พุ่งเข้ามาใส่หน้า ดูเหมือนว่าผู้ยิ่งใหญ่ในเจียงหนานคนนี้จะโมโหจริงๆ เข้าแล้ว
แต่เฉินโม่กลับมีสีหน้านิ่งๆ ไม่ตอบโต้อะไร พลังรุนแรงบนตัวของมู่หรงเค่อนั้น สำหรับเขาแล้ว ก็เหมือนลมที่พักโชยเข้ามาปกติ
มู่หรงเค่อก็แอบแปลกใจ เดิมทีคิดจะข่มขวัญเฉินโม่เสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าไม่มีผลอะไรเลย!
“เอ็งรู้ไหมว่าเมื่อครู่นี้ไปหาเรื่องกับใคร?” มู่หรงเค่อพูดเสียงขรึม
เฉินโม่ก็ตอบนิ่งๆ ไปว่า “เหมือนจะชื่อว่าโจวเทียนวั่ง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“แล้วเอ็งรู้ไหมว่าโจวเทียนวั่ง คือคนของตระกูลโจวแห่งชานเมืองเจียงหนาน แม้แต่กูก็ต้องให้เกียรติเขา” มู่หรงเค่อเสียงเย็นชา ไม่พอใจกับท่าทางของเฉินโม่
เฉินโม่หลุดขำออกมา “เขาเป็นใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม!คุณรู้จักแต่พลังของตระกูลโจว แล้วจะรู้ถึงวิธีการของผมได้อย่างไร!”
มู่หรงเค่อหยีตาลง ค่อนข้างดูถูก “กูก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเอ็งจะมีวิธีการอะไร!อาศัยแค่ฐานะทายาทของเหม่ยหวา กรุ๊ปงั้นหรือ? หรือว่าอาศัยที่ตนเองเป็นคนของตระกูลเฉินแห่งหนานซู”
เฉินโม่สายตาเย็นชาลงไปเล็กน้อย “คุณสืบเรื่องของผมงั้นหรือ?”
มู่หรงเค่อยิ้มเย็น “เอ็งคิดว่ากูจะให้คนที่ไม่รู้จักที่มาที่ไปมายุ่งเกี่ยวกับยานเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ? คนที่เกี่ยวข้องกับยานเอ๋อร์ กูสืบข้อมูลอย่างละเอียดหมด”
“ถ้าเอ็งได้เป็นคนสืบทอดตระกูลเฉินแห่งหนานซู บางทีกูอาจจะพิจารณาเรื่องของเอ็งกับยานเอ๋อร์ แต่น่าเสียดาย มึงเป็นแค่ลูกชายของเฉินจิงเย่ที่ตระกูลเฉินไม่ให้ความสำคัญ”
“สองพี่น้องตระกูลหยู่เหวินคู่นั้น เป็นลูกของหยู่เหวินฮัว ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลหยู่เหวิน เป็นผู้สืบทอดตระกูลหยู่เหวินในอนาคต และอิทธิพลของตระกูลหยู่เหวินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเฉินแห่งหนานซูของเอ็งเลย ยิ่งกว่านั้นยังมีตระกูลโจวที่ร่วมมือกับตระกูลหยู่เหวินด้วย”
“เอ็งคนเดียวไปหาเรื่องกับสองตระกูลใหญ่พร้อมกัน แม้แต่ตระกูลมู่หรงยังไม่กล้าทำแบบนี้เลย เอ็งอยากจะทำให้ตระกูลเฉินแห่งหนานซูกับเหม่ยหวา กรุ๊ปถูกคนร่วมมือกันโจมตีหรือไง?”
เฉินโม่ยิ้มเบาๆ “คุณพูดถูกต้อง ถ้าอาศัยแค่เหม่ยหวา กรุ๊ปกับตระกูลเฉินแห่งหนานซู ไม่มีทางไปรับมือกับตระกูลหยู่เหวินและตระกูลโจวได้ แต่ว่าผมทำไมต้องไปอาศัยอิทธิพลทางโลกแบบนั้นด้วยเล่า?”
“ขอเพียงผมยืนอยู่ตรงนี้ หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ ต่อให้ตระกูลโจวหรือตระกูลหยู่เหวินเก่งกาจแค่ไหน ผมก็จะใช้กระบี่ฟาดฟันไห้สิ้น!”
“ต่อให้เป็นตระกูลมู่หรงของคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของยานเอ๋อร์ ผมก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ!”
มู่หรงเค่อโมโหจนหัวเราะ “ไอ้หนู ความบ้าของมึงมันเหนือความคาดคิดของกูจริงๆ เลย ต่อให้เป็นลุงสุ่ยที่แข็งแกร่งอย่างนั้น ก็ยังไม่กล้าพูดโอ้อวดแบบนี้เลย แค่เด็กมัธยมปลายคนหนึ่งอย่างมึง กล้าพูดจาโอหังได้ถึงขนาดนี้เลยหรือวะ!”
“กูขอเตือนมึงหน่อย โลกนี้มันไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่มึงเห็นภายนอก!ในสายตาคนอื่น พลังของมึงมันเล็กน้อยเทียบกับอะไรไม่ได้หรอก!”
“เฉินโม่เอือมระอา “ตามใจคุณเถอะ อย่างไรเสียผมพูดอะไรไปคุณก็ไม่เชื่ออยู่ดี”
มู่หรงเค่อส่งเสียงไม่พอใจ “ครั้งก่อนกูก็เตือนมึงไปแล้ว ว่าวัยรุ่นจะมีนิสัยของตัวเองอย่างไรก็ได้ แต่จะโอหังอวดดีไม่ได้ ที่เห็นจากเรื่องนี้ มึงไม่เพียงไม่รู้จักเจียมตัวบ้าง แต่กลับเป็นหนักมากกว่าเดิมอีก”
“ในวิลล่าชิงหลงแห่งนี้ กูสามารถขวางโจวเทียนวั่งไว้ก่อนชั่วคราว แต่ถ้าออกไปนอกเขตของวิลล่าชิงหลง มึงก็รักษาตัวเองให้ดีก็แล้วกัน”
“กูจะไม่ไปหาเรื่องกับตระกูลโจวและตระกูลหยู่เหวินเพื่อมึงหรอก!”
“อย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณน้ำใจจากคุณหมู่หรงแล้วล่ะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมกลับไปได้แล้วใช่ไหม?” เฉินโม่พูดนิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“เกินเยียวยาแล้วจริงๆ ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน!” มู่หรงเค่อพูดด้วยเสียงไม่พอใจ แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป