แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 487
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 487
“ฉันไม่ยอม!”
เหรินเทียนหยู่อยากจะตะโกนขึ้นฟ้า แต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว พลังชีวิตและพละกำลังของเขาหมดไปอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงบนพื้น
เหรินเทียนหยู่มองไปในทิศทางของเฉินโม่ ยื่นมือที่เปื้อนเลือดออกมา และกล่าวด้วยความยากลำบาก “อาจารย์ของฉัน ไม่ปล่อยพวกแกไปอย่างแน่นอน…..”
หลังจากพูดจบ เหรินเทียนหยู่เอียงศีรษะและเสียชีวิตทันที!
ห้องโถงเงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจที่ทุกคนพยายามกลั้นเอาไว้
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าราบเรียบ ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ!
ผ่านไปเป็นเวลานาน ทุกคนจึงค่อย ๆ ได้สติ
เมื่อมองภาพที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังฝัน พลังความแข็งแกร่งของเหรินเทียนหยู่นั้นเกินจินตนาการของพวกเขาแล้ว แต่ภาพที่เฉินโม่ใช้ตะเกียบฆ่าคน ได้ล้มล้างความเข้าใจของพวกเขาต่อโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง
“ตะเกียบ…ก็สามารถฆ่าคนได้ด้วย?”
ทุกคนกำลังคิดข้อสงสัยนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ถึงแม้ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร พวกเขาก็ไม่เชื่ออย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ข้อเท็จจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำให้พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ
ลุงสุ่ยมองเฉินโม่ด้วยใบหน้าที่ตกใจไม่น้อยไปกว่าคนอื่น ๆ เหล่าคนดังของมณฑลเจียงหนานเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาเห็นเฉินโม่ใช้ตะเกียบฆ่าเหรินเทียนหยู่ที่ทรงพลัง แต่พวกเขาไม่รู้ความหมายที่อยู่เบื้องหลัง
ตะเกียบเป็นตะเกียบธรรมดาทั่วไป สิ่งสำคัญคือคนที่ใช้ตะเกียบ
ถ้าคิดจะใช้ตะเกียบหนึ่งอันฆ่าปรมาจารย์แดนในชั้นสูงสุด หรือแม้แต่ใกล้ปรมาจาย์ มันเป็นเพียงความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น แต่ถ้าคนที่ใช้ตะเกียบเป็นปรมาจารย์แดนแปรภาพในตำนานล่ะ?
เมื่อสักครู่ตอนที่เฉินโม่ขว้างตะเกียบออกไป ลุงสุ่ยสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าตะเกียบนั้นปกคลุมไปด้วยพลังในที่ทรงพลัง ดังนั้นตะเกียบจึงสามารถเจาะทะลุหัวใจของเหรินเทียนหยู่ได้โดยตรง
การปล่อยพลังในเป็นทักษะที่มีแต่ปรมาจารย์แดนแปรภาพเท่านั้นที่สามารถทำได้!
เฉินโม่เป็นปรมาจารย์แดนแปรภาพอย่างแท้จริง!
คนธรรมดาทั่วไปอาจไม่เข้าใจความหมายของปรมาจารย์ แต่เขาเป็นสมาชิกของโลกฝึกบู๊ ลุงสุ่ยเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความหมายของปรมาจารย์!
ตระกูลมู่หรงที่เป็นใหญ่ในมณฑลเจียงหนาน เยี่ยมมากเหรอ? แต่ทว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์แล้ว ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง ขอเพียงปรมาจารย์ต้องการพลังอำนาจเหมือนกับที่ตระกูลมู่หรงมี แค่เพียงโบกมือก็มีคนให้
สิ่งที่ทำให้ลุงสุ่ยตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือตอนนี้เฉินโม่มีอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น ปรมาจารย์หนุ่มอายุสิบแปดปี มีศักยภาพในการเติบโตที่ไม่สิ้นสุด และมีหวังที่จะทะลวงไปถึงดั่งเทพในตำนานได้!
“ปรมาจารย์หนุ่มอายุสิบแปดปี ฮ่า ๆ ถ้าผมไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ยังไงผมก็ไม่เชื่อ!” ลุงสุ่ยยิ้มด้วยความขมขื่น
หลังจากหายตกใจแล้ว มู่หรงเค่อมองเฉินโม่ด้วยสีหน้าเสียใจ ดูเหมือนว่าเขาจะแก่ลงไปอีกสิบปี เดิมใบหน้าที่น่าเกรงขาม ตอนนี้เต็มไปด้วยความละอายใจ
เมื่อนึกถึงคำพูดที่ตนเองเคยเยาะเย้ยเฉินโม่ก่อนหน้านั้นสองครั้ง มู่หรงเค่อรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง และแทบอยากจะมุดเข้าไปในดิน
“เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าเขาจองหองเกินไป อายุยังน้อยแต่กลับมีท่าทีจองหอง และเป็นคนที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ตอนนี้คิดแล้วมันช่างน่าขันสิ้นดี ที่แท้ผมถึงจะเป็นกบในกะลาอย่างแท้จริง เขาไม่ได้จองหอง แต่เขามีความสามารถที่จะพูดคำพูดเหล่านั้น!”
มิน่าล่ะเขาล่วงเกินโจวเทียนวั่งและตระกูลหยู่เหวินในคราวเดียวกัน แต่เขากลับไม่แยแส แล้วยังบอกว่าต่อให้พวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน ผมก็จะสามารถทำลายพวกเขาด้วยดาบเล่มเดียว ตอนนั้นผมคิดว่าเขาคุยโวโอ้อวด จองหองจนไร้ทางเยียวยา ตอนนี้คิดแล้วช่างน่าขำมาก! ถ้าผมมีพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงตระกูลโจวกับตระกูลหยู่เหวิน ถึงแม้ว่าบวกเพิ่มตระกูลมู่หรงของผมเข้าไปด้วย มีอะไรให้กลัว?”
“ถึงจะมั่งคั่ง ถึงจะมีพลังอำนาจ ผมจะทุบทำลายทั้งหมดด้วยหมัดเดียว!” เมื่อเทียบกับพลังแท้จริงที่สามารถควบคุมความเป็นความตายได้ เงินและสถานะในโลกฆราวาสเป็นเพียงขยะเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งถ้าคุณมีพลังเช่นนั้น แล้วคุณจะขาดแคลนความมั่งคั่งและสถานะได้อย่างไร?