แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 538
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 538
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ชายแซ่หูเงยหน้าจิบน้ำแล้วถามว่า “ศ.เฉิน ดูจากแผนที่ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนแล้ว? พวกเราเดินมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ตามหลักแล้วพวกเราควรจะมาถึงซากโบราณของแคว้นจิงเจวี๋ยแล้ว”
ศ.เฉินเปิดกระเป๋าเป้ แล้วหยิบแผนที่และไดอารี่ออกมา บอกว่ามันเป็นแผนที่ แต่ความจริงแล้วมันเป็นลายเส้นที่วาดด้วยมือ เขาวาดภูเขาสองลูกที่เหมือนมังกรสีดำ โดยมีพระอาทิตย์ตกอยู่ตรงกลาง
ศ.เฉินกล่าวเบา ๆ ว่า “เมื่อมังกรสีดำทั้งสองกำลังจะกลืนกินดวงอาทิตย์ ที่นั่นก็จะเป็นประตูสู่แคว้นผี”
“ไดอารี่บันทึกไว้แบบนี้ มันหมายความว่าอย่างไร? ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ จะมีมังกรสีดำสองตัวได้อย่างไร?”
ทุกคนต่างรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย เบาะแสเหล่านี้น้อยเกินไป บางทีทะเลทรายแห่งความตายอาจจะใหญ่เกินไป อยู่ต่อหน้าทะเลทรายแล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กมาก แม้แต่ซากโบราณของเมืองโบราณจิงเจวี๋ย เมื่ออยู่ต่อหน้าทะเลทรายแห่งความตายแล้ว เป็นเพียงดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลยามค่ำคืนเท่านั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกท้อแท้ ชายแซ่หวางชี้พระอาทิตย์ตกดินที่อยู่ตรงริมขอบฟ้า ตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า “ไอ้หู แกดูนั่นสิ!”
เมื่อทุกคนได้ยินก็หันไปมอง ทุกคนต่างตกตะลึง
ขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน มีเส้นสีดำสองเส้นปรากฏขึ้นในแสงตะวันยามอัสดง ราวกับมังกรสีดำสองตัวอ้าปาก ต้องการกลืนกินดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
“โอ้ สวรรค์ นั่นคือภูเขาศักลามาชิ!” ลุงอานคุกเข่าลงบนพื้นทันที แล้วกราบด้วยความศรัทธา
ชายแซ่หูกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ดวงอาทิตย์ที่ดับก็คือดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ส่วนมังกรดำสองตัวนั้นก็คือภูเขาศักลามาชิ!”
“และที่นั่นก็คือประตูเข้าสู่เมืองโบราณจิงเจวี๋ย!” ชายแซ่หูตะโกนด้วยความตื่นเต้น
ศ.เฉินและคนอื่นๆ ต่างได้สติกลับมาเช่นกัน พวกเขาตื่นเต้นจนร่างกายสั่น “ถูกต้อง ที่นั่นเหมือนภาพวาดที่อยู่ในแผนที่เมืองโบราณจิงเจวี๋ย ในที่สุดพวกเราก็หาเจอแล้ว!”
เฉินโม่มองมังกรยักษ์สีดำทั้งสอง และด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขา ทำให้เขาสามารถมองเห็นว่า ความจริงแล้วมันเป็นภูเขาแม่เหล็กสีดำสองลูก เหมือนเป็นแนวป้องกันธรรมชาติที่คอยปกป้องแคว้นจิงเจวี๋ย
อย่างไรก็ตาม เฉินโม่รู้สึกสงสัย ตามหลักแล้วภูเขาแม่เหล็กจะสมบูรณ์เสมอ แต่ทำไมภูเขาแม่เหล็กลูกนี้ถึงแยกจากกัน รอยร้าวตรงกลางเหมือนถูกกระบี่ตัดออก ดูไม่เหมือนแยกตามธรรมชาติ แต่กลับดูเหมือนว่าถูกคนตัดด้วยกระบี่
ตามคำกล่าวที่ว่า มองแล้วใกล้ แต่ความจริงแล้วไกล ถึงแม้ว่าทุกคนจะเห็นทางเข้าสู่เมืองโบราณจิงเจวี๋ยแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันจึงจะไปถึงที่นั่น
ตอนกลางคืน ทีมงานตั้งค่ายพักแรม ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นมาก หลังจากเดินทางด้วยความยากลำบากมาครึ่งเดือน เจออันตรายจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ในที่สุดก็สามารถเห็นผลลัพธ์แล้ว
ขณะที่ทุกคนหลับสนิท ชายชราคนหนึ่งกับชายหนุ่มคนหนึ่งเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ แม้แต่ชายแซ่หวางที่เฝ้ายามอยู่ก็ไม่ทันสังเกตเห็น
“เฉินไต้ซือ ผมได้ยินโจรปล้นสุสานคนนั้นบอกว่า สถานที่ที่เขาเจอกระจกทองสัมฤทธิ์ก็คือที่นี่” หยวนชิงซานหายใจหอบและกล่าว ตอนนี้เขาเคลื่อนชี่แท้ไปทั่วร่างกาย แล้วก้าวฝีเท้าอย่างรวดเร็ว ถึงจะสามารถตามเฉินโม่ทัน
เฉินโม่เอามือทั้งสองไพล่หลังอย่างสงบ เดินเหมือนอยู่บนก้อนเมฆ แต่ทุกย่างก้าวห่างกันหลายฟุต จนทำให้หยวนชิงซานรู้สึกตกตะลึง
ระยะทางที่ทีมสำรวจต้องใช้เวลาเดินทางสองวัน แต่เฉินโม่กับหยวนชิงซานใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และตอนที่ฟ้าสาง เฉินโม่กับหยวนชิงซานก็ยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาศักลามาชิแล้ว
เมื่อมองช่องว่างระหว่างภูเขาแม่เหล็กทั้งสองลูกอย่างละเอียด ทำให้เฉินโม่มั่นใจการเดาของตนเอง ช่องว่างนี้ถูกคนตัดด้วยกระบี่จริง ๆ
ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นพันปี แต่บนรอยตัดทั้งสองข้างของภูเขาแม่เหล็ก ยังมีร่องรอยของพลังทิพย์หลงเหลืออยู่เล็กน้อย
ตามคำวินิจฉัยของเฉินโม่แล้ว ผู้บำเพ็ญที่ใช้ดาบเดียวแล้วสามารถตัดภูเขาแม่เหล็กได้ อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับแดนยาทอง