แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 724
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 724
“นี่มันอะไรกันแน่?” จี๋ต๋าจิ่วตูรู้สึกอึ้งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่พวกเขาเกือบจะทะเลาะวิวาทกันแล้ว ทำไมตอนนี้บอกว่านั่งลงก็นั่งลงทันที?
ตอนนี้ มีเพียงจี๋ต๋าจิ่วตูยืนอยู่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งทำให้เขากลายเป็นจุดเด่น
เนื่องจากเป็นเพราะเล่หรูหั่ว ทำให้พวกเขาไม่สามารถยั่วยุเฉินโม่ได้ แต่สำหรับคนอื่นแล้ว พวกเขาไม่เกรงใจอย่างแน่นอน
ผู้ชายสองคนนั้นเดินไปหาจี๋ต๋าจิ่วตูด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
จี๋ต๋าจิ่วตูรีบนั่งลงและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ่า ๆ สวัสดีครับ!”
แต่สองคนนั้นไม่เล่นด้วย หนึ่งในนั้นกล่าวเย้ยหยันว่า “เมื่อสักครู่นายตะโกนว่าจะไปไม่ใช่เหรอ? แล้วนั่งลงอีกทำไม?”
สีหน้าของอีกคนเต็มไปด้วยความเหยียดหยามเช่นกัน เขาเอามือกอดอก มองเยาะเย้ยจี๋ต๋าจิ่วตูด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
จี๋ต๋าจิ่วตูหันไปขอความช่วยเหลือจากห่าวเจี้ยน… เฮ้อ ห่าวเจี้ยนล่ะ? อ้อ เขาไปเข้าห้องน้ำ
จี๋ต๋าจิ่วตูหันไปมองเหวินถิงอี้อีกครั้ง แต่เหวินถิงอี้แกล้งหลับ
สุดท้าย จี๋ต๋าจิ่วตูทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากเจี่ยจวินซื่อ
เพียงแต่เจี่ยจวินซื่อกำลังจิบไวน์แดงอย่างสบาย ๆ และไม่คิดที่จะช่วยเขา
จี๋ต๋าจิ่วตูรู้สึกหมดหวังและด่าอยู่ในใจ “พวกนายล้วนเป็นคนแล้งน้ำใจ คราวนี้ถือเสียว่าฉันโชคร้ายแล้วกัน!”
“ฮ่า ๆ พวกนายสองคน เมื่อสักครู่ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้น ฮ่า ๆ เหมือนที่คุณชายเสิ่นพูดเล่น พวกนายอย่าถือเป็นเรื่องจริงจังเลย!” จี๋ต๋าจิ่วตูหัวเราะ
“ฮึ่ม นายเป็นตัวอะไร คู่ควรที่จะเปรียบเทียบกับคุณชายเสิ่นเหรอ?” เมื่อพวกเขาเห็นว่าจี๋ต๋าจิ่วตูเกรงกลัว หนึ่งในนั้นก็ดูหมิ่นเขาอย่างรุนแรง
เหวินถิงอี้ลืมตาขึ้นทันที มองสองคนนั้นด้วยสีหน้าโมโหเล็กน้อย
มือที่ถือแก้วไวน์ของเจี่ยจวินซื่อสั่นเล็กน้อย ไวน์แดงกระเด็นออกมาข้างนอกหนึ่งหยด
รอยยิ้มประจบของจี๋ต๋าจิ่วตูค่อย ๆ จางหายไป เขาหรี่ตามองสองคนนั้น
ส่วนเฉินโม่ที่นั่งอยู่ข้างเล่หรูหั่ว ตอนแรกเขาหรี่ตายอยู่ แต่ตอนนี้เขาลืมตาขึ้นมา แล้วพลังที่เย็นยะเยือกก็แผ่กระจายไปอย่างเงียบ ๆ
เล่หรูหั่วรู้สึกเย็นลำคอเล็กน้อย เหลือบมองเฉินโม่ด้วยความสับสนเล็กน้อย
เสิ่นเจี้ยนเหวินถือแก้วไวน์อยู่ในมือด้วยท่าทางสงบ มีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่บนใบหน้าที่หล่อเหลา และทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร
จี๋ต๋าจิ่วตูยืดร่างกายที่อ้วนขึ้นตรง มองทั้งสองคนด้วยท่าทางที่ไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนเองอ่อนแอกว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถเทียบคุณชายเสิ่นที่เป็นคนพูดจากลับกลอกได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ดีกว่าสุนัขที่คุณชายเสิ่นเลี้ยงเอาไว้!”
“นายว่าอะไรน่ะ?!” สีหน้าของผู้ชายสองคนนั้นเต็มไปด้วยความโมโห พวกเขามองจี๋ต๋าจิ่วตูและแสดงท่าทางเหมือนกำลังจะลงมือ
“ไอ้อ้วน พูดได้ดีมาก!” ไม่รู้ว่าห่าวเจี้ยนเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ ๆ ก็มายืนอยู่ข้างจี๋ต๋าจิ่วตู เขายืดอกตรงเช่นกัน และมีความน่าเกรงขามเช่นกัน
เหวินถิงอี้ลุกขึ้นเช่นกัน ประสานมือทั้งสองแล้วคำนับไปทางผู้ชายสองคนนั้นและกล่าวว่า “เมิ่งจื้อกล่าวว่า อย่าเปลี่ยนเจตจำนงตอนที่คุณยากจน และอย่าเปลี่ยนทัศนคติของคุณตอนที่อยู่ใต้อำนาจ เถาหยวนหมิงไม่ยอมก้มหัวให้กับผลประโยชน์ พวกนายในฐานะที่เป็นนักศึกษา แต่ความหยิ่งในศักดิ์ศรีนั้นสู้คนโบราณไม่ได้ ฉันรู้สึกอายที่จะเป็นเพื่อนกับพวกนาย!”
หลังจากเหวินถิงอี้กล่าวจบ มองทั้งสองคนด้วยความสีหน้ารังเกียจ
พวกเขาสองคนเป็นคนในท้องถิ่นของเมืองหนานหัวเช่นกัน ฐานะครอบครัวของพวกเขาก็ดีเช่นกัน ติดหนึ่งในสิบอันดับของเพื่อนนักศึกษาห้องนี้ด้วย แต่ตระกูลเสิ่นที่อยู่เบื้องหลังเสิ่นเจี้ยนเหวิน เป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในเมืองหนานหัว และในฐานะที่พวกเขาเป็นคนเมืองหนานหัวเหมือนกัน ทำให้พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินเสิ่นเจี้ยนเหวิน
แต่ตอนนี้พวกเขาสองคนถูกจี๋ต๋าจิ่วตูและเหวินถิงอี้เหยียดหยามจนไร้ค่า แล้วพวกเขาสองคนจะยอมรามือได้อย่างไร!
“พวกนายอยากลองดีใช่ไหม?” ทั้งสองคนขยิบตาไปยังทิศทางหนึ่ง จากนั้นก็มีผู้ชายสี่คนเดินเข้ามาทันที