แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี - บทที่ 149
แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี – บทที่ 149 ใครหน้าไม่อาย / บทที่ 150 นายอ่อนแอเกินไป
บทที่ 149 ใครหน้าไม่อาย
“ไม่… ไม่เป็นไรเลย! ที่จริงแล้วผมว่างก็เลยซื้อมาให้” ฉู่เฟิงพูดจบก็รีบมองไปที่เยี่ยหวั่นหวันอีก แล้วพูดขึ้นมา “พี่หวั่นหวัน พี่ก็เลือกด้วยนะ!”
เรียกว่าพี่สาวแบบนี้ ปากหวานเสียจริง
เยี่ยหวั่นหวันยิ้มมุมปากอย่างพอใจ “งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ!”
ทั้งสามคนแบ่งอาหารเช้ากันอย่างสนุกสนาน ลืมซ่งจื่อหางที่อยู่ข้างๆ ไปเลย
ซ่งจื่อหางจิกถุงพลาสติกในมือแน่น รู้สึกได้ถึงความอัปยศอดสูอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน สีหน้าโกรธจัด “เจียงเยียนหราน! ถือว่าที่ผ่านมาผมดูคุณผิด ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าคุณเป็นคนแบบนี้ อยู่ต่อหน้าทำเป็นหลงรักผมเหลือเกิน ลับหลังกลับอ่อยคนไปทั่ว!
ผมได้ยินเมิ่งฉีบอกว่า หลังคุณย้ายออกไปตอนนี้ไปนอนห้องเดียวกับยัยอัปลักษณ์นี่ คบคนพาลพาลไปหาผิด เมิ่งฉีเป็นเพื่อนร่วมห้องที่เยี่ยมขนาดนี้ จิตใจดีขนาดนี้คุณไม่ต้องการ กลับไปคลุกอยู่กับคนประเภทนี้ มิน่าตอนนี้ถึงได้กลายเป็นคนน่าไม่อายขนาดนี้!”
เยี่ยหวั่นหวันได้ยิน ก็เลิกคิ้วด้วยความขำ มาบอกว่าเยียนหรานอ่อยไปทั่ว?
เกรงว่าอีกไม่นานเขาจะรู้ ว่าใครกันแน่คือคนที่ชอบอ่อยที่แท้จริง
เจียงเยียนหรานหน้าซีดขึ้นมาทันที เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลย คนที่เธอชอบมาหลายปีขนาดนี้ หลังจากโดนฉีกหน้าจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ที่ทำให้เธอทนไม่ไหวมากที่สุดก็คือ เขาไม่เพียงแต่ดูถูกเธอ แต่ยังใส่ร้ายหวั่นหวันด้วย
เจียงเยียนหรานโมโหจนสั่นไปทั้งตัว กำลังจะพูด ทันใดนั้นผู้ชายข้างๆ ก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว บังเธอไว้ด้านหลัง จ้องมองซ่งจื่อหางด้วยสายตาเยือกเย็นแล้วพูดขึ้นมา “คนสารเลวที่เนรคุณอย่างนาย ยังมีสิทธิ์มาว่าคนอื่นอีกเหรอ?
ผลการเรียนพี่หวั่นหวันเป็นอันดับหนึ่งของชั้นเรียน ผลการเรียนก็นำหน้าไปไกล เก่งกว่า เทียบกับหญิงแสนบริสุทธิ์เลิศเลอที่นายพูดถึงนั้นเก่งกว่าเยอะเลย เฉินเมิ่งฉีที่มาตรฐานระดับขยะยังกล้าจะเดินตามรอยหรือ? เธอไปเอาความเชื่อมั่นมาจากใคร?
ตอนที่เยี่ยนหรานดีกับนาย นายไม่เห็นคุณค่า เห็นเธอเป็นของตาย เหยียบย่ำความจริงใจของเธอ กระทั่งไปจีบเพื่อนสนิทเธอ ปฏิเสธเรื่องสัญญาการแต่งงานต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน ตอนนี้กลับมาทึกทักเอาเองโทษว่าเยียนหรานไม่ยอมให้นายกลั่นแกล้งเหยียบย่ำอีกต่อไป ตกลงใครหน้าไม่อายกันแน่?”
ได้ยินคำนี้ของฉู่เฟิง เยี่ยหวั่นหวันรู้สึกแปลกใจ มองไม่ออกเลย นายนี่เวลาอยู่ต่อหน้าเยียนหรานพูดจาอึกๆ อักๆ แต่กลับมีด้านที่ปากร้ายแบบนี้ด้วย
เห็นแค่ซ่งจื่อหางที่โดนเขาด่าจนหน้างอไปหมด “นาย…”
“นายอะไร! นายตาบอดเองไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะตาบอดด้วย! แม้แต่ใส่รองเท้าให้เยียนหรานนายยังไม่คู่ควรเลย! คนอย่างนายสมควรจะเป็นผู้ชายหรือ? แม้แต่คนนายยังไม่คู่ควรเลย! ยังเทียบไม่ได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน!”
“หึ…” เยี่ยหวั่นหวันได้ยินก็อดปรบมือให้กำลังใจไม่ได้
“ฉู่เฟิง! นายหาเรื่องตายเองนะ!” ในที่สุดซ่งจื่อหางก็โมโหเพราะอับอาย โยนของในมือทิ้งแล้วพุ่งเข้าไป
ฉู่เฟิงวางของในมือลงอย่างรวดเร็ว แล้วรับมือเช่นเดียวกัน แต่เพราะช้าไปหนึ่งก้าว เลยโดนหมัดซ่งจื่อหางชกเข้าไปที่ตาหนึ่งหมัด ตัวเซถอยไปด้านหลัง
เจียงเยียนหรานตะโกนร้องด้วยความตกใจทันที “ฉู่เฟิง!”
สีหน้าเยี่ยหวั่นหวันกลับดูสงบนิ่ง ที่จริงการทะเลาะกันครั้งนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นยังไง ฉู่เฟิงก็ชนะอยู่ดี
เพราะเจียงเยียนหรานเป็นห่วงฉู่เฟิง ไม่ใช่ซ่งจื่อหาง
“หวั่นหวัน ทำยังไงดี! ซ่งจื่อหางเขาฝึกมาตั้งแต่เด็ก ฉู่เฟิงเสียเปรียบแน่!” เจียงเยียนหรานพูดอย่างร้อนรน
ซ่งจื่อหางออกหมัดทั้งรุนแรงและโหดเ**้ยม อีกทั้งว่องไวมากด้วย ดูจากท่าทางก็รู้ว่าว่าผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจังมา ระหว่างที่พูดกันฉู่เฟิงก็โดนไปหลายหมัด
เยี่ยหวั่นหวันขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้จะทำให้เยียนหรานเจ็บปวดนิดหน่อย แต่โดนสารเลวซ่งจื่อหางนั้นชกจนหน้าบวมเหมือนหมู ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
แต่เรื่องแบบนี้ พวกเธอผู้หญิงสองคนช่วยอะไรไม่ได้นี่นา?
เยี่ยหวั่นหวันรวบรวมสมาธิและจ้องมองดู จากนั้นพบว่าซ่งจื่อหางที่ออกหมัดทั้งเร็วและเ**้ยมโหดนั้นหมัดต่อไปจะปล่อยไปทางไหน รวมทั้งจุดอ่อนของเขา แทบจะเดาไม่ยากเลย…
………………………………………………………….
บทที่ 150 นายอ่อนแอเกินไป
เยี่ยหวั่นหวันไม่ทันได้คิดมาก ก็พูดออกไป “ฉู่เฟิง หลบ! ทางขวา!”
ฉู่เฟิงอึ้งไป แต่ยังดีที่เขาตอบสนองได้เร็ว เบี่ยงไปทางขวาทันที สามารถหลบหมัดที่น่ากลัวของซ่งจื่อหานได้จริงด้วย
“โจมตีเข้าไปที่ซี่โครงซ้ายเขา!” เยี่ยหวั่นหวันพูดต่อ
ซ่งจื่อหางป้องกันไม่ทัน เปิดช่องว่างฝั่งซี่โครงซ้ายไว้เยอะ เลยโดนหมัดของฉู่เฟิงสวนเข้าไปทางกระดูกซี่โครงด้านซ้ายทันที เจ็บจนตัวงอ
ซ่งจื่อหางเพิ่งยืดตัวขึ้นมาเตรียมจะโจมตีเข้าที่หน้าอกของฉู่เฟิง ปรากฏว่าโดนเยี่ยหวั่นหวันที่อยู่ข้างๆ ร้องเตือน “ระวังหน้าอก!”
……..
หลายนาทีต่อมา ฉู่เฟิงที่เดิมทีโดนชกจนอ่วมกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไม่ว่าซ่งจื่อหางจะทำอะไรเขาก็หลบได้หมด แล้วสวนกลับไป
ใบหน้าซ่งจื่อหางกระหืดกระหอบไปหมด สีหน้าที่หันไปจ้องมองเยี่ยหวั่นหวันนั้นโมโหจนแทบอยากจะจับเธอกิน “ฉู่เฟิง ใครกันแน่ที่ไม่สมเป็นลูกผู้ชาย นายเป็นผู้ชายตัวใหญ่เสียเปล่า ชกกันยังต้องพึ่งผู้หญิงอีก!”
เยี่ยหวั่นหวันที่อยู่ข้างๆ พึมพำด้วยสีหน้าไร้เดียวสา “หึ แค่ผู้หญิงคนเดียว พูดมั่วๆ ไปไม่กี่คำเท่านั้นเอง ยังสามารถทำให้นายโดนชกจนหน้าบวมเป็นหมูได้เลย หัวหน้าทีมซ่ง นายอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า?”
“เธอ…” ซ่งจื่อหางโมโหแทบตายแล้ว
ประหลาดจริงๆ เยี่ยหวั่นหวันคนนี้น่าสงสัยเกินไป ถ้าครั้งสองครั้งก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เธอดูออกทุกครั้งว่าต่อไปเขาจะออกหมัดยังไง
หรือว่าเยี่ยหวั่นหวันก็ฝึกมาเหมือนกัน?
เธอเป็นผู้หญิง จะเป็นไปได้ยังไง!
พ่อเขาถึงกับออกเงินก้อนใหญ่เพื่อเชิญอาจารย์ที่โด่งดังระดับนานาชาติมาสอนเขาเลย ถึงแม้เขาจะเรียนมาได้นิดหน่อยแต่ก็พอใช้แล้ว ทำไมเยี่ยหวั่นหวันถึงมองกระบวกท่าเขาออก?
เวลานี้ นักเรียนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มมากขึ้น ซ่งจื่อหางกลัวว่าถ้าพัวพันต่อไป จะขายหน้าคนอื่น สุดท้ายเลยจ้องทั้งสามคนอย่างอาฆาต แล้วเดินจากไป “เจียงเยียนหราน คุณจะต้องเสียใจ!”
หลังซ่งจื่อหางโมโหเดินออกไป ฉู่เฟิงก็ยกมือขึ้นมาเช็ดเลือดที่มุมปาก เดินไปข้างหน้าเยี่ยหวั่นหวันด้วยความดีใจ “พี่หวั่นหวัน พี่เก่งมากเลย! ทำไมพี่ถึงอ่านความคิดออก รู้ว่าต่อไปเขาจะทำอะไร?”
เจียงเยียนหรานก็มองไปทางเยี่ยหวั่นหวันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เยี่ยหวั่นหวันกระแอมเบาๆ “คนที่ดูจะเห็นชัดเจน! ฝีมือซ่งจื่อหางห่วยขนาดนั้น พวกเธอมองให้ละเอียดก็มองออกเหมือนกัน!”
“แบบนี้นี่เอง…”
ทั้งสองคนไม่ได้คิดมาก
“คุณเลือดออกแล้ว…” เจียงเยียนหรานมองไปที่มุมปากและดวงตาของชายหนุ่มตรงข้ามด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะ ทำให้คุณเดือดร้อนไปด้วยเลย”
ฉู่เฟิงส่ายหน้า ใบหูแดง และกลับมาท่าทางเคอะเขินเหมือนเดิม “ที่ไหนกัน ผมมันไม่ได้เรื่องเอง ปกป้องคุณไม่ได้! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะตั้งใจฝึกซ้อม!”
เจียงเยียนหรานไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี “ฉันพาคุณไปห้องพยาบาลดีกว่า!”
ฉู่เฟิงกำลังจะพูดว่าไม่เป็นไร ปรากฏว่าสบตากับแววตาที่เตือนของเยี่ยหวั่นหวันตรงข้าม เลยกลืนคำพูดที่แต่เดิมจะพูดลงไป แล้วเปลี่ยนคำพูด “งั้น…รบกวนคุณด้วยนะ!”
เจียงเยียนหรานมองไปทางเยี่ยหวั่นหวันแล้วพูด “หวั่นหวัน เธอไปกินข้าวก่อนเถอะ ฉันจะไปห้องพยาบาลเป็นเพื่อนฉู่เฟิง”
เยี่ยหวั่นหวันรีบโบกมือ “รีบไปเถอะ รีบไปเถอะ!”
หลังเจียงเยียนหรานและฉู่เฟิงเดินจากไป เยี่ยหวั่นหวันยังยืนอยู่ที่เดิม สีหน้านิ่ง จมเข้าไปในความคิด
อันที่จริง สำหรับคนที่มีฝีมือดี คนที่มีประสบการณ์ฝึกฝนมาก่อน สามารถมองการเคลื่อนไหวและกระบวนท่าออกนั้นเป็นเรื่องปกติ
สำหรับพวกเขาแล้วก็เหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง นับเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง