แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี - บทที่ 333 ครอบครองบ้านของคนอื่น บทที่ 334 ของที่ให้ไปแล้ว
- Home
- แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี
- บทที่ 333 ครอบครองบ้านของคนอื่น บทที่ 334 ของที่ให้ไปแล้ว
บทที่ 333 ครอบครองบ้านของคนอื่น / บทที่ 334 ของที่ให้ไปแล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 333 ครอบครองบ้านของคนอื่น
มองใบหน้าเรียวเล็กสวยงามของเยี่ยหวันหวั่น แล้วมองใบหน้าของเหลียงซือหานลูกสาวของตัวเอง สีหน้าของฟางซิ่วหมิ่นพลันบูดบึ้งขึ้นอีกหลายส่วน
หากเยี่ยหวันหวั่นเป็นผู้หญิงอัปลักษณ์? เช่นนั้นลูกสาวของเธอฟางซิ่วหมิ่นจะนับว่าเป็นอะไร?!
ทางด้านฟางซิ่วหมิ่นปากยังกระตุกไม่หยุด ทว่าเยี่ยหวันหวั่นในเวลานี้ ได้ส่งสายตามองมาที่ตนอีกครั้ง มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่หรี่เล็กลงกว่าครึ่ง มองฟางซิ่วหมิ่นเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มพลางกล่าว
“น้าหญิง คำพูดของน้าเมื่อครู่ หวันหวั่นเห็นว่ามีเหตุผลมาก”
ฟางซิ่วหมิ่นชะงักไปเล็กน้อย พลันนึกไม่ออกว่าเมื่อครู่ตัวเองพูดว่าอะไร
เหลียงซือหานที่ตื่นจากความตกตะลึงมาแล้ว เมื่อได้เห็นใบหน้างดงามไร้ที่ติของเยี่ยหวันหวั่น แววตาของความริษยาพลันพุ่งตรงออกมาจากนัยน์ตา
มีสิทธิอะไร?
มีสิทธิอะไรเยี่ยหวันหวั่นถึงได้หน้าตาดีแบบนี้?
เขาล่ะนับเป็นตัวอะไร!
เหลียงซือหานนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของฟางซิ่วหมิ่นขึ้นได้ จึงพูดทันทีด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เยี่ยหวันหวั่น ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เธอไม่มารับพ่อกับแม่เธอไปด้วยเลยล่ะ”
เมื่อก่อนฟางซิ่วหมิ่นได้แต่ตำหนิว่าเยี่ยหวันหวั่นไม่สนใจพ่อแม่ ปล่อยให้พ่อแม่ไปอยู่กับครอบครัวคนอื่น
ในเมื่อเยี่ยหวันหวั่นรู้สึกว่ามันถูกต้อง ก็ให้เธอถูกต้องให้พอ!
เหลียงซือหานมองเยี่ยหวันหวั่นอย่างมีชัย รอดูว่าเยี่ยหวันหวั่นจะโต้ตอบอย่างไร
หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อะไร?
ก็เป็นแค่ดอกไม้ประดับแจกันที่ไร้ความรู้ไร้ความสามารถไม่ใช่เหรอ!
เยี่ยหวันหวั่นเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มมองหน้าของคางคกขึ้นวออย่างเหลียงซือหาน องศาโค้งของมุมปากยิ่งลึกลงไปอีก เธอเอียงศีรษะเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนที่ต้องพาพ่อกับแม่ออกไป ไม่ใช่น้องสาวลูกพี่ลูกน้องอย่างเธอหรอกเหรอ?”
คำพูดของเยี่ยหวันหวั่นทำให้ฟางซิ่วหมิ่นและเหลียงซือหานชะงักอึ้งไปเลยจริงๆ
“เยี่ยหวันหวั่น เธอพูดอะไรนะ?!” ตอนนี้ฟางซิ่วหมิ่นลุกพรวดขึ้นมา ชี้หน้าตะคอกใส่เยี่ยหวันหวั่น
จากนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหวันหวั่นพลันหุบลงอย่างรวดเร็ว แววตาเผยความเย็นชา “น้าหญิง ตั้งแต่วันที่น้ากับน้าชายแต่งงานกัน ก็พักอาศัยอยู่บ้านของเรามาโดยตลอด ถึงตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมายี่สิบกว่าปีแล้ว”
ไม่รอให้ฟางซิ่วหมิ่นและเหลียงซือหานเอ่ยพูด ก็ถูกเยี่ยหวันหวั่นพูดตัดไปตรงๆ “เดิมทีก็ไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวย ห้องก็ไม่ได้ใหญ่โต หลังจากที่คุณน้ากับคุณน้าชายมีน้องแล้ว บ้านก็ยิ่งแออัด ด้วยเหตุนี้จึงควรย้าย หนูกับพี่ชายของหนูมีบ้านแต่กลับไม่ได้ ทำได้เพียงพักอยู่ข้างนอก เมื่อครู่น้องสาวพูดอย่างทะเยอทะยานมั่นใจ พูดตลอดว่าอยากรับพวกคุณน้าออกไป ไม่อยากรบกวนคนอื่น ซึ่งแบบนี้ก็ดีมากเลย หนูกับพี่ชายของหนูจะได้กลับมาอยู่ที่บ้าน คอยดูแลพ่อกับแม่ได้”
“เยี่ยหวันหวั่น เธอกำลังพูดจาเหลวไหลอะไร?” ฟางซิ่วหมิ่นถลึงตาจ้องเยี่ยหวันหวั่นพลันกล่าว “พ่อกับแม่ของเธอต่างหากที่มาอาศัยในบ้านของพวกเรา!”
เผชิญหน้ากับฟางซิ่วหมิ่นที่โกรธสุดขีด เยี่ยหวันหวั่นหยักยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย โค้งเป็นรอยยิ้มเสน่ห์ชั่วร้าย “น้าหญิงคะ อายุของน้าก็มากแล้ว เกรงว่าคงจะหลงลืม ตอนที่คุณน้าแต่งงานกับคุณน้าชาย ทั้งสองยากจนข้นแค้น อย่าว่าแต่ซื้อบ้านเลย แม้แต่งานแต่งของพวกน้าทั้งสองก็มีพ่อแม่ของหนูเป็นคนจัดการให้ และบ้านที่พวกคุณอยู่ในตอนนี้ ก็เป็นพ่อของหนูที่ซื้อมาเองตั้งแต่แรก และยกให้คุณน้ากับน้าชายได้พักอาศัยกันชั่วคราว
แต่ว่าต่อมาคุณน้าหญิงและคุณน้าชายไม่มีวี่แววจะย้ายออกเลย พ่อแม่ของหนูก็ไม่อยากพูดมากอะไร อย่างไรแล้วเราก็เป็นญาติกัน อีกอย่างพ่อแม่ของหนูก็ทำเรื่องเลวทรามอย่างการขับไล่ญาติพี่น้องไม่ลง ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีมานี้ก็ไม่เคยเก็บค่าเช่าบ้านเลยสักแดงเดียว
แต่ว่าหนูได้ยินคำพูดทะเยอทะยานมั่นใจของน้องสาวแล้ว เหมือนมีความหมายว่าจะรับคุณน้าหญิงคุณน้าชายย้ายออก นี่ก็เป็นแค่คำพูดไม่กี่คำเท่านั้น หากน้องสาวมีความทระนงแบบนี้จริงๆ หนูในฐานะพี่สาวก็ต้องขอชื่นชม”
พูดมาถึงตรงนี้ เยี่ยหวันหวั่นก็มองไปทางเหลียงซือหานอย่างมีนัย พลางแกล้งทำเป็นพูด “เพียงแต่หนูเห็นว่าตอนนี้น้องสาวเหมือนจะยังไม่มีความสามารถนี้ ถึงได้…อย่างไรแล้วน้องสาวก็อาศัยอยู่ที่บ้านของเรามาโดยตลอด ไม่เคยออกจากบ้านเลย แล้วจะไปพูดว่าอยากรับพ่อกับแม่ออกไปแบบนั้นได้อย่างไร?”
……………………..…………………
บทที่ 334 ของที่ให้ไปแล้ว
“เยี่ยหวันหวั่น เธอ!”
ฟางซิ่วหมิ่นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หน้าตาดำคล้ำเป็นที่สุด ทว่าหัวใจกลับเต้นรัว
ตอนแรกที่เธอแต่งงานกับเหลียงเจียหาว ไม่มีเงินสักสลึงจริงๆ ค่าใช้จ่ายงานแต่งทั้งหมดในตอนนั้น เยี่ยเส่าถิงเป็นคนจ่ายทั้งหมด แต่ฟางซิ่วหมิ่นไม่เคยเห็นว่าเรื่องนี้จะมีอะไร ในเมื่อมอบให้พวกเขาแล้ว ของเหล่านั้นย่อมต้องกลายเป็นของพวกเขา
เธอฝันก็ยังคิดไม่ถึงว่าเยี่ยหวันหวั่นจะมาเปิดโปงเรื่องทั้งหมดต่อหน้าผู้คนเช่นนี้!
“เฮ้อ…” เยี่ยหวันหวั่นเห็นฟางซิ่วหมิ่นโกรธจนหน้าซีด ส่ายหน้าคล้ายกับจนใจ แล้วหันไปพูดกับเยี่ยมู่ฝาน “พี่ หลายปีมานี้ ลำบากพวกเราแล้วจริงๆ แต่ว่าครอบครัวคุณน้ายังมีภาระลูกน้อย ก็ลำบากเหมือนกัน ในเมื่อน้าหญิงไม่ยอมย้ายออก พวกเราในฐานะผู้น้อย คงต้องดิ้นรนด้วยตัวเองไปก่อน แต่ก็ทำใจขับไล่พวกเขาสามคนไปไม่ได้”
เยี่ยมู่ฝานมองเยี่ยหวันหวั่นที่พูดจาสำบัดสำนวนด้วยสายตาประหลาดใจ คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าน้องสาวของตัวเอง จะกล้ามาสร้างความน่าอัปยศให้กับพวกฟางซิ่วหมิ่นต่อหน้าผู้คนในวันนี้ได้ รู้สึกสะใจเป็นอย่างมาก แม้จะยังไม่อาจสนิทใจกับน้องสาวคนนี้ได้ แต่เวลานี้ก็ยังให้ความร่วมมือเอ่ยเบาๆ “หนังหน้าของพวกเราบางไปหน่อย”
เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้ารับ “ถูกต้อง ไม่เหมือนคนอื่นทำตัวเป็นโจรยึดครองแผ่นดินตั้งตัวเป็นใหญ่ เอาของเจ้านายมาเป็นของตัวเอง หนำซ้ำยังจะขับไล่เจ้านายอีก”
“เหมือนสุภาษิตที่เขาพูดว่าอะไรนะ…” เยี่ยมู่ฝานเท้าแก้มครุ่นคิด รับส่งอย่างรู้ใจกันดีกับเยี่ยหวันหวั่น
“พิราบยึดรังนกสาลิกา[1]” เยี่ยหวันหวั่นหัวเราะกระซิก สายตาเหมือนใช่แต่ก็ไม่เชิงชำเลืองไปทางพวกฟางซิ่วหมิ่น
เพราะคำพูดเหล่านี้ของเยี่ยหวันหวั่น เหลียงเจียหาวโกรธจนหน้าบวมแดง ไม่อาจหาคำมาคัดค้านได้สักคำ
เวลานี้ แขกเหรื่อในงานต่างมองหน้ากันด้วยท่าทางแปลกใจ
เมื่อครู่ได้ฟังคำพูดที่เหลียงซือหานพูดกับฟางซิ่วหมิ่น เข้าใจว่าครอบครัวของเยี่ยเส่าถิงอาศัยอยู่ที่บ้านของฟางซิ่วหมิ่นไม่ยอมออกไปสักที
แต่ว่าดูจากตอนนี้แล้ว เรื่องราวเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
บ้านที่เหลียงเจียหาวอยู่ด้วยกันกับฟางซิ่วหมิ่น เดิมทีก็คือบ้านที่เยี่ยเส่าถิงให้พักอาศัย…
“นี่…บ้านของครอบครัวฟางซิ่วหมิ่น ที่แท้ก็คือบ้านที่เยี่ยเส่าถิงซื้อ?”
“ดูไม่ออกเลยจริงๆ ฟังฟางซิ่วหมิ่นพูดเมื่อกี้แล้ว ฉันเข้าใจว่าพวกเขาให้ความกรุณาอย่างใหญ่หลวงต่อครอบครัวเยี่ยเส่าถิง พอมาดูตอนนี้…เรื่องกลับตาลปัตรเป็นพวกฟางซิ่วหมิ่นต่างหากที่กำลังเอาเปรียบครอบครัวเยี่ยเส่าถิงอย่างมาก…”
“พิราบยึดรังนกสาลิกาประโยคนั้นของเยี่ยหวันหวั่น เป็นจริงจนไม่มีที่ติ”
“ได้รับพระคุณจากครอบครัวเยี่ยเส่าถิง วันนี้กลับเยาะเย้ยถากถางเจ้าของบ้าน ทั้งยังอยากให้พวกเขาย้ายออกอีก…หน้าด้านจริงๆ ไม่เคยพบไม่เคยเจอคนประเภทนี้เลย”
“เฮอะ…เหลียงซือหานคนนั้น ปากคอเราะร้ายได้ขนาดนี้ ที่บ้านไม่อบรมสั่งสอน ฉันมาคิดๆ ดูว่าเธอจะรับพ่อแม่ไปอย่างไร”
“รับพ่อแม่ไป? ไม่ได้ยินที่เยี่ยหวันหวั่นพูดเหรอ? ตัวเหลียงซือหานเองยังอยู่กับที่บ้านอยู่เลย…”
……
“เยี่ยหวันหวั่น เธอว่าใครมีลูกติด?! เธอยังมีวัฒนธรรมอยู่ไหม!” ฟางซิ่วหมิ่นโมโหหน้าบวมแดง แววตาดุร้าย
“แม่ คนแบบนี้จะไปมีวัฒนธรรมได้อย่างไร ไม่รู้ว่าเข้าไปอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลายชิงเหอได้อย่างไร คะแนนประจำปีก็เป็นที่โหล่ของโรงเรียน เกรงว่าคงจะโดนไล่ออกแล้ว” เหลียงซือหานเอ่ย
เยี่ยหวันหวั่นยิ้มไม่พูด สักครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่ได้มีวัฒนธรรมเหมือนน้องสาว เธอมีความสามารถขนาดนี้ ก็หวังว่าจะมารับพ่อแม่ย้ายออกไปโดยเร็ว จะได้ให้ฉันกับพี่ชายไร้ความสามารถกลับมาอยู่ที่บ้านได้สักที”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ เยี่ยมู่ฝานตัวแข็งทื่อ ชำเลืองมองเยี่ยหวันหวั่น
“ตลก” เหลียงซือหานพ่นลมออกจมูก “ของที่ให้ไปแล้ว ยังมีเหตุผลอะไรมาทวงคืนเหรอ?”
“เยี่ยหวันหวั่น ตอนนั้นพวกเราก็ไม่ได้ไปขอบ้านจากพ่อแม่ของเธอ พวกเขาเองต่างหากที่ยกให้พวกเราเอง ตอนนี้เอาออกมาพูด เธอหมายความว่าอย่างไร?” ฟางซิ่วหมิ่นกล่าวไปด้วยน้ำเสียงร้ายกาจ
…………………………………
[1] พิราบยึดรังนกสาลิกา อุปมาถึง การบุกรุกครอบครองบ้านหรือที่ดินของผู้อื่น