แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1042
ตอนที่ 1042 เวลาผ่านไปช้าเสี่ยวเฉียงรออย่างทุกข์ทรมาน พี่รองตัดสินใจแน่วแน่
“พวกเราตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกให้พ่านพ่านก่อน เมื่อแน่ใจว่าเป็นลูกของคนๆนั้นจริงพวกเราค่อยวางแผนขั้นต่อไป ยังมีอีกหลายขั้นตอนกว่าจะไปถึงผลร้ายแรงที่พวกเราคิดไว้ ฉันคิดเอาไว้แล้วสองแผน ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ลูกของคนๆนั้น ฉันก็จัดการปัญหานี้ได้”
ก็แค่ตอนที่เพิ่งรู้เรื่องนี้เสี่ยวเชี่ยนร้อนใจเกินไปหน่อย เรื่องง่ายๆแค่นี้ยังไม่ทันตรวจสอบให้ดีก็คิดไปไกลก่อนแล้ว
พอฟังเสี่ยวเชี่ยนพูดจบอวี๋หมิงหลางก็จ้องเสี่ยวเชี่ยนแบบงงๆ
“สรุปคือ…คุณนั่งศึกษาอยู่ตั้งนาน ได้ข้อสรุปแค่ว่าต้องไปตรวจดีเอ็นเอก่อน?”
ง่ายๆแบบนั้นเลย?
การตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกตามโรงพยาบาลเอกชนเพิ่งจะเริ่มเมื่อไม่กี่ปีก่อน คนที่รู้ยังมีไม่เยอะ
“ฉันอ่านเอกสารที่เขาให้มาอย่างละเอียดแล้ว ฉันพบว่าหลายเคสที่ดูเหมือนซับซ้อนจริงๆแล้วถ้าวิเคราะห์ดีๆก็ง่ายนิดเดียว สไตล์การวินิจฉัยของเขาธรรมดามาก แต่กลับมีประสิทธิภาพทุกครั้ง ก็เหมือนกับสำนวนที่ว่าเส้นผมบังภูเขา”
กระบวนการคิดของคนระดับปรมาจารย์ช่วยจุดประกายความคิดให้เสี่ยวเชี่ยน เธอรู้สึกว่าเทคนิคต่างๆที่ข้ามผ่านไม่ได้มาหลายปีเริ่มมีหนทางให้ไปต่อ
อวี๋หมิงหลางเห็นเธอดูมีความมุ่งมั่นมาก เขาแอบสงสัยเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เอามือลูบหัวเธอ
“กินข้าวก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน”
ทั้งสองคนออกไปหาอะไรง่ายๆกิน ขากลับอวี๋หมิงหลางมองไปยังเสาไฟข้างทางที่อยู่ด้านหน้า อยู่ๆก็พูดโพล่งขึ้นมา
“อันที่จริง พวกเรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน”
“หืม?” เสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆเขาก็พูดแบบนี้
“ดังนั้น…ในเมื่อพวกเราต่างเข้าใจกัน ชีวิตก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
“ขอภาษาคน!”
“ถ้าคุณชอบศาสตราจารย์ชีขนาดนั้น ผมก็ไม่ถือสาถ้าจะต้องรออีกสามปี”
นี่คือบทสรุปที่เสี่ยวเฉียงได้หลังจากต่อสู้ภายในจิตใจอยู่นาน
แน่นอนว่าเขาอยากให้เธออยู่ข้างกายเขาตลอด และก็จินตนาการอยู่เสมอถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในอนาคต
แต่เขารู้ว่าเธอก็มีความฝันของตัวเอง ตอนที่เธอพูดถึงศาสตราจารย์ชีเธอดูตื่นเต้นแบบที่ยากจะปกปิด เขาสัมผัสได้
“แต่นายอยากมีลูกไม่ใช่เหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนนึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ออกมา
จากนิสัยของเขาแทบอยากจะเอาเชือกมัดเธอเอาไว้ด้วยกัน ถ้าเธอไปเรียนต่อทางใต้ก็ต้องสองสามเดือนกว่าจะกลับมาครั้งหนึ่ง และต้องเป็นแบบนั้นอยู่หลายปี งานของเขาไม่มีทางย้ายไปไหนแน่ ต้องแยกกันอยู่หลายปีเขาโอเคจริงๆเหรอ?
อวี๋หมิงหลางเองก็สับสน แต่สติสัมปชัญญะเอาชนะความรู้สึกส่วนตัวได้ เขารู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนมีหัวใจที่บินได้ หัวใจเธอมักจะอยากบินไปอยู่ที่สูงเสมอ แล้วเขาจะรั้งเธอไว้ได้อย่างไร
“ลูกจะมีเมื่อไรก็ได้ แต่ตอนนี้คุณยังอยู่ในช่วงอยากหาความรู้ อย่าพลาดช่วงเวลาดีๆแบบนี้จะดีกว่า”
คำพูดแบบนี้พอออกมาจากปากของคนที่เป็นสามีทำให้เสี่ยวเชี่ยนประทับใจมาก
เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่น้อยเพื่อเธอ จากที่ตอนแรกเอาแต่ใจตัวเอง จนมาถึงตอนนี้ที่ทำเพื่อเธอทุกอย่าง โตขึ้นมากจริงๆ
“ฉันไม่ปฏิเสธว่าเรื่องนี้ทำให้ฉันเห็นถึงความสามารถที่เก่งกาจและเสน่ห์ของศาสตราจารย์ชี แต่ฉันก็ยังไม่อยากไปอยู่ดี”
“เพราะผมหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ทั้งหมด ครอบครัวก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญ” เสี่ยวเชี่ยนครุ่นคิด เธอกำลังเรียบเรียงคำพูด
“ฉันสังหรณ์ใจแปลกๆ ฉันต้องอยู่ให้ห่างจากชีอวี่เซวียนไว้ ถ้าอยู่ใกล้เขามันเหมือนกับว่าฉันต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก”
ลางสังหรณ์นี้เสี่ยวเชี่ยนเองก็อธิบายไม่ถูก เธอวิเคราะห์เอาเองโดยอาศัยสัญชาตญาณ
การมีลางบอกเหตุร้ายเป็นหนึ่งในสัญชาตญาณของมนุษย์ หลังจากที่ได้เจอกับชีอวี่เซวียนหลายครั้งเสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้เข้าถึงยาก ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู แต่สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ความสามารถของเธอยังห่างชั้นจากชีอวี่เซวียนนัก เกิดงัดข้อกับผู้ชายคนนี้เธอมีแต่จะเสียเปรียบ ไม่สู้อยู่ให้ห่างๆไว้
ได้ฟังเธอพูดแบบนั้นอวี๋หมิงหลางก็ไม่บังคับ เขาเคารพการตัดสินใจของเสี่ยวเชี่ยน
พอกลับถึงบ้านทั้งสองคนก็ปรึกษากัน พ่านพ่านเป็นลูกของพี่รอง ถ้าอยากพาพ่านพ่านไปตรวจดีเอ็นเอก็ต้องไม่พ้นพี่รองอยู่ดี
ครั้นแล้วจึงตัดสินใจวันรุ่งขึ้นให้เสี่ยวเชี่ยนขับรถไปคุยกับพี่รอง แต่กลับนึกไม่ถึงว่านอนไปได้ครึ่งทางจะมีคนมาเคาะประตู อวี๋หมิงหลางลุกไปเปิดประตูก็เห็นพี่รองยืนหอบอยู่
มาเคาะประตูบ้านคนอื่นกลางดึกก็มีแต่คนที่อีคิวต่ำแบบพี่รองนี่แหละที่จะทำ
“ฉันคิดดูแล้ว ฉันจะให้พ่านพ่านไปตรวจดีเอ็นเอ” พี่รองเข้าประเด็นทันที
เสี่ยวเชี่ยนที่มีเสื้อคลุมปิดทับมองหน้าอวี๋หมิงหลางที่สวมแค่กางเกงนอนตัวเดียว พวกเขาไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ ยังคิดอยู่ว่าพี่รองอาจจะคัดค้านไม่ยอม ถึงขนาดที่เสี่ยวเชี่ยนเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าคงต้องเกลี้ยกล่อมพี่รองนานแน่ๆ
นึกไม่ถึงว่าพี่รองจะมาหาด้วยตัวเองกลางดึก
“พี่รอง ทำไมอยู่ๆก็คิดได้ล่ะ?” อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าพี่รองเป็นผู้ชายประเภทที่หัวรั้นไม่ฟังใครทั้งนั้น
“ไม่ว่าพ่อที่แท้จริงของพ่านพ่านจะเป็นใคร เขาก็ยังเป็นลูกฉันอยู่ดี ฉันก็แค่ไม่อยากให้เด็กต้องมาเสียใจภายหลัง ไปตรวจดีเอ็นเอก่อนว่าใช่หรือเปล่า ถ้าใช่—”
“พี่จะรอเด็กโตก่อนแล้วค่อยบอกเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถามด้วยความสงสัย อันที่จริงเธออยากศึกษาจิตใจของพี่รองคนหน้าเป็นอัมพาตมากว่าเป็นยังไงกันแน่
“ฉันจะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ห้ามใครบอกพ่านพ่านเด็ดขาด เขาเป็นลูกของฉัน ที่ฉันให้ตรวจดีเอ็นเอก็เพื่อจะได้วางแผนถูกว่าต้องเลี้ยงดูเขายังไง ฉันเองก็ไม่อยากเอาลูกมาไว้ที่พวกนาย ฉันจะเลี้ยงเขาเอง”
เสี่ยวเชี่ยนคิดอยู่สักพักถึงเข้าใจ
พี่รอง…เด็ดมาก!
นี่คิดจะลบล้างร่องรอยที่พ่อแท้ๆของเด็กอาจทิ้งยีนไม่ดีเอาไว้ให้ในจิตใจ แม้แต่ต้าอีพี่รองก็ไม่คิดจะบอก
พ่านพ่านจะเป็นลูกของคนๆนั้นหรือเปล่าไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือพี่รองจะเป็นคนเลี้ยงพ่านพ่านให้เติบโตเอง ถ้าแน่ใจแล้วว่าเด็กมีปัญหา เขาก็จะทุ่มเทเวลาสอนเด็กคนนี้ให้มากขึ้น
“คิดดีแล้วเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถามพี่รอง
“คิดดีแล้ว เขาเป็นลูกพี่ ไม่ว่าตอนไหนก็เป็น ถ้าแม้แต่พี่ยังทิ้งเขา ต่อไปยังจะมีใครสนใจเขาอีก?”
นับตั้งแต่วินาทีที่เก็บพ่านพ่านมาตั้งแต่ยังเป็นทารก เด็กคนนี้ก็เกี่ยวข้องกับพี่รองชนิดที่ตัดกันไม่ขาด
เลี้ยงเด็กที่อาจมีความบกพร่องทางด้านนิสัย คำสัญญาที่ให้ไว้มันก็เป็นเพียงลมปาก
แต่จากคำพูดตั้งแต่ที่พี่รองพูดว่า ‘เขาเป็นลูกของฉัน’ นั่นก็หมายความว่าพี่รองได้เสียสละแล้ว
เด็กคนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าพ่อของเขาได้ตัดสินใจทำเพื่อเขาอย่างไรจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เสี่ยวเชี่ยนรู้แค่ว่าพ่านพ่านโชคดีที่ได้มาเจอพี่รอง
“ในเมื่อพี่ตัดสินใจแล้วฉันก็เคารพการตัดสินใจของพี่ค่ะ ที่เหลือฉันจะให้ความร่วมมือกับพี่ ไม่ว่ายังไงพ่านพ่านก็เป็นลูกหลานตระกูลอวี๋ จะไม่มีใครทอดทิ้งเขา”
เสี่ยวเชี่ยนสรุป ประวัติที่แท้จริงของพ่านพ่านจะถูกย่อยอยู่ในท้องของสามคนนี้ไปตลอดกาล
พอส่งพี่รองกลับไปแล้วอวี๋หมิงหลางก็ไม่รู้สึกง่วง เขามองเสี่ยวเชี่ยนอย่างสำรวจ
“ทำไม ไม่เคยเห็นหรือไง?” เสี่ยวเชี่ยนประชด
“เคยสิ แต่ผมว่าวันนี้คุณ…ดูเกินความคาดหมายของผมไปหน่อย”
“ยังไง?”