แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 663
แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย – ตอนที่ 663 ประธานเชี่ยนเริ่มเอาคืนแล้ว
เนื่องจากคนชั่วนั่นยามปกติแสดงละครเก่งมาก ทำเรื่องต่างๆอย่างรัดกุม พฤติกรรมโหดร้ายที่ฟ้าผ่าสิบครั้งก็ยังไม่สาสมของเขาไม่ถูกใครจับสังเกตได้
เจ้าหน้าที่ที่ทำคดีไปตรวจสอบ พวกเพื่อนบ้านต่างบอกว่าเขาดีกับลูกมาก ไม่เคยเห็นตบตี แถมยังพาไปกินของอร่อยข้างนอกบ่อยๆ
ในตอนนั้นสัตว์เดรัจฉานได้แสดงละครอีกครั้ง แสร้งทำเป็นว่าตัวเองเผลอลงโทษลูกไปครั้งเดียว ลำพังแค่การพบเห็นของพวกเสี่ยวเชี่ยนแค่หนึ่งครั้ง รวมถึงคำให้การของเวยเวยฝ่ายเดียวยังไม่เพียงพอ
เหตุการณ์ในตอนนี้ทำให้ไฟโกรธของหลิวเหมยกับฉิวฉิวโชติช่วง มีแค่ประธานเชี่ยนที่ยังนิ่งทนไหว ทุกวันมีงานต้องรักษาคนไข้ก็ทำไป มีเรียนก็ไปเรียน อ้อ จริงสิ เธอมักจะขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว หมกมุ่นอยู่กับบรรดาขวดเล็กขวดน้อย พอหลิวเหมยถามเธอว่าทำอะไร เสี่ยวเชี่ยนก็จะยิ้มพร้อมกับตอบว่า วิจัยเรื่องน้ำมันหอมระเหยจากพืชพรรณธรรมชาติที่ส่งผลต่อประสาทการรับกลิ่นของสัตว์
ครั้งนี้ประธานเชี่ยนบอกว่าถ้าอยากช่วยพาเวยเวยหลุดพ้นก็ต้องให้สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นมาขอโทษด้วยตัวเอง หลิวเหมยรู้สึกว่าไม่มีหวัง
“ตอนนี้มันกำลังได้ใจที่ตัวเองหนีจากเงื้อมมือของกฎหมายได้ แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่มันจะมาขอโทษเวยเวย?”
“ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ตอนนี้เขาไม่ยอมขอโทษไม่ได้แสดงว่าต่อไปจะไม่ขอโทษ” เสี่ยวเชี่ยนตอบอย่างนิ่งๆ
“ฉันอยากจะบ้าตาย พี่สะใภ้ดูไม่ทุกข์ร้อนเลยนะคะ!”
“ร้อนใจไปมีประโยชน์อะไร? ไม่ว่าเรื่องไหนๆก็ต้องใช้เวลาทั้งนั้น เฝ้าบ้านนะ พี่ออกไปทำธุระหน่อย”
“พี่จะไปไหน ไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ? ถ้าเวยเวยตื่นจากนอนกลางวันจะให้ทำไงต่อคะ?”
“พาเขาออกไปเดินเล่นอาบแดด ปล่อยให้แสงแดดไล่ลูกหมาดำในใจเขาออกไป”
เสี่ยวเชี่ยนทำตัวยากจะคาดเดา เธอชี้ไปข้างนอก “เธอไม่คิดว่าวันนี้แดดดีเหรอ?”
“แดดแรงอยู่นะ…พี่สะใภ้ทำไมวันนี้ฉันรู้สึกว่าพี่ดูแปลกไป?” หลิวเหมยเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก วันนี้เสี่ยวเชี่ยนแต่งตัวทะมัดทะแมง เหมือนคนที่กำลังจะไปหาเรื่องใคร
“อืม แปลกไปนิดหน่อย เพราะยามที่แดดแรงฟ้าก็จะเบิกเนตร ยามที่ฟ้าเบิกเนตรอารมณ์พี่ก็จะดี”
อดทนมานาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้เวลาเก็บกวาดงานแล้ว ยามนี้ประธานเชี่ยนอารมณ์ดี
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี…”
“ไม่เข้าใจก็เฝ้าบ้านดีๆ พระอาทิตย์ออกมาแล้ว ความมืดมนก็จะหายไป”
ครึ่งชั่วโมงต่อมาเสี่ยวเชี่ยนเดินอยู่บนเส้นทางที่ครอบครัวเย่ต้องใช้เดินกลับบ้าน มีบรรดาแม่ๆที่พาลูกๆออกมาอาบแดด เสี่ยวเชี่ยนได้ยินพวกเขาบ่นกันอย่างชัดเจน
“ช่วงนี้มันอะไรกัน ทำไมหมาจรจัดเยอะแบบนี้!”
“ก็ที่ถูกเวนคืนกันไปแล้วไง ย้ายไปอยู่บนตึกกันหมด หมาที่เคยถูกเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก่อนหน้านี้เลยถูกทิ้ง คนพวกนั้นเห็นแก่ตัวจริงๆ ทนดูหมาที่ตัวเองเลี้ยงไว้หลายปีกลายเป็นหมาจรจัดได้ลงคอ!”
“หมาอยู่รวมๆกันเยอะแบบนี้กลัวเด็กๆจะถูกกัดจริงๆ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีลุงคนนึงโดนกัดด้วย ไม่รู้เมื่อไรเทศบาลจะมาจับหมาพวกนี้ไปเสียที…”
เสี่ยวเชี่ยนฟังถึงตรงนี้ก็ผุดรอยยิ้มขึ้นที่หน้า เหมือนอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด แถวบ้านครอบครัวเย่มีหมาเยอะ
คราวก่อนตอนที่มาช่วยเวยเวย เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าแถวนั้นมีหมาจรจัดกี่ตัว
หลายนาทีต่อมาเสี่ยวเชี่ยนก็เคาะประตูบ้านครอบครัวเย่ด้วยท่าทางที่สง่างาม
“แกยังจะมาทำไมอีก!” หลุ่ยจือถลึงตามองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความแค้น
“เย่ต้าเชียนอยู่บ้านหรือเปล่า?”
พ่อเย่ที่ได้ยินเสียงจากหน้าประตูเดินออกมา ถ้าหลิวเหมยหรือฉิวฉิวอยู่ เห็นพ่อเย่เดินคาบบุหรี่ออกมาคงโกรธมากแน่นอน
ก็เหมือนกับที่อวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนวิเคราะห์คนประเภทนี้ไว้ ใบหน้าของพ่อเย่ไม่มีแม้แต่สีหน้าสำนึกผิดหรือหวาดกลัว ดูสบายๆด้วยซ้ำ
พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนมา เขากลับทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ปนภูมิใจ
“แกเองเหรอแม่สาวนักจัดรายการใหญ่ มาหาพวกเราทำไม? ช่วงนี้เวยเวยสบายดีไหม บอกเขาทีนะว่าพวกเราคิดถึงเขา รีบๆกลับบ้านมาได้แล้ว ถึงเขาจะถูกคนนอกอย่างพวกเธอควบคุมด้วยการใส่ร้ายป้ายสีฉัน แต่ในฐานะที่ฉันเป็นพ่อ ฉันไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกหรอก เขากลับมาพวกเราก็จะไม่ว่าอะไร”
คำพูดนี้ถ้าหลิวเหมยหรือฉิวฉิวมาได้ยินไม่แน่อาจกัดฟันด้วยความโกรธจนแตกละเอียด
น่าโมโหที่สุด!
โคตรหน้าด้าน!
โคตร…!!!
แต่ประธานเชี่ยนก็แค่แสยะยิ้มให้ ไม่แคร์
“ฉันแค่จะมาบอกให้คุณไปขอโทษเวยเวย ถ้าคุณไม่ขอโทษต่อไปเวยเวยจะอาการหนัก”
“หนักเหรอ? เห้อ…” สัตว์เดรัจฉานส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ แสร้งทำสีหน้าเจ็บปวดออกมา
“ฉันก็เป็นห่วงอาการของเด็กคนนี้ เห็นแก่ที่เลี้ยงดูมานาน ฉันจะเอาเงินให้แกร้อยสองร้อยก็ได้ แต่ไม่มีทางที่ฉันจะไปขอโทษ ฉันไม่มีทางขอโทษในเรื่องที่ฉันไม่ได้ทำ ถ้าฉันไปขอโทษเขาไม่เท่ากับว่าฉันยอมรับความผิดเหรอ? จริงสิ ก็เด็กคนนี้มันป่วยนี่นา คำพูดของคนป่วยก็มีแต่คนป่วยๆอย่างพวกแกนั่นแหละที่เชื่อ ฮ่าๆๆๆ!”
เสียงหัวเราะในตอนท้ายได้แสดงให้เห็นถึงความไร้ยางอายของคนๆนี้ และได้แสดงให้เห็นว่าเวลานี้เขาได้ใจแค่ไหน
ใช่ เขาเป็นคนทำเอง ฝีมือเขาทั้งนั้น แต่กฎหมายเอาผิดไม่ได้นี่ แล้วจะทำอะไรเขาได้? เวลานี้พ่อเย่คิดแบบนี้
หลุ่ยจือที่อยู่ข้างๆก็พูดกับเสี่ยวเชี่ยนอย่างไม่เป็นมิตร “จะให้ขอโทษอะไร! บ้านเราเลี้ยงมันมาตั้งหลายปี ยัยเด็กเหลือขอกลับแว้งกัดพวกเรา บอกว่าผัวฉันทำ…เฮอะ ทำตัวทุเรศเองยังจะโทษคนอื่น?”
วันนี้ท่าทางของหลุ่ยจือแตกต่างจากวันนั้น วันนั้นทำตัวหาเรื่องสุดๆ วันนี้ดูสงบลงไปเยอะ
เสี่ยวเชี่ยนเห็นท่าทางของทั้งสองคนก็รู้แล้วว่าเธอคิดไว้ไม่ผิด วันนั้นหลุ่ยจือจงใจไปยั่วโมโหพวกเธอเพื่อให้มีหลักฐาน แต่เสี่ยวเชี่ยนกับหมิงหลางรู้ทันเสียก่อนเลยไม่หลงกล
เสี่ยวเชี่ยนมองหลุ่ยจือด้วยสายตาที่สงสารก็ไม่ใช่ เหยียดก็ไม่เชิง “ผู้ชายบางคนจะมีความคิดต่ำๆก็ไม่น่าแปลก แต่คุณเป็นผู้หญิงกลับมีความคิดแบบนั้นเสียได้ น่าเศร้านะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะไม่รู้ในสิ่งที่เขาทำ บางทีคุณอาจจะสงสัยมานานแล้ว แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือถึงขนาดที่ว่าหลังเกิดเรื่องยังช่วยผู้ชายคนนี้กลบเกลื่อนความผิดด้วยซ้ำ พูดให้แรงหน่อยก็ร่วมกันก่อคดี เอาแบบเบาๆก็ในขณะที่คุณยิ้มแย้มกลบเกลื่อนความผิดให้กับเขา คุณก็ได้ฝังกลบความสุขและความเป็นมนุษย์ของตัวเองไปด้วย”
พวกศีลธรรมต่ำตม
แต่วันนี้เสี่ยวเชี่ยนมาที่นี่ไม่ได้เพื่อมานั่งเถียงกับคนพวกนี้ เธอรู้ว่าตัวเองพูดให้พวกเขายอมจำนนไม่ได้ เธอมาเพื่อทำเรื่องอื่นต่างหาก
“พวกเราไม่มีเวลามานั่งเสวนากับคนอย่างแกหรอกนะ ไม่อยากเจ็บตัวก็รีบไสหัวไป!” หลุ่ยจือยังแค้นที่ถูกอวี๋หมิงหลางครอบถังสีใส่หัว จึงเอ่ยปากไล่เสี่ยวเชี่ยน
“ใช่ เป็นสาวเป็นแส้อย่าเที่ยวปรักปรำคนอื่น กฎหมายก็บอกแล้วว่าฉันเป็นคนดี พวกแกอย่าพยายามเลย ฉันไม่มีทางไปขอโทษหรอก ไม่มีทาง รีบไปซะ!”
ตอนนี้บนหน้าของพ่อเย่เหมือนเขียนเอาไว้ว่า ได้ใจสุดๆ
เขากำลังบอกเสี่ยวเชี่ยนด้วยความภูมิใจว่าไม่มีใครเอาผิดเขาได้ เขาทำแล้วจะทำไม ก็หลักฐานมันไม่พอ!
“โง่บัดซบ” เสี่ยวเชี่ยนพูดด้วยท่าทางนิ่งๆ
และประโยคนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นละครโศกนาฏกรรมของพ่อเย่