แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 815 ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ยังเจอกันได้
ในที่สุดเสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอยู่ๆอาจารย์ก็ให้เธอมาช่วยงานที่นี่ โรงพยาบาลในอำเภอต่อให้เล็กกว่านี้ก็ไม่ถึงขนาดต้องให้เธอลงมาช่วยงานหรอกไหม?
จุดประสงค์สำคัญคือต้องการให้เธอมาที่นี่ บังคับให้เธอต้องเจอกับศาสตราจารย์ชีอะไรนั่น
อารมณ์เสี่ยวเชี่ยนในเวลานี้ก็เหมือนกับคนไข้ที่ถูกจับมัดคนเมื่อครู่ ปล่อยฉันออกไปนะ
แต่เธอขึ้นเรือโจรสลัดมาแล้ว อยากจะลงคงไม่ง่ายแบบนั้น
“เดี๋ยวก็จะได้เวลาที่คนไข้นัดแล้ว งั้นก็ขอมอบแผนกนี้ให้คุณชั่วคราวแล้วกันนะ ข้างในมีพวกอุปกรณ์ที่คุณต้องการ เดี๋ยวพอคนไข้ลงทะเบียนแล้วคุณก็เริ่มตรวจได้เลย ถ้ามีเด็กหรือผู้หญิงต้องการเข้ามาคุณจะตรวจไปพร้อมกันเลยก็ได้ อาจารย์คุณโฆษณาคุณกับผมสุดๆ บอกว่าคุณเป็นจิตแพทย์ที่เก่งมาก อันที่จริงพวกเราก็ยังขาดจิตแพทย์เก่งๆ แต่หมอแผนกประสาทน่ะมี ขาดแค่จิตแพทย์ที่คอยช่วยรักษาร่วมกัน ไม่มีใครยอมมาโรงพยาบาลเล็กๆ…”
โรคประสาทหลายชนิดในระหว่างการรักษานอกจากต้องกินยาที่ช่วยควบคุมอาการแล้วยังต้องได้รับคำปรึกษาจากจิตแพทย์เพื่อช่วยควบคุมพฤติกรรมอีกด้วย อย่างเช่นผู้ป่วยโรคหลงผิดคนเมื่อครู่ นอกจากกินยาแล้วยังต้องพึ่งพาจิตบำบัด แต่ทรัพยากรหมอไม่เพียงพอนี่จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่อาจแก้ไขในระยะเวลาอันสั้นได้
ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนไม่มีอารมณ์คิดเรื่องนี้ สมองของเธอเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าทำอย่างไรให้ศาสตราจารย์ชีเกลียดขี้หน้าเธอดี
เธอมาถึงแล้ว คนไข้ก็ใกล้มาแล้ว จะให้เสี่ยวเชี่ยนหนีไปตอนนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อคนไข้นัดเวลามาแล้วเธอก็ต้องตั้งใจรักษา หวังแค่เพียงให้รักษาคนไข้รายนี้เสร็จได้ไวๆเธอจะได้หนีกลับก่อนที่ศาสตราจารย์บ้าบอนั่นจะมา
นับถือศาสตราจารย์หลิวจริงๆ นี่เข้าสู่วัยทองแล้วเหรอ?
ลงทุนวางแผนทำกับลูกศิษย์ตัวเองขนาดนี้ นี่อยากจะถีบเธอออกจากสำนักขนาดไหนกันเนี่ย? ความบังเอิญพบกันที่จงใจขนาดนี้ยังคิดออกมาได้…
เสี่ยวเชี่ยนพึมพำ จากนั้นก็เปิดประตูห้องทำงานชั่วคราวเข้าไป เหมือนโรงพยาบาลทั่วไป โต๊ะทำงานธรรมดาที่บนนั้นมีปากกากับประวัติคนไข้ ตรงข้ามมีเก้าอี้ที่ถูกยึดติดกับพื้น นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก
บนโต๊ะยังมีเสื้อกาวน์ใหม่เอี่ยม เสี่ยวเชี่ยนครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นจึงหยิบมาใส่
อันที่จริงเวลาเธอรักษาคนไข้ไม่ชอบใส่เสื้อกาวน์เท่าไร เพราะสำหรับคนไข้บางคนแล้ว พอเห็นว่าเป็นหมอจะรู้สึกกดดัน เสี่ยวเชี่ยนชอบใส่ชุดธรรมดามากกว่า
แต่วันนี้ช่วยไม่ได้ เมื่อมาอยู่ในโรงพยาบาลแล้วก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
ดูเหมือนว่าตั้งแต่เธอกลับมาเกิดจะยังไม่เคยใส่เสื้อกาวน์เลยด้วยซ้ำ เธอเอาโทรศัพท์มือถือออกมาวางบนโต๊ะ ตั้งเวลาถ่ายรูปตัวเอง เนื่องจากไม่มีกล้องหน้า วางถ่ายบนโต๊ะมุมจึงแปลกๆหน่อย จากนั้นเธอก็ส่งข้อความภาพไปให้อวี๋หมิงหลาง ให้เขาเห็นรูปเธอตอนเธอใส่เสื้อกาวน์
เสี่ยวเชี่ยนเพิ่งส่งรูปเสร็จก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“เชิญค่ะ”
มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา แต่งตัวรัดกุม สวมหมวก ใส่ผ้าปิดปาก บนหน้ายังมีแว่นตาดำขนาดใหญ่ สะพายกระเป๋าสะพายข้าง ก่อนเข้ามายังมองไปข้างหลังอย่างระแวง คล้ายกับดูว่ามีใครสะกดรอยตามมาหรือเปล่า
เสี่ยวเชี่ยนคิดในใจ ทำถึงขนาดนี้หรือจะเป็นโรคหลงผิด? คงไม่ได้วันๆเอาแต่กังวลว่าจะมีคนเข้ามาทำร้ายหรอกนะ?
แต่ทำไมเธอจำได้ว่าเมื่อครู่ผู้อำนวยการบอกว่าคนไข้รายนี้เป็นโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงล่ะ (PTSD)?
“คุณก็คือจิตแพทย์หญิงที่พวกเขาบอกว่าประสบการณ์สูงเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ ฉันเป็นจิตแพทย์ชื่อเฉินเสี่ยวเชี่ยน”
ผู้หญิงคนนี้ดึงผ้าปิดปากออก แต่ไม่ได้ถอดแว่นกันแดด
เสี่ยวเชี่ยนยิ่งมองคนๆนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน…เดี๋ยวนะ หรือว่านี่จะเป็น?
นี่มันผู้อำนวยการโรงเรียนของเวยเวยไม่ใช่เหรอ?
คนที่มีความคิดบิดเบี้ยวคนนั้น คิดว่าการที่ผู้หญิงถูกลวนลามเป็นเพราะแต่งตัวโป๊ ไม่ระวังตัว ผู้อำนวยการคนที่รับเงินจากเย่ต้าเชียนไปแล้วพูดจาใส่ร้ายเวยเวย
เสี่ยวเชี่ยนจำได้ว่าหลิวเหมยยังเคยช่วยคนๆนี้เอาไว้ด้วย วันนั้นผู้อำนวยการถูกคนร้ายข่มขืนในสวนสาธารณะ แว่นตากรอบดำที่ทำตกไว้ยังอยู่ที่บ้านเธออยู่เลย
ต่อมาคนร้ายถูกจับ เห็นให้ปากคำว่าตัวเองเคยก่อคดีแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่มีเหยื่อไปแจ้งความไม่เยอะ ซึ่งผู้อำนวยการไม่ได้แจ้งความ
แล้วนี่มาเจอกันที่นี่ได้ยังไง?
ผู้อำนวยการนั่งลงฝั่งตรงข้ามเสี่ยวเชี่ยน สองมือกอดกระเป๋าใบเล็กเอาไว้ ยังคงไม่ยอมถอดหมวกกับแว่นกันแดด เธอเองก็รู้สึกคุ้นหน้าเสี่ยวเชี่ยน แต่ก็นึกไม่ออก
“ทำไมเอาหมออายุน้อยแบบนี้มาให้ฉัน คุณรักษาคนเป็นเหรอ?”
“ฉันมีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะระดับประเทศของจิตแพทย์ค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนอยากรู้ว่าอีกนานไหมกว่าผู้หญิงคนนี้จะนึกออกว่าเธอคือใคร
“งั้นก็ได้ ฉันจะฝืนเล่าเรื่องของฉันให้คุณฟังแล้วกัน…ฉันน่ะ ฉัน ฉัน…”
ผู้อำนวยการอ้ำอึ้ง รู้สึกพูดยาก
“ค่ะ เชิญว่ามาค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนเปิดแฟ้มประวัติแล้วหยิบปากกามาบันทึก
“ฉัน ฉันถูกหมากัด”
“หืม?”
เสี่ยวเชี่ยนเงยหน้ามอง จากนั้นก็ก้มหน้าต่อ “ต่อเลยค่ะ”
“จากนั้นฉันก็อกสั่นขวัญแขวนทุกวัน รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามตลอด ฉันฝันร้าย บางครั้งยังเกิดภาพหลอนรู้สึกว่าเขาอยู่ข้างฉัน”
ผู้อำนวยการอายที่จะเล่าว่าถูกทำอย่างว่า จึงบอกว่าถูกหมากัด
“ปกปิดอาการกับหมอไม่ช่วยอะไรหรอกนะคะ ช่วยเล่าความจริงด้วยค่ะ”
“ก็คือฉันถูกหมากัดมา”
“อ่อ งั้นตอนถูก ‘กัด’ ร่างกายรู้สึกอะไรเป็นพิเศษไหมคะ เจ็บปวดหรือมีความสุข?”
“มีความ…ไม่ใช่สิ ถูกหมากัดจะให้ฉันมีความสุขได้ยังไง” ผู้อำนวยการรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าร้อนตัว
“ฉันขอย้ำอีกครั้งนะคะ ไม่ว่าเมื่อไรคุณก็ต้องเชื่อมั่นในตัวจิตแพทย์ของตัวเอง ห้ามปิดบังอาการกับหมอ ไม่มีอะไรต้องอายต่อหน้าหมอ แล้วก็ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ด้วย”
พูดตามตรง เสี่ยวเชี่ยนไม่ชอบผู้อำนวยการคนนี้เลย เพราะเรื่องที่เคยใส่ร้ายเวยเวย ดูถูกหลิวเหมย เหยียดฉิวฉิว เสี่ยวเชี่ยนยังเคยเอาน้ำจากผ้าขี้ริ้วใส่ลงในอาหารของผู้อำนวยการคนนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เธอสูญเสียจรรยาบรรณแพทย์ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามเมื่อเธอนั่งอยู่ในห้องนี้ใส่เสื้อกาวน์แล้ว ไม่ว่าเธอจะได้ค่าตอบแทนเท่าไร ขอแค่คนที่นั่งตรงข้ามเป็นคนไข้ เธอจะไม่สนใจไม่ได้
พอเห็นผู้อำนวยการคนนี้เป็นตายก็ไม่ยอมพูดความจริงเพราะกลัวเสียหน้า เสี่ยวเชี่ยนก็ใกล้หมดความอดทนเต็มที
“ก็ฉันถูกหมากัดน่ะ ไม่ได้มีความสุข ไม่มีทางมีความสุขหรอก ฉันเกลียดหมาตัวนั้นจะตายอยู่แล้ว ทำไมมันไม่ไปตายซะ เลือกลงมือกับใครไม่เลือก ทำไมต้องเป็นฉัน มันทำลายฉัน ทำลาย…”
ผู้อำนวยการเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมา
หลายวันมานี้เธอใช้ชีวิตผ่านมาอย่างยากลำบาก ถึงแม้ว่าหลังจากเกิดเรื่องเธอจะไม่ได้บอกใคร และได้ยินเรื่องที่คนร้ายถูกจับไปลงโทษแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกว่าทำไมทุกคนเหมือนรู้เรื่องของเธอ และที่น่ากลัวกว่าก็คือ เธอจะฝันเห็นมันทุกวัน…
มันทำให้เธอหวาดกลัวมาก มองใครก็ระแวงไปหมด ด้านหนึ่งเธอก็เกลียดตัวเองที่มีอารมณ์ร่วมกับคนร้ายไปด้วย ส่วนอีกด้านเธอกลับหมดความสุขกับสามีในเรื่องอย่างว่า ถึงขนาดที่รู้สึกว่าสามีที่เสร็จกิจไวทุกครั้งยังสู้คนร้ายนั่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ…