แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 925 ความทุกข์ที่ไร้ที่ระบาย
“ไม่เป็นไร ฉันจัดการได้ พี่ไม่ต้องไปพูดกับพ่อหรอก มีแต่จะโดนด่า ไม่แน่พ่ออาจไปเอาเรื่องถึงที่ทำงานพี่ด้วย ฉันจัดการเอง พ่อรักฉันที่สุด ไม่มีปัญหาแน่นอน” สืออวี้แสร้งทำตัวสบายๆ
“ให้พี่พูดดีกว่า” เฉียวเจิ้นไม่อยากให้ภรรยาสุดที่รักโดนด่า เดิมก็เป็นความผิดของเขาอยู่แล้ว ถึงเขาจะไม่มีทางเลือกก็ตาม
“ถ้าพี่ไปพูดเรื่องนี้ก็ไม่จบ แต่เล็กจนโตพี่เคยเห็นพ่อโกรธฉันจริงๆด้วยเหรอ? ประสบการณ์ในอดีตบอกพวกเราว่า พ่อรักฉันที่สุด ปัญหาทุกอย่างไม่ใช่ปัญหา”
“งั้นก็ลำบากเธอหน่อยนะ…รอพี่เสร็จงานทางนี้แล้วจะมีเซอร์ไพร้ส์ให้ดีไหม?” เฉียวเจิ้นทั้งโล่งใจทั้งเห็นใจคนรัก ช่วงสองปีมานี้ภรรยาเขาโตขึ้นมาก ไม่ใช่สาวน้อยอีกแล้ว
“ดีสิ พี่รีบพักผ่อนเถอะ ฉันง่วงแล้ว”
“อืม รักที่รักนะ!”
พอวางสายสืออวี้ก็กอดเข่าร้องไห้เงียบๆ
เวลานี้เธออยากให้มีคนมาช่วยรับฟังความทุกข์ของเธอบ้าง แต่ไม่มีใครเลย
เพื่อนสนิทของเธอทั้งสองคนติดต่อไม่ได้ยามที่เธอจำเป็น สามีของเธอก็อยู่ในค่ายทหาร ถ้าทำเขาเสียสมาธิเสียงานเดี๋ยวจะเกิดเรื่องใหญ่ อาชีพอย่างเขาถ้าไม่มีสมาธิอาจเกิดเรื่องที่ถึงแก่ชีวิต
ส่วนพ่อที่รักเธอที่สุดเวลานี้ก็ติดต่อไม่ได้เช่นกัน…
สืออวี้คิดถึงพ่อที่หายไป เธอสะอื้น แต่น้ำตาก็ไหลออกมาอีก
“เสี่ยวอวี้!” เสียงแม่ตะโกนเรียกในบ้าน สืออวี้รีบเช็ดน้ำตาแล้วเอาแป้งมาโปะๆหน้าไม่ให้ดูสีหน้าซีดเซียว
“มาแล้วค่า!”
เธอหอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คกระโดดลงมาจากเตียง เพียงแค่หนึ่งนาทีเธอก็ทำให้ตัวเองกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิม แต่ขอบตาดำคล้ำกลับเป็นตัวฟ้องว่าเธอมีเรื่องในใจ
บนเตียงผู้ป่วย คุณนายสือแห่งโรงงานผลิตยาเจ้าใหญ่นอนซมอยู่ ที่มือของเธอมีสายน้ำเกลือปักไว้
“เสี่ยวอวี้ เฉียวเจิ้นได้บอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อไร แล้วเรื่องแต่งงานของเราสองคน—”
“นี่มันเวลาไหนแล้วแม่ ยังจะพูดเรื่องนี้อีกเหรอ?” สืออวี้เข้าไปดูขวดน้ำเกลือ ใช้สำลีพันปลายไม้ฆ่าเชื้อ จากนั้นก็เปลี่ยนขวดน้ำเกลือให้แม่อย่างรวดเร็ว
“เห้อ แม่ขอโทษนะ ลูกใกล้จะแต่งงานแล้ว โรงงานยาของเรากลับอยู่ในวิกฤติอาจต้องปิดกิจการ ตอนนี้พ่อเราก็ยังไม่กลับมา แม่อาจจัดงานแต่งให้เราใหญ่โตไม่ได้แล้ว…”
“แม่ นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะแคร์เรื่องพวกนี้อีกเหรอ? งานแต่งเล็กใหญ่แล้วยังไง? คนที่ดูเหมือนเป็นมิตรกับเรา พอเราเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆมีใครบ้างที่จำพวกเราได้?”
คำพูดของสืออวี้ฟังดูเย็นชา
คุณนายสือที่นอนอยู่บนเตียงถอนหายใจพลางมองลูกสาวสุดที่รักที่เปลี่ยนจากสาวน้อยไร้เดียงสาเป็นผู้หญิงที่เข้าใจโลกและโตขึ้นมาก เธอเห็นแล้วก็ปวดใจ
“โทษพ่อเรานั่นแหละที่โลภเกินไป ใจร้อนอยากจะรีบขยายโรงงาน หลับหูหลับตาลดราคา เลยทำให้เงินหมุนเวียนในโรงงานไม่พอ ต่อมายังไปกู้เงินมาซื้อเครื่องจักร คำนวณต้นทุนพลาดทำให้แหล่งเงินทุนหดหาย…”
โรงงานผลิตยาของตระกูลสือมีขนาดใหญ่มากเป็นอันดับต้นๆของประเทศ สืออวี้ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีวันที่ต้องเปลี่ยนจากองค์หญิงที่ใช้ชีวิตสุขสบายไปวันๆเป็นคนที่เดือดร้อนเรื่องการเงิน
ช่วงสองปีนี้มีการปฏิรูปวงการยา ยาหลายชนิดต้องมีการแถลงข้อมูลรายละเอียด รวมถึงประมูลผู้ผลิตผู้ค้า เพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนจะได้ซื้อยาในราคาถูก ผลกำไรของโรงงานผลิตยาจึงไม่เหมือนเมื่อก่อน โรงงานเล็กๆหลายแห่งเริ่มปิดกิจการไปแล้ว พ่อสืออวี้มีความคิดอยากขยายโรงงาน ลองเสี่ยงเดินหมากลดราคาให้ต่ำดูเพื่อให้ได้โครงการของรัฐบาล
แต่กลับคำนวณพลาด ราคาประมูลต่ำเกินไปจนไม่เหลือกำไร บวกกับมูลค่าเงินทุนที่ใช้ในการผลิตเปลี่ยนไป ปรับตัวไม่ทันทำให้แหล่งเงินทุนขาดช่วง ปัญหาเริ่มมีเค้าลางมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว
แต่พ่อสืออวี้ในตอนนั้นไม่ได้ตระหนักถึงความเสี่ยง ไม่ได้แก้ไขปัญหาในทันที ยังคิดว่ากิจการตัวเองใหญ่สามารถรับมือกับความเสี่ยงได้แน่ ดำเนินการขยายโรงงานต่อไป กว่าเขาจะรู้ตัวว่าสถานการณ์ไปต่อไม่ได้ กิจการของเขาก็อยู่ในขั้นวิกฤติแล้ว
ตอนที่สืออวี้เรียนจบแล้วกลับไปที่บ้านยังไม่รู้ว่าครอบครัวกำลังเกิดปัญหาใหญ่ เธอยังมีความสุขกับการคิดเรื่องจัดงานแต่งงาน เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขได้แต่งกับพี่เฉียวเจิ้นอย่างที่เธอวาดฝันมาหลายปี
จนกระทั่งเมื่อวานตอนบ่ายที่อยู่ๆพ่อเธอก็หายตัวไป แม่เธอล้มป่วยกะทันหัน เธอถึงได้รู้ว่าที่บ้านเกิดปัญหาใหญ่
อันที่จริงคุณนายสือล้มป่วยเพราะเครียดมากเกินไป ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง แต่ปัญหาในครอบครัวกำลังรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วน สามีที่บอกว่าจะออกไปหาคนช่วยกลับยังไม่กลับมา โทรหาไม่ติด ติดต่อไม่ได้
ทางธนาคารโทรมาทวงหนี้ สืออวี้ต้องวิ่งไปรับหน้าติดต่อหลายแห่งจนขาแทบขวิด
เธอไปขอความช่วยเหลือจากทุกคนที่คิดว่าช่วยได้แล้ว แต่คุณลุงคุณอาที่เคยเรียกเธออย่างเป็นกันเองว่าเสี่ยวอวี้ บ้างก็ไปทำงานต่างจังหวัด บ้างก็ปิดประตูใส่ไม่ให้พบ มีเพียงคนเดียวที่เธอได้เจอ หลังจากที่เขาพูดจาที่ไม่เป็นประโยชน์สักพักก็ยื่นเช็คให้เธอห้าหมื่น กิริยาของเขาเหมือนตบหน้าสืออวี้ชัดๆ
คนๆนั้นเคยได้รับการสนับสนุนจากพ่อของเธอ เรียกได้ว่ามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะการช่วยเหลือของพ่อเธอ
เมื่อสิบปีก่อนอาคนนี้อยากสร้างกิจการ พ่อของเธอจึงให้เงินไปห้าหมื่น
ห้าหมื่นเมื่อสิบปีก่อนหมายถึงอะไร?
คนๆนี้อาศัยเงินที่พ่อเธอให้ เส้นสายต่างๆที่พ่อเธอมี ความช่วยเหลือต่างๆของพ่อเธอ ค่อยๆก่อร่างสร้างตัวจนมีกิจการด้านอาหารและเครื่องดื่มใหญ่โต หลังจากที่ตัวเขามีมูลค่าถึงหลักสิบล้าน ยามที่พ่อเธอกำลังลำบาก เขากลับพูดจาเย็นชาไม่กี่ประโยคแล้วโยนเงินห้าหมื่นให้เธอ ไร้การช่วยเหลืออย่างอื่นอีก
คำพูดที่ว่าน้ำใจคนบางเหมือนกระดาษ คนล้มแล้วข้าม ธาตุแท้คนเห็นได้ยามลำบาก เธอเข้าใจอย่างลึกซึ้งก็วันนี้นี่เอง!
ก็เหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนเคยพูดกับอวี๋หมิงหลาง ต้าหลงต้องเจอกับความโหดร้ายในโลกของความเป็นจริงถึงจะเติบโตได้ สืออวี้เองก็เหมือนกัน
เมื่อก่อนที่ถูกลักพาตัวไปกับประธานเชี่ยนเธอก็ได้โตขึ้นไปขั้นหนึ่งแล้ว และสีหน้าท่าทางของคนเหล่านั้นที่เธอไปหาเมื่อตอนบ่ายก็ได้ทำให้เธอเติบโตขึ้นมาอีกขั้น
ในค่ำคืนที่ทุกข์ทรมานนี้ เธอไร้ที่พึ่งพิง
“ช่างเถอะ ต่อให้บ้านเราล้มละลาย บ้านกับรถที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้ลูกก่อนหน้านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกมีชีวิตที่มั่นคงได้ เฉียวเจิ้นเองก็เป็นเด็กที่พวกเราเลี้ยงมาจนโต ตอนร่ำรวยเขาก็ไม่ได้กลัวอิทธิพลของบ้านเรา ตอนนี้พวกเรายากจนแล้วเขาก็ไม่มีทางรังเกียจลูกหรอก ลูกก็ไปสร้างครอบครัวที่ดีกับเขาซะนะ ไม่รู้ว่าพ่อเราตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆเดี๋ยวแม่ไปติดคุกแทนเขาเอง”
คำพูดนี้ออกมาจากปากของคุณนายสือ มีความอัดอั้นตันใจบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าครอบครัวของเธอรอดยากแน่นอน ไม่แน่อาจต้องติดคุกเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้ สำหรับนักธุรกิจที่ต่อสู้มาครึ่งชีวิตอยู่ๆต้องมาไม่เหลืออะไรแบบนี้ นี่ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่
“แม่ หนูไม่อยากได้บ้านกับรถ แม่เอาไปขายแล้วเอาเงินให้เป็นเงินเดือนคนงานเถอะ” สืออวี้เห็นสภาพแม่เป็นแบบนี้ก็เศร้าใจชนิดที่พูดไม่ออก
“เด็กโง่ เงินของลูกแค่นั้นจะไปพออะไร ช่วยแก้ปัญหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็อย่ามองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป ต่อไปแม่อาจให้ชีวิตแบบเจ้าหญิงกับลูกไม่ได้อีกแล้ว ต้องโทษพ่อของลูก…”
คุณนายสือรู้สึกผิดต่อลูกสาวมาก พอเธอพูดจบสืออวี้ก็น้ำตาไหล
“แม่จะพูดเรื่องพวกนี้ทำไม…เรื่องเป็นแบบนี้แล้ว แม่พักผ่อนเถอะอย่าโมโหเลย อายุขนาดนี้แล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะรุนแรง เงินทองเป็นของนอกกาย เดี๋ยวหนูก็หาทางออกได้”
ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ใครล่ะจะไม่โมโห
คล้ายกับว่าเมื่อวานยังยืนอยู่บนที่สูง แต่วันนี้กลับตกลงไปอยู่ก้นเหว แล้วจะไม่ให้สะเทือนใจได้อย่างไร